มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2695 ท่านหมี่
มาตรแม้นว่าเป็นยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงคงอยู่ สวรรค์ทั้ง 12 แห่งไท่ชูก็เป็นบุคคลที่อยู่แค่ในตำนานเท่านั้น ส่วนชิงเทียน ในฐานะที่เป็นสวรรค์ที่เก่าแก่ที่สุด กาลเวลาที่เขาคงอยู่มานั้น ยาวนานถึงขั้นที่ไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปได้แล้ว
ครั้นเมื่ออยู่ในมหาโลกาพันสาม ถูโยวหมิงเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีอุปนิสัยโผงผาง ทำอะไรก็ประมาทเลินเล่อไปหมด แต่ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่คงอยู่มาหลายร้อยล้านปีประเภทนี้ กลับสะดุดอยู่กับเรื่องความรักความรู้สึก
จู่ ๆ หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนถึงต้องตัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง แล้วแสวงหาวิถีตัวคนเดียว บางครั้งเรื่องอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นอุปสรรคของการเคลื่อนพลไปยังจุดสูงสุดของวิถียุทธ์จริง ๆ
อย่างเช่นถูโยวหมิง ณ วินาทีนี้ หากหลัวซิวไม่เจอเขาที่นี่ บางทีหลังจากที่เขาถูกซูเสว่หลันทอดทิ้งแล้ว ชีวิตก็อาจจะตกอยู่ในความทุกข์ทรมานไปตลอด ไม่แน่วันใดก็อาจจะถูกผู้อื่นฆ่าตายก็เป็นได้
หลังจากซูเสว่หลันจากโดยไม่บอกลาแล้ว ถูโยวหมิงก็เริ่มอยู่ในสภาวะที่ชีวิตตกต่ำลงไปในความชั่วร้าย เขาที่ปล่อยตนเองให้ตกต่ำล้าหลังลงไปได้ไปสถานที่อย่างหออาโปรมย์ แล้วใช้ทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในแหวนเก็บของจนหมดเกลี้ยง
เมื่อเขาไม่มีโอสถแก่นแท้ในการแสวงหาความสุขแล้ว ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเคารพยกย่องในตอนแรกของหออาโปรมย์ก็หายวับไปภายในพริบตา ขับไล่เขาออกมาโดยตรง
มาตรแม้นว่ามองในมุมชาติปัจจุบันหรือชาติปางก่อน หลัวซิวก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าควรพูดอะไรดี แต่ทว่าภาพจำของเขาที่มีต่อสตรีอย่างซูเสว่หลันนั้น มันไม่ค่อยดีจริง ๆ
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา ถัดจากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งมาถึงข้างโต๊ะของถูโยวหมิงและหลัวซิว
“เจ้าคือถูโยวหมิงหรอกหรือ?”
ผู้มาเยือนคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ สายตาร่วงลงบนตัวถูโยวหมิงโดยตรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ข้าเอง เจ้าหาข้าเพราะเรื่องอันใดหรือ?”ถูโยวหมิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่รู้จักคนดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ
“ท่านหมี่เชิญให้เจ้าเดินทางไปพบรอบหนึ่ง”ชายวัยกลางคนตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง ถึงแม้จะใช้คำว่าเชิญ แต่ภายในน้ำเสียงกลับมีความหมายในเชิงไม่ต้องสงสัย และไม่อาจปฏิเสธปนอยู่ด้วย
“ข้าไม่รู้ว่าท่านหมี่ที่เจ้าหมายถึงคือผู้ใด”ถูโยวหมิงทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ต่อให้สมองเขาจะตอบสนองได้ช้ามากเพียงใด ก็ทราบอยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามมาด้วยความประสงค์ร้าย
ใบหน้าของชายวัยกลางคนยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ไปกับข้าหนหนึ่งเถิด”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีพลังอำนาจที่น่าเกรงขามแผ่กระจายออกมาจากตัวชายวัยกลางคน คนอื่น ๆ ที่อยู่ในภัตตาคารล้วนไม่รู้สึกอะไร ทว่าพลังออร่าดังกล่าวกลับแผ่คลุม ถูโยวหมิง หลัวซิวรวมไปถึงลาร์เอาไว้
สีหน้าของถูโยวหมิงเปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกันจิตใจเขาก็รู้สึกขมขื่นถึงขีดสุดด้วย ตั้งแต่มาถึงโลกร้างเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้วที่เขาถูกผู้อื่นใช้พลังอำนาจกดอัดจนไม่อาจต่อต้านได้
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวนั่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับไปที่ใด ลาร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนแล้ว เสียงดั่งฟ้าร้อง พลังอำนาจที่ชายวัยกลางคนปลดปล่อยออกมาก็ถูกทลายจนหายไปหมด
สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนแปลงไป มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา ก่อนที่เขาจะง้างมือตบไปทางลาร์
มีรอยยิ้มที่ดุร้ายปรากฏบนใบหน้าลาร์ จากนั้นเขาก็จับมือของชายวัยกลางคนเอาไว้ได้เร็วปานสายฟ้า ออกแรงบีบครั้งหนึ่ง เสียงกระดูกที่แตกหักจึงสะท้อนออกมา ถัดจากนั้นก็ออกแรงสะบัดครั้งหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ถูกลาร์โยนออกไป
อย่างไรก็ตามเวลานี้เอง จู่ ๆ ร่างกายของชายวัยกลางคนกลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อย ๆ ร่วงลงบนพื้น มือซ้ายกุมข้อมือขวาที่กระดูกแตกสลายเอาไว้ สีหน้าหม่นหมองอย่างยิ่ง
“เป็นวัยรุ่นไยต้องอารมณ์ร้อนเช่นนี้ด้วยเล่า?”
