มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2686 ยืมมือผู้อื่นฆ่าคน
เรื่องที่สมาคมเทียนสุ่ยถูกล้มล้างถือเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตมาก สามารถพูดได้เลยว่าไม่เคยมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองหวูซินมานานมากแล้ว ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ กองกำลังใหญ่ทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่งบนพสุดาราแห่งนี้มาโดยตลอด ปัจจุบันสมาคมเทียนสุ่ยถูกล้มล้างแล้ว สามารถพูดได้เลยว่ามีทั้งคนที่ดีใจและโศกเศร้า
ผู้คนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสมาคมเทียนสุ่ยในตอนแรกมีทั้งผู้ที่ตายและมีทั้งผู้ที่หลบหนี แต่ก็มีกลุ่มคนมารวมตัวกันบริเวณรอบหอคอยเจ็ดชั้นเยอะมาก ๆ ล้วนยืนมองมาจากที่ไกล ๆ
เนื่องจากเมื่อครู่มีคนจำนวนมากเห็นว่าเปียนหยวนจี๋รองเจ้าเมืองเข้าไปภายในแล้ว ขอแค่เป็นคนที่เข้าใจสถานภาพเล็กน้อยก็จะเข้าใจว่า การที่มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ยมาเมืองหวูซินกะทันหันนั้น ตำหนักหลักเมืองไม่มีทางไม่ให้ความสนใจแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ผู้คนล้วนคาดไม่ถึงคือเปียนหยวนจี๋เพิ่งเข้าไปในหอคอยเจ็ดชั้นได้ไม่นาน ก็มีเสียงตู้มดังลั่นขึ้น กำแพงของหอคอยเจ็ดชั้นระเบิดแตก และมีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมาจากด้านใน เสียงปั้งดังขึ้น เงาร่างดังกล่าวกระแทกลงบนถนน
สายตาและตัวสำนึกทั้งหลายต่างผนึกรวมไปยังตำแหน่งนั้น ก่อนจะทำให้สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากผู้ที่บินออกมาจากหอคอยก็คือรองเจ้าเมืองของเมืองหวูซิน เปียนหยวนจี๋!
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนฮือฮาขึ้นมาทันที
“ผู้ที่ล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ยมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? ถึงขั้นกระทืบรองเจ้าเมืองจนกระเด็นออกมา?”
“นี่เป็นการยั่วยุตำหนักหลักเมืองเชียวนะ จะมีศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอีกแล้วหรือ?”
“……”
“ตู้มม!”
พลังเวทย์ผลการฝึกตนระเบิดออกมาจากตัวเปียนหยวนจี๋ แล้วประกอบเป็นคลื่นอากาศที่สามารถมองเห็นได้ด้วยเนื้อตาเปล่าม้วนซัดออกไปทั่วทุกสารทิศ
ถูกกระทืบจนกระเด็นออกมาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย นี่เป็นความอัปยศที่เขาไม่สามารถอดกลั้นได้อย่างแน่นอน!
“ดูท่าผู้เพื่อนยุทธ์จะเป็นศัตรูกับตำหนักหลักเมืองของข้าแล้วสินะ?”
ฝืนระงับไฟโกรธและจิตสังหารในใจเอาไว้ เปียนหยวนจี๋ไม่ได้พุ่งเข้าไปอย่างมุทะลุ ถึงแม้ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือในเมื่อครู่นี้มันจะฉุกละหุกไปหน่อย ทว่าการที่โจมตีอย่างสบายมือเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้เขากระเด็นออกมาได้นั้น แสดงให้เห็นเลยว่าศักยภาพของหลัวซิวนั่นไม่ธรรมดามาก
มิหนำซ้ำข้างกายหลัวซิวยังมีชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่อีกคนหนึ่งด้วย ซึ่งคนดังกล่าวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ได้ยินมาว่าฉิวเทียนสุ่ยก็ถูกเขาสังหารนี่แหละ
“เจ้าคิดผิดแล้ว ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับตำหนักหลักเมืองของเจ้า แต่ตำหนักหลักเมืองของเจ้าจะเป็นศัตรูกับข้าต่างหาก”เสียงอันเยือกเย็นของหลัวซิวสะท้อนออกมา
มิตรสหายเมื่อชาติปางก่อนของเขามีไม่มาก ซึ่งประมุขดาราหวูซินนับเป็นหนึ่งในมิตรสหายเขาอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญได้ยินข่าวคราวที่นี่ บางทีทายาทรุ่นหลังของหวูซินก็อาจจะขาดการสืบทอดแล้ว
ทันทีที่เข้ามา เปียนหยวนจี๋ก็นำสายตาเพ่งเล็งไปบนตัวชายหนุ่มคนนั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาก็มีความคิดที่จะครอบครองการถ่ายทอดสืบสานของหวูซินเช่นกัน การที่หลัวซิวไม่สังหารเขาคาที่นั้น ก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้ว
“ดีมาก!”
