มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2705 ฆ่าทุกคนให้ตาย
“ไหนๆ เขาก็บ้าบิ่นขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าไปประลองกับเขาดู!”
ผู้คุมกฎโฉวประกายความอาฆาตอันโหดเหี้ยม จากนั้นก็พูดกับอีกสี่คนที่อยู่ด้านข้าง
ในบรรดาห้าคนที่อยู่ข้างเขา เสิ่นเฟยเป็นเพียงผู้ฝึกตนเทพมารขั้นหกระยะท้ายเท่านั้น และอีกสี่คน แต่ละคนล้วนเป็นเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดแล้ว
การควบคุมพลังแห่งเกณฑ์นั้นต่อให้แกร่ง แต่มากสุดก็สามารถทดแทนความแตกต่างของการฝึกตนเท่านั้น ชายหนุ่มคนนี้สามารถโจมตีเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดให้พ่ายแพ้ได้ ยังจะสามารถชนะอีกสี่คนในเวลาเดียวกันได้เหรอ?
“รับทราบ!”
ศิษย์ทั้งสี่คนของสำนักสรรพอสูรตอบคำเดียวก็เดินออกไป อีกฝ่ายดูหมิ่นสำนักสรรพอสูรขนาดนี้ ทำให้พวกเขาก็ต้องเก็บกดความเลวร้ายในใจ
“ช้าก่อน!”
ในเวลานี้ หลัวซิวกลับเอ่ยปากกะทันหัน
“เป็นอะไรไป ความเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังเมื่อกี้หายไปไหน?”
ผู้คุมกฎโฉวหัวเราะเสียงดัง “เจ้าไม่สามารถกลับคำพูดได้ เมื่อเจ้าพูดไปแล้ว ทำให้สำนักสรรพอสูรของข้าอับอาย จะปล่อยสัตว์เดนัจฉานอย่างเจ้าไปได้อย่างไร”
“เจ้าเสียสติไปแล้วเหรอ?” หลัวซิวชำเลืองมองผู้คุมกฎโฉวอย่างดูถูกและพูดว่า “ข้าพูดช้าก่อน หมายความว่าเจ้าปล่อยให้คนทั้งสี่นี้ขึ้นมาตายฟรีๆ ถ้าเจ้ามีความกล้า เจ้าก็ขึ้นมาด้วย”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาก็เกิดความเงียบอีกครั้งในสถานประลองยุทธ์ ดวงตาของทุกๆคนเบิกกว้าง มองไปที่ชายชุดดำบนสนามการแข่งขันด้วยความไม่เชื่อ
เขาบ้าหรือเปล่า? ผู้คุมกฎของสำนักสรรพอสูรเป็นยอดฝีมือเทพมารขั้นเจ็ดเชียวนะ!
เสียงหัวเราะของผู้คุมกฎโฉวก็จบลงอย่างกะทันหันเช่นกัน และเขามองไปที่หลัวซิวบนสนามอย่างเหลือเชื่อ และพูดว่า “เจ้าพูดเองนะ”
“เจ้าไม่ได้ตาบอด เจ้าไม่ได้หูหนวก ถ้าข้าไม่ได้พูด เป็นเจ้าพูดอย่างนั้นเหรอ” หลัวซิวตะคอกอย่างเย็นชา ความดูถูกในดวงตาของเขาทำให้ดวงตาของผู้คุมกฎโฉวลุกเป็นไฟ
ผู้น้อยที่อยู่ขั้นกลางของเทพมารขั้นหก แต่กลับยั่วยุเทพมารขั้นเจ็ดอย่างเปิดเผยที่สถานประลองยุทธ์ นี่เป็นการดูถูกผู้คุมกฎโฉวอย่างไม่น่าให้อภัย!
“ถ้าเจ้าอยากตาย ข้าจะทำให้เจ้าตายเอง!”
ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ สายตาของผู้คุมกฎโฉวคงจะทะลุเป็นรูจนนับไม่ถ้วนแล้ว เขามองไปยังผู้รับผิดชอบสถานประลองยุทธ์ แล้วพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินแล้ว เขาเป็นคนท้าทายข้าเอง!”
ผู้รับผิดชอบของสถานประลองยุทธ์ไม่ได้พูดอะไร ที่ผ่านมาสถานประลองยุทธ์จะเข้มงวดในกฎมาโดยตลอด มีเพียงคนที่อยู่ในแดนเดียวกันถึงจะสามารถมาประลองบนสนามได้ ปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีสถานการณ์เหมือนตอนนี้ปรากฎ
ทันใดนั้น ในสถานประลองยุทธ์เกิดความดุเดือดแล้ว เป็นการเปิดสิ่งใหม่ๆในสถานประยุทธ์ หนึ่งคนคือเทพมารขั้นหก กลับมาประลองกับเทพมารขั้นเจ็ด!