ในขณะเดียวกัน ก็มีน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งดังออกมาจากห้องพิเศษที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเมื่อครู่เจ้าของเสียงดังกล่าวเป็นผู้ลงมือ ถึงได้ทำให้ชายวัยกลางคนนั่นไม่ขายหน้าคาที่
“ข้ามีอะไรบางอย่างจะถามถูโยวหมิงนิดหน่อย รบกวนทุกท่านมาพูดคุยในห้องข้าสักครู่เถิด”เจ้าของเสียงพูดต่อ
สีหน้าของถูโยวหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไรดี แต่หลัวซิวกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ: “หากเจ้ามีเรื่องอยากสอบถามสหายข้า เช่นนั้นเจ้าก็เดินมาเอง”
ลักษณะท่าทีที่เย่อหยิ่งจองหองของฝ่ายตรงข้ามทำให้หลัวซิวรู้สึกรำคาญมาก ในเมื่อเจ้ามีเรื่องอยากถามพวกข้า ก็ย่อมต้องเดินมาด้วยตนเองอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็จะดูไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย เหตุใดข้าจึงต้องเชื่อฟังคำสั่งเจ้า เหตุใดจึงต้องตอบเจ้า?
“โอหัง! บังอาจล่วงเกินท่านหมี่!”
ชายวัยชายคนในเมื่อครู่นี้ตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ถึงแม้กระดูกข้อมือขวาของเขาจะแตกสลายไปแล้ว แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของเขาแต่อย่างใด
มีหอคอยเวทย์หนึ่งหลังที่มีแสงสีเขียวกระพริบระยิบระยับปรากฏเหนือศีรษะชายวัยกลางคน ราวกับตั้งใจที่จะลงมืออย่างยิ่งใหญ่ที่นี่
ฝั่งนี้มีลาดเลาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น แต่กลับไม่เห็นเจ้าของภัตตาคารปรากฏเลย และไม่มีคนเข้ามาห้ามปรามด้วย นี่จึงทำให้หลัวซิวเข้าใจแล้วว่าท่านหมี่ที่กล่าวถึงนั้น น่าจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นหากได้ปะทะในนี้จริง ๆ ภัตตาคารแห่งนี้ต้องจบเห่แน่นอน แต่คนของภัตตาคารกลับไม่ปรากฏตัวตลอดมา ขอแค่คนฉลาดใช้สมองขบคิดเล็กน้อย ก็สามารถคาดเดาเรื่องทุกอย่างได้เอง
“ลาร์ อบรมสั่งสอนมันหน่อย ให้มันรู้ซะบ้างว่าอย่าได้ดูถูกผู้อื่น”หลัวซิวเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระด้วยซ้ำ เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ลาร์ที่อยู่ด้านหลังจึงพุ่งตรงเข้าไปอย่างรุนแรง
“กวง!”
เสียงที่ดังสนั่นหูดังก้องขึ้นมา หอคอยเวทของชายวัยกลางคนถูกหมัดหนึ่งของลาร์ชกจนกระเด็นออกไป ควันหลงที่ทรงพลังม้วนซัดออกไป ทำให้โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดที่อยู่ในภัตตาคารแตกสลายเป็นฝุ่นผง
ทันทีที่การต่อสู้ฝั่งนี้ได้เริ่มต้นขึ้น เหล่าลูกค้าในภัตตาคารก็ถอยออกไปอย่างหวาดผวาแล้ว
แม้นผลการฝึกตนของชายวัยกลางคนก็เป็นเทพมารระดับเจ็ดเช่นกัน แต่กำลังรบกลับด้อยกว่าลาร์มาก ๆ ลาร์ไม่ได้ผันร่างเป็นร่างดั้งเดิมของยักษ์อัสนีเลยด้วยซ้ำ แค่อาศัยแรงฮึดของร่างเนื้อ ก็กดอัดจนฝ่ายตรงข้ามถอยหลังกลับไปอย่างต่อเนื่องแล้ว
“มึงมันรนหาที่ตาย!”