เปียนหยวนจี๋กัดฟันแน่น ก่อนจะหันหลังแล้วจากไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมาอีก
ข่าวคราวได้แพร่งพรายออกไปในเมืองหวูซินปานสายลม นอกจากสมาคมเทียนสุ่ยและตำหนักหลักเมืองแล้ว ในคูเมืองแห่งนี้ยังมีกองกำลังใหญ่อีกสามกองกำลัง โดยแบ่งออกเป็นหอเฉว่ซ่า จวนกู่หยุนแล้วก็กลุ่มเสือสิงห์
หอเฉว่ซ่าเป็นองค์กรนักฆ่า แทบจะควบคุมธุรกิจสีเทาทั้งหมดบนพสุดาราหวูซิน เจ้าหอของกองกำลังดังกล่าวมีนามว่าเฉว่ซ่า ผลการฝึกตนอยู่ที่เทพมารระดับเจ็ดช่วงกลาง เล่ากันว่าเคยลอบสังหารผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงคนหนึ่งสำเร็จด้วย
หากจัดอันดับรายชื่อผู้ที่รุกรานยากที่สุดในพสุดาราหวูซินออกมา เฉว่ซ่าสามารถถูกจัดอยู่อันดับสองได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นรองเพียงเจ้าเมืองหวูซินที่ผลการฝึกตนแข็งแกร่งที่สุด
จวนกู่หยุนคือตำหนักของนักยาเซียนระดับเจ็ดคนหนึ่ง ข้างกายมียอดฝีมือที่ยอมทุ่มเทชีวิตให้เขาอยู่ไม่น้อย ยอดฝีมือมากดั่งเมฆบนท้องฟ้า
สุดท้ายคือกลุ่มเสือสิงห์ ทว่ากลุ่มเสือสิงห์กลับเป็นกลุ่มคนที่ประกอบจากจอมยุทธ์ร้อยกว่าคน สมาชิกที่มีผลการฝึกตนต่ำที่สุดจำเป็นต้องเป็นเทพมารระดับหกช่วงกลางเป็นต้นไป พวกเขามีหัวหน้ากลุ่มสองคน คนหนึ่งคือสิงห์เดือด อีกคนหนึ่งคือเสือเดือด ซึ่งพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝด ต่างเป็นเทพมารระดับเจ็ด อีกทั้งใจตรงกัน หากร่วมมือกันแล้วสามารถระเบิดศักยภาพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าออกมาได้
สามารถพูดได้เลยว่ากองกำลังใหญ่ทั้งห้าในพสุดาราหวูซินล้วนเป็นผู้ที่น่าเกรงขามมาก มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางตั้งตระหง่านมาได้หลายปี โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาสั่นคลอนได้
เปียนหยวนจี๋กลับมายังตำหนักหลักเมืองด้วยหน้าอกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟโกรธ มาถึงสถานที่ที่เจ้าเมืองปิดขังโดยตรง
“ท่านรองเจ้าเมือง”
ณ สถานที่ที่เจ้าเมืองปิดขัง มีองครักษ์กลุ่มหนึ่งคอยเฝ้าดูแลอยู่ที่นี่ ต่างพากันก้มคำนับทำความเคารพหลังจากเห็นเปียนหยวนจี๋
“เฮียข้ายังไม่ออกจากการปิดขังอีกหรือ?”เปียนหยวนจี๋ถามกระแทกเสียงต่ำ
“น้องรอง ดูจากสภาพที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเจ้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
และในเวลานี้เอง ก็มีสตรีที่หุ่นร่างอ่อนช้อยคนหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า บุคลิกลักษณะของสตรีนางนี้ดูมีอายุประมาณ 30 กว่า เอวเล็กสะโพกใหญ่ ใบหน้าก็งดงามมากเช่นกัน
