มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2694 ไฟเทวชิงเทียน
เมื่อถูโยวหมิงได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไป เมื่อเขาหันหน้ากลับมาแล้วมองเห็นหลัวซิว ก็ยิ่งเบิกตากว้างเลย
“สหายหลัว ใช่เจ้าจริง ๆ หรือ?”
ถูโยวหมิงนึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะเจอหลัวซิวในสถานที่เช่นนี้ ถึงแม้เขาจะทราบอยู่ว่าจากศักยภาพของหลัวซิว ก็น่าจะมาถึงโลกร้างตั้งนานแล้ว ทว่ากลับไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
หลัวซิวเห็นว่าสภาพของถูโยวหมิงดูท้อใจเล็กน้อย นี่ยังใช่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิที่จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมในมหาโลกาพันสามอยู่อีกหรือ? สีหน้าอารมณ์ซึมเซา หนวดเครารุงรัง สภาพเหมือนกลัดกลุ้มไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตยังไงอย่างนั้น
และในเวลานี้เอง ก็เกิดความวุ่นวายในหออาโปรมย์ ถัดจากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากด้านในอีกห้าหกคน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าการที่ชายร่างยักษ์ถูกโจมตีในเมื่อครู่นี้ ได้ทำให้ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในหออาโปรมย์ตื่นตกใจ
สถานที่ที่เป็นทำนองเดียวกันกับหออาโปรมย์ เบื้องหลังต้องมีกองกำลังคอยสนับสนุนแน่นอน มีคนเดินออกมาทั้งหมดหกคน มีห้าคนที่มีผลการฝึกตนเป็นเทพมารระดับหก ส่วนชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลับเป็นเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลาง
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งนี้มากเท่าไหร่นัก แต่เมื่อถูโยวหมิงเห็นกลุ่มคนที่เดินออกมาจากหออาโปรมย์ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปภายในพริบตา
“สหายหลัว เจ้ารีบหนีไป คนพวกนี้มาเพราะจะหาเรื่องข้า”
ถูโยวหมิงพูดกับหลัวซิวอย่างร้อนรน ตั้งแต่ที่มาถึงโลกร้างเป็นต้นมา เขาก็รู้แล้วว่าที่นี่เป็นห้วงดาราที่ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับมหาโลกาพันสามเลย ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกของเขาที่อยู่ในมหาโลกาพันสามเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน แต่ที่นี่กลับเป็นเพียงมดตัวจ้อยที่แข็งแกร่งเล็กน้อยเท่านั้นแหละ แม้แต่สิทธิ์ในการถูกเรียกว่าผู้แข็งแกร่งยังไม่มีเลย
เขาทราบอยู่ว่าหลัวซิวไม่ธรรมดา และยิ่งมีโอกาสเป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคกลับชาติมาเกิด แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่สิบปีเอง หลัวซิวก็เพิ่งจะบรรลุถึงแดนเทพมารระดับหกเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่าอะไร เหตุใดจึงต้องโจมตีคนในหออาโปรมย์ของข้าด้วย?”
จากทั้งหกคนที่เดินออกมาจากหออาโปรมย์ ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำมองชายร่างยักษ์ที่ถูกโจมตีรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ร่วงลงบนตัวลาร์
เนื่องจากเมื่อครู่มีคนได้รายงานกับเขาแล้วว่า ผู้ที่ลงมือโจมตีก็คือเจ้าหมอนั่นที่เหมือนยักจิ๋ว
จอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางสูงใหญ่เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงอัจฉริยะเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจเท่านั้นถึงจะมีบุคลิกลักษณะเช่นนี้ ทว่าเขากลับไม่ได้นึกถึงยักษ์อัสนี
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารหรือเผ่าปีศาจ เมื่ออยู่ในโลกมหาศักดิ์แล้ว ก็ล้วนตัดสินด้วยศักยภาพ ผลการฝึกตนของลาร์คือเทพมารระดับเจ็ด เพราะฉะนั้นชายวัยกลางคนนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน
“ไอ้สารเลวนั่นตาถั่ว บังอาจขวางทางพระองค์กู หากกูไม่กระทืบมันแล้วจะกระทืบผู้ใด?”ลาร์เบ้ปาก ไม่ได้นำชายวัยกลางคนนั่นมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
ต่างเป็นเทพมารระดับเจ็ดเหมือนกัน แต่ตัวตนของเขาคือยักษ์อัสนี นอกเสียจากว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพระดับเจ็ด ถึงจะสามารถทำให้เขาหวาดหวั่นได้
“พระองค์?”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วลง ผู้ที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งเรียกว่าพระองค์ได้นั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
เวลานี้สายตาของเขาถึงจะร่วงลงบนตัวหลัวซิว ก่อนที่เขาจะค้นพบอย่างตะลึงว่าผู้ที่ถูกเทพมารระดับเจ็ดเรียกว่าพระองค์ด้วยความยกย่องนั้น เป็นเพียงชายหนุ่มที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับหกอย่างนั้นหรือ
ในฐานะที่เป็นผู้บริหารของหออาโปรมย์ ชายวัยกลางคนย่อมไม่ใช่พวกไร้สมองอยู่แล้ว เทพมารระดับหกที่ยังหนุ่มเช่นนี้ แต่กลับมีเทพมารระดับเจ็ดเป็นเบื้องล่าง ไม่ต้องคิดก็ทราบได้แล้วว่านี่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่อย่างแน่นอน
หากไม่มีความจำเป็นละก็ เขาก็ไม่อยากรุกรานคนประเภทนี้เช่นกัน ทันทีที่รุกรานเข้า อาจจะทำให้เขาตลอดจนกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขาเดือดร้อนได้
“เช่นนั้นต้องขออภัยจริง ๆ นะขอรับ เบื้องล่างข้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ล่วงเกินสหายทั้งสองท่าน ข้าขอกราบขอโทษทั้งสองท่านด้วย”
ชายวัยกลางคนทำท่าคารวะพูดพลาง ก่อนจะส่งซิกทางสายตาให้คนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็มีคนสองคนเดินไปหามชายร่างยักษ์ที่ถูกโจมตีไป
เมื่อถูโยวหมิงเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เวลานี้เขาถึงจะรู้ตัวทีหลังแล้วสังเกตเห็นว่าผลการฝึกตนของลาร์คือแดนเทพมารระดับเจ็ดอย่างนั้นหรือ!
“หรือว่าข้ามองผิดไป?”ถูโยวหมิงรู้สึกตะลึงอย่างยิ่ง เขาต้องรู้จักชายที่คอยติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิวตั้งแต่เมื่อปีนั้นอยู่แล้ว เขาฝึกตนเร็วกว่าหลัวซิวอย่างนั้นหรือ เป็นเทพมารระดับเจ็ดแล้ว?
“ที่นี่ไม่ใช่ที่พูดคุยกัน เราเปลี่ยนสถานที่กันเถิด”
หลัวซิวยิ้มพลางตบ ๆ ไหล่ถูโยวหมิง กวาดตามองชายวัยกลางคนจากหออาโปรมย์นั่นอย่างเย็นชาหนึ่งรอบ จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มองดูเงาหลังของหลัวซิวทั้งสามคนเดินจากไปไกล สีหน้าของชายวัยกลางคนดูย่ำแย่เล็กน้อย เขาไม่ทราบว่าความเป็นมาของชายหนุ่มนั่นเป็นอย่างไรกันแน่ เมื่อครู่ฝ่ายตรงข้ามได้มองเขารอบหนึ่ง ราวกับบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบง่าย ๆ ยังไงอย่างนั้น
ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองเยว่คง หลัวซิวและถูโยวหมิงหาตำแหน่งที่ใกล้หน้าต่าง เขาก็เพิ่งทราบชื่อจริงของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิตอนนี้เช่นกัน ซึ่งมีนามว่าถูโยวหมิง
เหล้าและกับแกล้มถูกยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนกับว่าเจ้าของภัตตาคารแห่งนี้ก็ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นฝั่งหออาโปรมย์แล้ว ดังนั้นขณะที่หลัวซิวทั้งสามคนมาถึงที่นี่ เจ้าของร้านจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ดูกระตือรือร้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ลาร์ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวเหมือนเคย แม้นหลัวซิวจะบอกให้เขานั่งลงแล้ว แต่ให้ตายอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็ไม่ยอมตอบตกลง จากคำพูดของลาร์ เขาบอกว่าตนเป็นเพียงผู้ติดตามเล็ก ๆ คนหนึ่งของนายท่าน จักมีสิทธิ์นั่งกับนายท่านได้อย่างไร?