ชายวัยกลางคนก็น่าจะถูกบีบจนหมดหนทางแล้ว จู่ ๆ รัศมีของหอคอยเวทย์ที่อยู่บนหัวเขาก็สว่างเรืองรองขึ้นมา หัวงูสีเขียวที่ใหญ่โตมโหฬารก็ยื่นออกมากะทันหัน อ้าปากแล้วกัดกระชากไปทางลาร์
หัวของงูตัวนี้ใหญ่โตอย่างยิ่ง เขี้ยวพิษน่าสะพรึงกลัว ขณะที่อ้าปากมีปราณพิษที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยงแพร่กระจายออกมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายอย่างมาก
ลาร์แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง กระบองเหล็กเซียนตรีภพก็ปรากฏในมือ กระบองเหล็กเซียนขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน แล้วโจมตีเข้าไปในปากงูเขียวโดยตรง ทำให้เลือดสีแดงสดที่เหม็นคาวสาดกระเด็นภายในพริบตา หัวงูเขียวถูกกระบองเหล็กเซียนทุบจนระเบิดแตกเป็นหมอกเลือดโดยตรง
“วิถีแห่งทาสอสูร!”
เสี้ยววินาทีที่งูยักษ์สีเขียวนั่นปรากฏ รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงกะทันหัน นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพบผู้ที่ฝึกวิถีแห่งทาสอสูรแล้ว อ้างอิงจากคำพูดของซูเสว่หลัน ทั้งธาตุดาราเคล็ดอัสนีมีเพียงสำนักสรรพอสูรเท่านั้นที่เชี่ยวชาญวิถีนี้มากที่สุด
“ปั้ง!”
ชายวัยกลางคนถูกลาร์ใช้กระบองเหล็กเซียนฟาดจนกระเด็นออกไป ของขลังคุ้มกันหนึ่งชิ้นแตกร้าวเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะกลายเป็นเศษซากตกลงบนพื้น หากไม่ใช่เพราะมีของขลังคุ้มกันชิ้นนี้ปรากฏในช่วงเวลาสำคัญ ชายวัยกลางคนเกือบถูกลาร์ฟาดจนตายไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหึที่เยือกเย็นสะท้อนออกมาจากห้องพิเศษ ถัดจากนั้นก็มีออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่แข็งแกร่งพรั่งพรูแผ่กระจายออกมา แล้วผนึกรวมกันกลายเป็นมือใหญ่สีทองข้างหนึ่ง กดอัดไปทางลาร์
“โครมคราม……”
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องอยู่ในเมืองเยว่คง บัดนี้มีสายตาที่นับไม่ถ้วนล้วนมองมาทางภัตตาคารแห่งนี้ ทั้งภัตตาคารพังทลายลงไปกะทันหัน ทำให้ฝุ่นละอองตลบฟุ้งไปทั่ว
มีพายุหมุนลูกหนึ่งม้วนซัดผ่านไป ฝุ่นละอองที่ตลบฟุ้งไปทั่วท้องฟ้าถูกพัดจนสลายหายไป จากนั้นก็มีเงาร่างของผู้อาวุโสที่อยู่ในชุดคลุมยาวหลากสีปรากฏ
หลัวซิวย่อมคุ้นเคยต่อชุดคลุมยาวรูปแบบนี้อยู่แล้ว เนื่องจากถังหย่งเมื่อตอนนั้นก็ใส่ชุดประเภทนี้เช่นกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือชุดคลุมที่ถังหย่งใส่มีสามสี แต่ชุดคลุมที่ผู้อาวุโสคนนี้ใส่มีห้าสี
วินาทีนี้ สีหน้าของผู้อาวุโสคนดังกล่าวดูย่ำแย่อย่างมาก สำนักสรรพอสูรที่อยู่ในธาตุดาราเคล็ดอัสนีก็ถือเป็นกองกำลังใหญ่ขั้นสุดยอดเช่นกัน ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักสรรพอสูรแล้วเดินทางมาเมืองเยว่คงเล็ก ๆ นี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนบังอาจไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้
หากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดก็แล้วไป แต่กลับเป็นเพียงมดตัวจ้อยเทพมารระดับหกและเทพมารระดับเจ็ดกระจอก ๆ เท่านั้น!