มีความเร่าร้อนเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาเปียนหยวนจี๋ ในขณะเดียวกันเขาก็แอบรู้สึกดีใจเล็กน้อยด้วย ตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ เพื่อเป็นการบรรลุสู่แดนเทพมารระดับแปด เฮียปิดขังมาโดยตลอด ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาจึงช่วยเฮียทำงานอย่างขยันขันแข็งมาโดยตลอด
สตรีชายตามองด้วยความเสน่หา ทำให้เปียนหยวนจี๋อยากพุ่งเข้าไปย่ำยีนางดี ๆ สักตั้ง เพื่อปลดปล่อยไฟโกรธที่อยู่ในใจ
“พี่สะใภ้ เฮียข้าจักออกจากการปิดขังเมื่อใดหรือ?”เปียนหยวนจี๋ระงับไฟโกรธที่อยู่ในใจลงไปพลางถาม
“ก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่ทราบ เขาปิดขังครั้งหนึ่งก็กินเวลาไปหลายร้อยปีเลย มันก็ทำให้ข้าคิดถึงเขาเช่นกัน……”ขณะที่นางพูด น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยาดเยิ้ม ทำเอาเปียนหยวนจี๋ฟังจนจิตใจเตลิดเปิดเปิงอย่างควบคุมไม่ได้
“ข้ามีเรื่องบางอย่างจะปรึกษาหารือร่วมกับพี่สะใภ้พอดีเลย”เปียนหยวนจี๋รีบพูด แล้วมองนางด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยั่วยุลาง ๆ
“คิคิคิ……”สตรีหัวเราะอย่างอ่อนช้อยน่ารัก “ได้สิ น้องรองอยากพูดคุยเรื่องอะไรกับข้าหรือ?”
ไม่นานนัก ทั้งสองก็นอนพลิกไปพลิกมาอยู่ในห้องนอนของสตรี เปียนหยวนจี๋ขายหน้าฝั่งหลัวซิวมา จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟโกรธ กิริยาท่าทางรุนแรงดั่งสัตว์ป่า กดทับสตรีอยู่ด้านล่างแล้วย่ำยีสุดชีวิต
หลังเสร็จจากภารกิจอันเร่าร้อน เปียนหยวนจี๋ก็ถอนหายใจเฮือกยาว แล้วนอนลงบนเตียงอย่างรู้สึกพึงพอใจ
“ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ถึงทำให้เจ้าอดกลั้นไฟโกรธไว้เต็มเปี่ยมเช่นนี้ จนต้องมาระบายบนตัวพี่สะใภ้หมด?”
สตรีมองเขาด้วยสายตาที่คับแค้นใจ พลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมที่ยุ่งเหยิงพลางถามอย่างเรื่อยเปื่อย
“แม่งเอ๊ย! ชาตินี้กูยังไม่เคยหัวเสียเช่นนี้มาก่อนเลย!”
เปียนหยวนจี๋สบถอย่างหยาบคายหนึ่งประโยค จากนั้นเขาก็นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้บอกเล่าให้สตรีฟังรอบหนึ่ง
หลังจากสตรีฟังแล้ว ก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้เช่นกัน “คนดังกล่าวบังอาจไม่นำเจ้าไปไว้ในสายตา แสดงว่ามันต้องมีที่พึ่งพิงของมันแน่นอน”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูดข้าก็ทราบเช่นกัน ข้าสันนิษฐานว่าสองคนนั้นมีโอกาสเป็นยอดฝีมือแดนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงสูงมาก เพราะฉะนั้นข้าถึงได้กลั้นใจไม่ลงมือ”เปียนหยวนจี๋พูดด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่
“น่าเสียดายที่เฮียเจ้าไอ้เวรนั่นยังไม่ออกจากการปิดขัง แต่ทว่าถึงแม้จะไม่มีเฮียเจ้า เจ้าก็ไม่มีวิธีจัดการเรื่องนี้เลยหรือ?”