ภายใต้สายตาของผู้ชมนับหมื่น ผู้คุมกฎโฉวเดินไปตรงสนามประลองยุทธ์ แม้ว่านี่จะเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย แต่เขากลับสามารถใช้เหตุผลที่ว่าชายหนุ่มคนนี้เหยียดหยามสำนักสรรพอสูร ถ้าไม่ฆ่าไอ้หมอนี่จนกระดูกกลายเป็นขี้เถ้า ก็คงยากที่จะบรรเทาความเกลียดในใจ!
หลัวซิวแทบจะไม่สนใจสายตาที่ใกล้จะฆ่าคนของผู้คุมกฎโฉวแม้แต่น้อย เพียงแค่กวาดสายตามองไปที่คนของสำนักสรรพอสูรอีกสี่คนที่ยืนอยู่ แล้วพูดว่า “พวกเจ้าขึ้นมาพร้อมกันเถอะ จัดการให้หมดภายในคราเดียว จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
ทุกคนต่างก็รู้สึกสุดคำบรรยาย การท้าทายเทพมารขั้นเจ็ดโดยข้ามระดับก็เป็นเรื่องบ้าบิ่นมากแล้ว ไอ้หมอนี่กลับยังบวกเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดเพิ่มอีกสี่คน นี่ไม่ใช่คนบ้าที่จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาเหรอ คนที่ป่วยทางจิตแบบนี้จะสามารถทำเรื่องที่เหนือทั่วไปออกมาแบบนี้ได้ยังไง?
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!……
เงาสี่คนบินมาถึงบนสนามประลอง สถานการณ์ที่โห่ร้องอย่างวุ่นวายในตอนแรกก็เงียบสงบลงทันที
“ทุกคนสามารถเดิมพันได้!”
เจ้าหน้าที่ของสถานประลองยุทธ์เดินออกมา เสียงสะท้อนไปทั่วสถานประลองยุทธ์
มีวิถีแห่งค่ายกลทุกที่นั่ง ณที่แห่งนี้ วิถีแห่งค่ายกลนี้สามารถบันทึกข้อมูลของผู้ชมโดยสามารถเลือกได้ว่าจะเดิมพันข้างไหนและเดิมพันเท่าไหร่
“ไม่ต้องห่วงไป!”
บางคนส่ายหัว การเดิมพันที่นี่ไม่มีราคาต่อรอง แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าควรเดิมพันข้างไหน
“ไม่แน่นะ ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีวิธีการที่ทรงพลังหากเขากล้าทำเช่นนี้” บางคนไม่เชื่อเรื่องความชั่วร้าย และเดิมพันว่าหลัวซิวจะชนะ
“พอเถอะ มีใครบ้างในบรรดาคนที่หัวร่อใรห้วงดารา ไม่มีไม้เด็ดที่แข็งแกร่ง? เขาเป็นรุ่นน้องของเทพมารขั้นหก เขามีไพ่ใบสุดท้าย ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ไพ่ใบสุดท้ายของเขาจะทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไร? ศัตรูของผู้คุมกฎโฉวที่เป็นเทพมารขั้นเจ็ดอย่างผู้คุมกฎก็ไม่มีไพ่ใบสุดท้ายที่แข็งแกร่งเหรอ?”
บางคนเพิกเฉยต่อคำพูดของคนตรงหน้า และเดิมพันทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขากับชัยชนะของสำนักสรรพอสูรโดยไม่ลังเล
“เจ้าไปเดิมพันด้วยสิ” ลาร์หยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วยื่นให้ถูโยวหมิงที่อยู่ข้างๆ
แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ค่อยแจกจ่ายทรัพยากรที่ได้รับให้เขา แต่ในฐานะยักษ์อัสนีที่อยู่รอดมาเป็นเวลานาน ลาร์ได้สะสมทรัพย์สมบัติมากมาย
“เดิมพัน… เดิมพันใคร?” ถูโยวหมิงตะลึงงันไปแล้ว และเขาก็ยังไม่ได้สติ
“นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระหรือเปล่า แน่นอนว่าเดิมพันนายเราชนะ!” ลาร์ตบหัวถูโยวหมิงไปหนึ่งที
ถูโยวหมิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงตบจากลาร์ และรีบหาที่นั่งเพื่อเปิดวิถีแห่งค่ายกล เพื่อวางเดิมพัน เมื่อเขาเห็นเนื้อหาในแหวนเก็บของ เขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง
ขณะนี้ เมื่อผู้รับผิดชอบสถานประลองยุทธ์ประกาศ การเดิมพันสิ้นสุดลงและการแข่งขันเริ่มขึ้น!