เสี้ยววินาทีที่ภัตตาคารพังทลาย หลัวซิวและถูโยวหมิงก็ถอยออกไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดแล้ว ลาร์ลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพังของภัตตาคาร สภาพร่างกายดูจนตรอกเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าขณะที่เผชิญหน้ากับฝ่ามือหนึ่งของท่านหมี่ในเมื่อครู่นี้ เขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเล็กน้อย
สำหรับจอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีแห่งทาสอสูรนั้น จำนวนฝูงอสูรที่มากมายเป็นกระบวนท่าโจมตีที่พวกเขาเชี่ยวชาญมากที่สุด แต่มันไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของตัวนักทาสอสูรเองก็อ่อนเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นท่านหมี่คนนี้ ผลการฝึกตนดั้งเดิมของเขาคือเทพมารระดับแปด ถึงแม้จะไม่ใช้ฝูงอสูรของตัวเอง ก็เพียงพอที่จะสามารถกดอัดเทพมารระดับเจ็ดได้แล้ว
ในแดนยุทธ์ ตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไป ก็จะมีการแบ่งแยกที่เข้มงวดอย่างยิ่ง การข้ามขั้นเอาชนะผู้ที่แดนอยู่เหนือกว่าตนจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ในเทพมารระดับเจ็ด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเจ็ด มากสุดก็แค่สามารถปะทะกับเทพมารระดับแปดทั่วไปอย่างสูสี แต่ยากที่จะข้ามขั้นสังหารเทพมารระดับแปดได้อย่างแน่นอน
ซึ่งนี่แตกต่างจากก่อนเทพมารระดับเจ็ดโดยสิ้นเชิงเลย เนื่องจากเมื่ออยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับเจ็ด อัจฉริยะระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สามารถก้าวข้ามหนึ่งแดนใหญ่แล้วสังหารคู่ต่อสู้ได้อยู่
ก่อนเทพมารระดับเจ็ด สิ่งที่ฝึกบนวิถียุทธ์คือกฎ และตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไป สิ่งที่ฝึกคือเกณฑ์ ซึ่งนี่มันแตกต่างกันมาก ๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
และก่อนเทพมารระดับเจ็ด ราชาเทพ มกุฎเทพ จักรพรรดิเทพและมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่กล่าวถึงนั้น แค่ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ ทว่าหลังจากเทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไปแล้ว ก็จะถูกเรียกขานว่าผู้แข็งแกร่ง
ระหว่างเทพมารระดับหกและเจ็ดเป็นช่องกว้างที่ห่างไกลกันมาก หากข้ามผ่านไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นมดตัวจ้อยตลอดไป หากข้ามผ่านไปได้แล้ว เส้นทางในอนาคตถึงจะยาวไกล
ศักยภาพของลาร์คือมกุฎเทพระดับเจ็ดขั้นสูง แทบจะสามารถเทียบทัดจักรพรรดิเทพระดับเจ็ด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเทพมารระดับแปดอย่างท่านหมี่ เขาก็ถูกกดอัดอยู่ดี
“ส่งตัวถูโยวหมิงมาให้ข้า แล้วข้าจะให้พวกเจ้าจากไปอย่างปลอดภัย”
ท่านหมี่ย่างเท้าเดินอยู่บนกลางอากาศที่ว่างเปล่า พลางมองกราดลงมาทางฝั่งหลัวซิวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเรียบนิ่ง
สาเหตุที่ไม่ได้ลงมือนั้น เป็นเพราะเขาคาดเดาศักยภาพที่แท้จริงของหลัวซิวไม่ได้ เทพมารระดับหกที่ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง มีเบื้องล่างผู้ติดตามที่อยู่ไม่ต่ำกว่ามกุฎเทพระดับเจ็ด แสดงว่าเขามีโอกาสเป็นผู้ที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดสูงมาก สำนักสรรพอสูรก็รุกรานคนที่มีความเป็นมาเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็ทราบแล้วว่าเป้าหมายของสำนักสรรพอสูรคือถูโยวหมิง เมื่อนึกโยงถึงเรื่องที่เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักสรรพอสูร ถังหย่งสืบหาร่องรอยของซูเสว่หลัน เช่นนั้นความสัมพันธ์เพียงหนึ่งเดียวระหว่างทั้งสามฝ่าย ก็มีเพียงไฟเทวชิงเทียนที่ถูกซูเสว่หลันเอาไปแล้วล่ะ!
ถูโยวหมิงยังคิดไม่ตกว่าเรื่องนี้มันเป็นอะไรยังไงกันแน่ เขาทราบแค่ว่าไฟเทวชิงเทียนเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่กลับไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสมบัติชิ้นนั้นมีมูลค่าที่มากมายเพียงใดกันแน่
“เขาคือสหายของข้า ย่อมปล่อยให้เจ้านำตัวไปไม่ได้อยู่แล้ว”หลัวซิวตอบกลับอย่างไม่ลังเลใจ
ไม่ว่าจะทำเพื่อไฟเทวชิงเทียน หรือทำเพราะถูโยวหมิงเคยร่วมมือต่อต้านศัตรูกับเขา เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ทั้งนั้น