หลัวซิวก็รู้สึกปลงต่อเรื่องนี้มากเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะอุปนิสัยของไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อน เขาเมื่อภพชาติก่อนได้ตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองทิ้ง เมื่อปีนั้นผู้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขา ส่วนมากล้วนอยู่ในความระมัดระวังอย่างยิ่ง
จากอุปนิสัยประเภทนี้ ไม่นึกเลยว่าเขาเมื่อภพชาติก่อนจะมีผู้ติดตามที่จงรักภักดีอย่างราชาเทพว่านเริ่นและลาร์ ซึ่งก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งแล้ว
“สหายหลัวมาโลกร้างเมื่อใดหรือ?”ถูโยวหมิงดื่มเหล้าหนึ่งแก้วหมดภายในหนึ่งอึก จากนั้นเขาก็มองไปทางหลัวซิวพลางถาม
“มาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว คนส่วนหนึ่งจากสำนักจักรพรรดิมรณะก็มาเช่นกัน บอกว่าจะมาตามหาร่องรอยของเจ้าในห้วงดารา”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงมีความละอายปรากฏบนใบถูโยวหมิงเล็กน้อย “เมื่อปีนั้น ขณะที่ข้าออกมาก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าพวกเขายังคิดที่จะมาตามหาข้าในโลกร้างอีก”
ถูโยวหมิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นเขาก็ดื่มเหล้าอีกหนึ่งแก้วแล้วพูดอย่างทอดถอนใจ: “เดิมทีข้านึกว่าเมื่อมาถึงโลกร้าง ชีวิตในอนาคตของข้าก็จะยังเหลืออีกยาวไกล หลังจากมาถึงแล้วข้าถึงจะรู้ว่าตัวเองนั้นไร้เดียงสามากเพียงใด ผลการฝึกตนของข้าที่อยู่ในนี้ไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ บนดาราทุกดวงล้วนมีผู้แข็งแกร่งที่แค่ง้างมือก็สามารถสังหารข้าภายในพริบตา”
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร หากไม่ใช่เพราะเขามีความทรงจำของชาติปางก่อน เขาที่เดินทางจากมหาโลกาพันสามมายังโลกร้างก็ต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกันแน่นอน ผู้ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของโลกหล้าในตอนแรก มาถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยกะทันหัน แล้วพบว่าตัวเองเป็นเพียงมดตัวจ้อยตัวหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกที่แตกต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของคนคนหนึ่งอย่างมาก
แต่จากความเข้าใจของหลัวซิวที่มีต่อถูโยวหมิง เขาเป็นคนที่ตัวธรรมค่อนข้างแน่วแน่ เมื่อพูดตามหลักแล้ว เขาไม่ถึงขั้นถูกโจมตีจนยอมแพ้ง่ายเช่นนี้นะ
สำหรับเรื่องที่ว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ถูโยวหมิงผ่านพ้นเรื่องอะไรมากันแน่ หลัวซิวไม่ได้ไต่ถามแต่อย่างใด ทว่าถูโยวหมิงกลับราวกับเปิดเครื่องรับวิทยุยังไงอย่างนั้น บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาด้วยตนเอง
“เมื่อปีนั้นข้าใช้ยันต์ทะลุฟ้าฉีกกระชากพื้นโลกปริภูมิแล้วมาถึงบริเวณใกล้เคียงของดารามังกรดำ จะว่าไปแล้วก็ไม่กลัวสหายหลัวจะหัวเราะหรอก ขณะที่ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็เห็นมีคนกำลังแก่งแย่งต้นยาเซียนระดับหกสามต้น ผลการฝึกตนของคนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยต่างจากข้ามากเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นข้าจึงเข้าร่วมการแก่งแย่งด้วย ผลการฝึกตนอยู่ในระดับเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นคือมีผลการฝึกตนของคนสองคนต่ำกว่าข้าเสียอีก แต่ข้ากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ กระทั่งบัดนี้ข้าถึงจะทราบว่าจอมยุทธ์ในโลกร้าง แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ในมหาโลกาพันสามของเรามาก ๆ เพราะวรยุทธ์พลังอมตะที่พวกเขาฝึกแข็งแกร่งกว่าเรามาก……”
สำหรับเรื่องประเภทนี้นั้น หลัวซิวไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ ต่อให้ถูโยวหมิงไม่พูด หลัวซิวก็พอจะคาดเดาได้เช่นกันว่าสถานการณ์ ณ ขณะนั้นเป็นอย่างไร
ในประวัติศาสตร์ของมหาโลกาพันสาม ก็มีเพียงพวกมหาจักรพรรดิยุทธ์ดึกดำบรรพ์รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยมาก ๆ ได้เดินทางมายังโลกร้าง ทว่ากลับมีน้อยคนมากที่สามารถยืนหยัดอยู่ในโลกร้างได้ เนื่องจากผู้แข็งแกร่งในโลกร้างมีเยอะเกินไป หากผู้ที่มาจากมหาโลกาพันสามไม่ทันได้ระวังหน่อย ก็อาจจะถูกผู้อื่นขจัดทิ้งได้ตลอดเวลาเลย
“กระทั่งต่อมา ข้าได้พบเจอกับนาง นางมีนามว่าซูเสว่หลัน ขณะที่ข้าบาดเจ็บสาหัส นางเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าไว้ อีกทั้งบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกร้างให้ข้าฟัง……”
“ซูเสว่หลัน?”เมื่อหลัวซิวได้ฟังถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากเขารู้สึกคุ้นเคยต่อชื่อดังกล่าวเล็กน้อย เมื่อลองนึกดูดี ๆ เขาก็ทราบแล้วว่าซูเสว่หลันคือผู้ใด นั่นมันสตรีที่ปรากฏหลังจากเขาสังหารถังหย่งมิใช่หรือ?