บนสนามศิลปะการต่อสู้ ผู้คุมกฎโฉวรักษาฐานะของตัวเองและไม่เคลื่อนไหวทันทีที่เขาขึ้นมา เป็นเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดทั้งสี่ที่เคลื่อนไหว
หลัวซิวยังไม่ได้ใช้ศัตราวุธของขลังใดๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังของยันต์ค่ายกลที่สลักบนร่างกายของเขา แค่อาศัยร่างเนื้อแดนร่างเทวสูงสุดขั้นเจ็ดก็เพียงพอที่จะกวาดล้างทุกสิ่งออกไป
“บูม!”
เสียงแตกสนั่นหูก็ดังมาจากสนามการแข่งขัน และระลอกคลื่นน้ำวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กวาดออกไป ทั้งหมดถูกปิดกั้นโดยวิถีแห่งค่ายกลที่พันธนาการรอบสนามการแข่งขัน และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ชมที่อยู่สังเวียนด้านล่าง
ศัสตราวุธของขลังแต่ละอันจู่โจมไปที่หลัวซิวเหมือนกับดอกไม้ไฟที่ระเบิดและแตกเป็นเสี่ยงๆอย่างสว่างไสว และร่างของหลัวซิวก็กระโดดขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ สิ่งใดก็ตามที่ขวางกั้นเขาจะถูกทำลาย กำปั้นที่ครอบงำทุบทำลายของพวกนั้นเป็นชิ้นๆ
ผัด!
ในชั่วพริบตา หลัวซิวพุ่งไปข้างหน้าเทพมารขั้นหกแดนสูงสุด ความเร็วในการโจมตีของเขาเร็วมากจนมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างชัดเจนและคู่ต่อสู้ของเขาก็ขาดออกเป็นสองท่อน เลือดสดกระเซ็นไปทั่ว
“ปริภูมิ!”
หลัวซิวควบคุมวิถีไร้ลักษณ์ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง พลังแห่งกฎปริภูมิก่อตัวเป็นขอบเขต ยับยั้งและคุมขังทุกสิ่ง
พื้นที่ของสนามการประลองทั้งหมดถูกแช่แข็งในทันทีและร่างของหลัวซิวก็สั่นไหวหลายครั้งอย่างรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ ยอดฝีมือเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดทั้งสี่ได้ตายไปแล้ว
ในอีกด้านหนึ่งของสนามประลองศิลปะการต่อสู้ ผู้คุมกฎโฉวเบิกตากว้างและใบหน้าของเขาน่าเกลียดมาก แผนเดิมของเขาคือปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสี่ของเขาทำการเคลื่อนไหวก่อนและตัวเองมาปิดตอนท้าย หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาจะโจมตีด้วยพลังอัสนีที่ยิ่งใหญ่ ฆ่าชายหนุ่มผู้หยิ่งยโสคนนี้ที่นี่
เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้นั้นเหนือความคาดหมายและจินตนาการของเขาอย่างสิ้นเชิง เทพมารขั้นหกแดนสูงสุดทั้งสี่ถูกสังหารในทันทีโดยไม่ผ่านมือของเขาแม้แต่น้อย!
และเขายังสังเกตเห็นว่าวิธีที่อีกฝ่ายใช้คืออาณาจักรของเกณฑ์ปริภูมิ! แม้ว่าพลังแห่งเกณฑ์จะสามารถควบคุมได้โดยการทะลวงผ่านไปยังอาณาจักรของเทพมารขั้นเจ็ด แต่ก็มีความแตกต่างในการรับรู้และการใช้พลังแห่งเกณฑ์
การสร้างอาณาจักรที่มีพลังแห่งเกณฑ์นั้นยากกว่าการสร้างอาณาจักรด้วยการใช้พลังแห่งกฎนับครั้งไม่ถ้วน ในอาณาจักรของเทพมารขั้นเจ็ด ทุกคนที่สามารถควบคุมอาณาจักรของกฎ ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือ
น่าเสียดายที่ผู้คุมกฎโฉวไม่ใช่ยอดฝีมือประเภพนี้ เขาเป็นเพียงเทพมารขั้นเจ็ดธรรมดาในช่วงแรกคนหนึ่ง และเขายังอยู่ห่างจากการเข้าใจความลึกลับของสนามแห่งกฎเป็นพันหมื่นลี้
“ตาเจ้าแล้ว”
เช่นเดียวกับตอนที่เขาฆ่าเสิ่นเฟย ตอนนี้เขาฆ่าเทพมารขั้นหกแดนสูงสุดไปสี่คน หลัวซิวยังคงสงบ
ทันใดนั้น ผู้คุมกฎโฉวก็ได้สติ อีกฝ่ายทำสิ่งนี้โดยเจตนา คนๆนี้ต้องการฆ่าคนทั้งหกรวมทั้งเขาที่นี่ตั้งแต่ต้น!