สตรีหัวเราะแล้วพูด: “เมืองหวูซินไม่ได้มีเพียงตำหนักหลักเมืองเท่านั้นนะ ยังมีเจ้าจวนกู่หยุน เจ้าหอเฉว่ซ่า สองบุรุษเสือสิงห์ ถ้าเกิดเจ้าสามารถหลอกใช้คนเหล่านี้ได้ละก็ การจัดการเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงสองคนนั้น มันจะเป็นเรื่องยากได้หรือ?”
“จากเกียรติยศของข้า จักสามารถเชิญพวกเขาได้หรือ? หากเป็นเฮียข้าค่อยว่าไปอย่าง”เปียนหยวนจี๋ส่ายหน้า ถึงแม้เขาจะเป็นรองเจ้าเมือง แต่พวกเจ้าจวนกู่หยุนกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่รู้จักเชิญในนามเฮียเจ้าหรือ? ถึงครานั้นหลังจากเฮียเจ้าออกจากการปิดขัง อย่างมากสุดก็แค่ถูกตำหนิเล็กน้อย เขาจะฆ่าเจ้าได้หรือ?”สตรียิ้มพลางถาม
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว แววตาของเปียนหยวนจี๋ก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเคารพยำเกรงในตัวเฮียมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าแหกกฎต่าง ๆ เลย
และเป็นเพราะสาเหตุต่าง ๆ นี่เอง บางครั้งเขาก็รู้สึกโกรธแค้นเฮียตัวเองเช่นกัน อย่างเช่นการเล่นสนุกกับคู่ครองของเฮียบนเตียง ก็สามารถทำให้เขารู้สึกบรรลุและสะใจมาก
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นน้องชายคนเดียวของเฮีย และเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขาในโลกใบนี้ ต่อให้เขาจะกระทำผิดบ้าง เฮียก็ไม่มีทางฆ่าเขาแน่นอน มากสุดก็แค่ตำหนิอบรมสั่งสอนเขาไม่กี่คำ
……
ณ ห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมือง เปียนหยวนจี๋กำลังดื่มเหล้าอย่างมั่นใจในตัวเองมาก ไม่นานนัก ก็มีเงาดำสามสี่ร่างเดินเข้ามา
“ท่านเจ้าเมืองออกจากการปิดขังแล้วหรือ?”
ผู้ที่เอ่ยปากพูดก่อนคือเจ้าจวนกู่หยุน ส่วนเปียนหยวนจี๋นั้น กลับไม่ถูกเขานำไปไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่มีเฮียดี ๆ ยอมทุ่มทรัพยากรจำนวนมากให้ สวะอย่างเขาจะสามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายได้หรือ?
เพราะฉะนั้นเจ้าจวนกู่หยุนจึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเปียนหยวนจี๋มาโดยตลอด
“เฮียข้าออกจากการปิดขังแล้ว แต่ทว่าผลการฝึกตนเพิ่งบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปด ฉะนั้นยังคงอยู่ในกระบวนการทำให้ผลการฝึกตนมั่นคงอยู่”
เปียนหยวนจี๋อมยิ้ม แล้วนำสายตากวาดมองไปทางพวกเจ้าจวนกู่หยุน
“เช่นนั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าเมืองแล้วล่ะ ได้ยินมาว่าไอ่น้องจี๋ถูกคนกระทืบ ท่านเจ้าเมืองวางแผนที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรหรือ?”ชายวัยกลางคนที่ปกคลุมอยู่ในชุดคลุมยาวสีเลือดหัวเราะพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ก็ทำให้สีหน้าเปียนหยวนจี๋ดูย่ำแย่ลงไปทันที แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็ฝืนอมยิ้มแล้วตอบกลับ: “ที่ข้าเชิญทุกท่านมาในวันนี้ ก็เพื่อเรื่องนี้แหละ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เปียนหยวนจี๋ก็กระแอมเบา ๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เข้มงวด “ทุกท่านก็น่าจะทราบเช่นกันว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ กองกำลังทั้งหลายล้วนประคองสถานภาพบนพสุดารามาอย่างสมดุลมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันกลับมีผู้ที่แซ่หลัวคนหนึ่งบุกฆ่าเข้ามากะทันหัน ทำการล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง สังหารฉิวเทียนสุ่ย นี่จึงทำให้ระเบียบและกฎเกณฑ์ดั้งเดิมในเมืองหวูซินของเราถูกทำลาย”
“อิงจากความตั้งใจของเฮียข้า ผู้ที่ทำลายกฎเกณฑ์ต้องถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นจึงเชื้อเชิญให้ทุกท่านลงมือ ทำการกำราบเจ้าแซ่หลัวนั่น!”