ถูโยวหมิงไม่ได้สังเกตสีหน้าของหลัวซิวที่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เขาพลางดื่มเหล้าพลางพูดคนเดียว
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีชีวิตมาหลายร้อยล้านปีแล้ว แต่ข้าไม่กลัวสหายหลัวหัวเราะเยาะหรอก ข้าเริ่มตกหลุมรักนางตั้งแต่เวลานั้น ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตของถูโยวหมิงข้า ก็จะตกเข้าไปในแม่น้ำแห่งรักเช่นกัน ถึงแม้นางจะไม่ได้งดงามมากก็ตาม ทว่าข้า ณ ขณะนั้นกลับยินดีช่วยนางทำเรื่องทุกอย่าง มาตรแม้นว่าข้าจักต้องตายเพื่อนาง ข้าก็จะไม่มีความลังเลใจใด ๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวซิวไม่นึกเลยว่าจะเห็นน้ำตาไหลลงมาจากหางตามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ เขาใช้มือกำผมตัวเองเอาไว้แน่น ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง: “แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากข้ามอบไฟเทวชิงเทียนให้นางแล้ว นางก็หายตัวไปเลย……”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลัวซิวก็พอจะทราบแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าสิ่งที่เขาใส่ใจมากกว่ากลับเป็นไฟเทวชิงเทียนที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิพูดถึง
อดีตเขาเคยเห็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิมีของขลังที่ทรงพลังสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือโลงศพเทวสีดำ ซึ่งมีนามว่าโลงศพเทวมรณา และยังมีไฟเทวทองสัมฤทธิ์อีกหนึ่งใบ ไฟเทวชิงเทียนนั่นต้องเป็นของขลังชิ้นนั้นแน่นอน
คำว่าชิงเทียนนั้น ละเอียดอ่อนต่อหลัวซิวมาก ๆ เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงอาจารย์ของเขาเมื่อภพชาติก่อน
“สหายโยหมิง ไฟเทวชิงเทียนที่เจ้าหมายถึงมันคือสมบัติอะไรกันแน่?”หลัวซิวสอบถาม การที่สามารถทำให้ซูเสว่หลันจากไปโดยไม่บอกลาหลังจากได้รับของชิ้นนั้น ไฟเทวชิงเทียนนั่นต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน มันเป็นสมบัติที่ข้าได้รับมาจากโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ครั้นเมื่อข้าออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอกเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ภายในไฟเทวมีตราผนึกที่ทรงพลังมาก ข้าตระหนักรู้มานานหลายปี แต่ก็แค่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพออกมาจากไฟเทวได้เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น”
ถูโยวหมิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูด “อย่างไรของขลังชิ้นนั้นก็ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าจักบอกกับสหายหลัวตรง ๆ ก็ได้ หากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ พลังที่ผนึกอยู่ในไฟเทวชิงเทียนนั่น แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งปรโลกที่อยู่ในวังเทียนหมิงมาก ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว จิตใจหลัวซิวก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ พลังแห่งปรโลกเป็น 12 พลังแห่งสวรรค์ ในเมื่อเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งปรโลก เช่นนั้นก็มีโอกาสเป็นพลังแห่งชิงเทียนที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งใน 12 พลังแห่งสวรรค์แล้วล่ะ!