“แกเป็นใคร” สีหน้าของผู้คุมกฎโฉวเริ่มจริงจัง เขาไม่ใช่คนโง่ หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาพบว่าเขาถูกจูงจมูกตั้งแต่ต้น
“ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือแกจะต้องตายในอีกไม่ช้า และคนตายก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากมาย”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ แล้วร่างของเขาก็หายไปทันที
กฎปริภูมิสามารถเทเลพอร์ต นับประสาอะไรกับเกณฑ์ปริภูมิ?
นอกจากนี้ยังเป็นวิธีการเทเลพอร์ต แต่เกณฑ์ปริภูมินั้นทรงพลังกว่า ในช่วงเวลาของการเทเลพอร์ต ความผันผวนของพื้นที่จะน้อยลง และมันไม่ง่ายเลยที่ฝ่ายตรงข้ามจะสังเกตเห็น เว้นแต่ฝ่ายตรงข้ามจะมีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งมาก
ในขณะนี้ ผู้คุมกฎโฉวรู้ด้วยว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องดำเนินต่อไป เนื่องจากบุคคลนี้มาพร้อมกับถูโยวหมิง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการออกหร้าถูโยวหมิง ดังเช่นที่หลัวซิวฆ่าคนของถูโยวหมิงทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามจะแก้แค้นด้วยเลือดล้างเลือด แม้แต่ที่เขาที่เป็นผู้คุมกฎแห่งสำนักสรรพอสูรก็ตั้งใจที่จะฆ่าณที่นี่ด้วยเช่นกัน
“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า”
ผู้คุมกฎโฉวตะโกน ยกมือขึ้นตบถุงถุงอสูรเชื่องที่เอว แล้วอสูรจำนวนมากก็พากันออกมา
สำนักสรรพอสูรเป็นที่รู้จักกันในเรื่องวิชาอสูรเชื่องเคล็ดอัสนีธาตุดาว เป็นที่รู้จักกันดีในโลกมหาศักดิ์แปดด้าน แต่วิชาอสูรเชื่องไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ตัวอย่างเช่น ศิษย์ของสำนักสรรพอสูรสามสี่คนที่ถูกฆ่าโดยหลัวซิวเมื่อกี้ พวกเขาไม่เคยฝึกฝนวิชาอสูรเชื่องและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่ในระดับปานกลางมาก
แต่ผู้คุมกฎโฉวคนนี้แตกต่างออกไป เขาเป็นเทพมารขั้นเจ็ด และเป็นผู้ฝึกวิชาอสูรเชื่อง
แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว ทุกอย่างนี้ไม่สำคัญ เขาได้เคยฆ่าเทพมารขั้นแปดทั้งหมดซึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาอสูรเชื่องมาด้วย
“อัคคีเทพ!”
หลัวซิวตะโกนออกมาอย่างนุ่มนวล โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง อัคคีเทพที่บ้าคลั่งได้พุ่งออกมา กวาดล้างสนามการประลองทั้งหมดในทันที
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับฝูงของผู้ฝึกอสูรเชื่องคือพลังอมตะโจมตีกลุ่มที่ทรงพลัง ด้วยการพัฒนาความแข็งแกร่ง อัคคีเทพชีวีของหลัวซิวก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเขาใส่อัคคีเทพชีวีในเตาหลอมจื่อเซียว เพื่อน่มเพาะอัคคี หลังจากควบแน่นพลังของเกณฑ์เพลิงอัคคี ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ในชั่วพริบตา อสูรทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับเทพระดับเจ็ดถูกเผาเป็นเถ้าถ่านและไฟที่โหมกระหน่ำก็กระจายไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่อสูรขนาดใหญ่สองสามตัวในระดับเทพขั้นเจ็ดก็ยังคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บปวดจากการเผาไหม้เป็นๆ นั้นหาที่เปรียบมิได้