“หึ เปียนหยวนจี๋ เจ้าคิดที่จะหลอกใช้พวกข้าหรือ?” น้ำเสียงหนึ่งที่ดุดันดังขึ้น ซึ่งผู้พูดก็คือหัวหน้ากลุ่มของกลุ่มเสือสิงห์ สิงห์เดือด!
เส้นผมของสิงห์เดือดนั่นแดงฉานดั่งเปลวไฟ และเขาก็มีฉายาบุรุษสิงห์เพลิงเดือดเช่นกัน
การที่คนเหล่านี้สามารถริเริ่มกองกำลังหนึ่ง แล้วตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้น ย่อมไม่มีคนใดเป็นคนโง่อยู่แล้ว คำพูดประเภทนี้ของเปียนหยวนจี๋เรียกได้เลยว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยจุดบกพร่อง ผู้ใดจักปักใจเชื่อง่าย ๆ เล่า?
เปียนหยวนจี๋ยิ้มอ่อน ราวกับมีสติปัญญาที่สูงส่งสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ วางแผนที่จะเผด็จศึกในแนวหลัง: “ต่อให้มอบความกล้าให้ข้าอีกร้อยเท่า ข้าก็ไม่กล้าหลอกใช้ทุกท่านหรอก จริงหรือไม่? เฮียข้าบอกแล้วว่าหากทุกท่านสามารถกำราบหลัวซิวได้ละก็ อาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ยก็จะเป็นของทุกท่านเลย”
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา สีหน้าอารมณ์ที่ดูเหยียดหยามในเมื่อครู่นี้ของพวกเจ้าจวนกู่หยุนจึงเปลี่ยนไปภายในพริบตา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ยอมให้เปียนหยวนจี๋หลอกใช้ ทว่าเมื่อปัญหาเกี่ยวโยงถึงอาณาบริเวณ เช่นนั้นมันก็แตกต่างไปจากเดิมแล้วล่ะ
“เปียนหยวนจี๋ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจริงจัง? เจ้าเป็นตัวแทนของเจ้าเมืองได้หรือ?”เจ้าจวนกู่หยุนหรี่ตาลงแล้วมองไปทางเปียนหยวนจี๋
หากพูดตามหลักนี่เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ ต้องให้เจ้าเมืองหวูซินมาปรึกษาหารือร่วมกับพวกเขาด้วยตนเองสิถึงจะถูก แต่เจ้าเมืองหวูซินกลับไม่ปรากฏตัวสักที ในทางตรงกันข้ามกลับให้น้องชายสวะไร้ความสามารถนี่มาออกหน้าแทน ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ทว่าพวกเจ้าจวนกู่หยุนก็ไม่ได้เปิดโปงเรื่องนี้เช่นกัน สิ่งที่พวกเขาใส่ใจนั้นมีเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
ถึงแม้เปียนหยวนจี๋จะอยากยืมมือผู้อื่นฆ่าคน หากได้ครอบครองอาณาบริเวณของสมาคมเทียนสุ่ย เช่นนั้นแม้นจะถูกผู้อื่นหลอกใช้ มันก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่าเช่นกัน