มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2706 หอกเลือดสังหาร
“สมควรตาย!”
ผู้คุมกฎฉิวตะคอกอย่างโกรธเปรี้ยว สำหรับนักทาสอสูรแล้ว ฝูงอสูรนั้นสำคัญมาก เมื่อฝึกแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพียงชั่วพริบตาก็สูญเสียอสูรไปเยอะขนาดนี้ นี่จึงทำให้ผู้คุมกฎฉิวรู้สึกเจ็บปวดดั่งเลือดหยดในใจ
“ผนึกเยือก!”
ผู้คุมกฎฉิวยกมือชี้ หอคอยเทวของขลังสีฟ้าชิ้นหนึ่งก็ถูกเขาเรียกออกมา แม้นนี่จะเป็นเพียงอาวุธเทพขั้นเจ็ดชิ้นหนึ่ง แต่กลับเป็นของขลังชั้นสุดยอดในบรรดาอาวุธเทพระดับเจ็ด
หลังจากเรียกหอคอยเทวของขลังสีน้ำเงินออกมาแล้ว ผลึกน้ำแข็งก็ลามไปทั่วเวทีประลองยุทธ์ภายในพริบตา และมีหิมะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ออร่าเย็นเยือกที่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรง อัคคีเทพชีวีของหลัวซิวจึงถูกกดอัดทันที
อัคคีเทพที่พลุ่งพล่านหดถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักอัคคีเทพซิวหลัวที่ลุกลามไปทั่วเวทีประลองยุทธ์ในตอนแรก ก็หดกลับไปข้างกายหลัวซิวโดยที่ยังมีรัศมีปกคลุมเขตพื้นที่ไม่ถึงสองฟุต
“ไอ้สารเลว มึงตายแน่! กูจักไม่ปล่อยให้มึงตายง่าย ๆ จักให้มึงได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดในโลกนี้ แล้วขยี้มึงให้เป็นเถ้าธุลี!”
เมื่อเห็นว่าเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งของตนกดอัดพลังแห่งอัคคีเทพของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็มีความดุร้ายที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดปรากฏบนใบหน้าผู้คุมกฎฉิว
“มึงดีใจเร็วเกินไปหรือเปล่า”
หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง จากนั้นเขาที่ยืนอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าก็ก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว อัคคีเทพที่ลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายก็ค่อย ๆ สลายหายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือจิตสังหารอันมากมายมหาศาลที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง!
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!…”
วินาทีนี้ ราวกับมีเทพมารนับพันตวาดคำราม และบนมือขวาที่หลัวซิวยกขึ้นมา มีจิตสังหารสีแดงเลือดผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นหอกยุทธ์สีแดงฉานดั่งโลหิตเล่มหนึ่ง
หอกโลหิตสังหารสวรรค์!
นี่คือพลังอมตะไร้เทียมทานที่ผู้แข็งแกร่งผู้บำเพ็ญปรปักษ์ในยุคไท่ชูริเริ่มขึ้นมาเพื่อต่อกรกับสวรรค์โดยเฉพาะ!
จากผลการฝึกตนในปัจจุบันของหลัวซิว เขายังไม่สามารถวิวัฒนาการความล้ำลึกขั้นสูงสุดของพลังอมตะวิชานี้ออกมาได้อย่างหมดเปลือก แต่เมื่ออาศัยความเข้าใจและการตระหนักรู้ในแดนยุทธ์ของเขา ก็เพียงพอที่จะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของพลังอมตะนี้ออกมาได้ไม่น้อยแล้ว
ไอสังหารและสังหารก็เป็นกฎประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเกณฑ์ได้ด้วย หอกโลหิตสังหารสวรรค์ที่หลัวซิวผนึกรวมออกมาในวินาทีนี้ก็มีโซ่แห่งเกณฑ์ปรากฏหลายเส้น
“ตู้มม!”
หลัวซิวง้างมือทิ่มแทงหอกยุทธ์ออกไป จิตสังหารสุดน่ากลัวที่ไร้ขอบเขตกลายเป็นมรสุมม้วนซัดทุกสรรพสิ่ง ปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ ถูกฉีกกระชากลงมาโดยสิ้นเชิง หอกยุทธ์กระหน่ำลงบนหอคอยเทวสีฟ้าของฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังอำนาจที่รวดเร็วกะทันหัน
เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินสะท้อนออกไป หอคอยเทวสีฟ้าสั่นเทิ้มจนเกิดเป็นเสียงดังหึ่ง ๆ มันไม่ได้ถูกหอกโลหิตสังหารสวรรค์ทลายในพลังโจมตีเดียว แต่กลับมีเสียงแตกดังเปราะสะท้อนออกมาจากผนึกเยือกรอบกายที่ประกอบจากเกณฑ์ธาตุน้ำแข็ง
การตระหนักรู้และการยึดกุมในเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งของผู้คุมกฎฉิวยังไม่บรรลุถึงแดนที่กลายเป็นอาณาจักรแล้ว ดังนั้นผนึกเยือกที่เขาปลดปล่อยออกมาดูเหมือนจะเป็นอาณาจักรประเภทหนึ่ง แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงต้นแบบของอาณาจักรเท่านั้นแหละ ซึ่งไม่ได้แข็งแรงมากขนาดนั้น
“ตึก!”
ฝ่าเท้าของหลัวซิวย่ำอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ร่างกายเขาราวกับหนักเป็นแสนชั่ง อนัตตาท้องฟ้าที่ว่างเปล่าถูกเหยียดย้ำจนสั่นเทิ้มแตกร้าว
“ฟึ่บ!”
วินาทีต่อไป ร่างกายของผู้คุมกฎฉิวก็กระเด็นออกไป เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก เขาฝืนต้านทานพลังโจมตีแรกจากหอกโลหิตสังหารสวรรค์ของหลัวซิวเอาไว้ได้ ทว่าหลังจากหลัวซิวปล่อยพลังโจมตีที่สองออกมาจากหอกยุทธ์ เขาก็ต้านทานต่อไปไม่ไหวแล้ว
“หยุด ข้า……”
ผู้คุมกฎฉิวในวินาทีนี้ตื่นกลัวแล้วจริง ๆ เขานึกไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่เป็นเพียงเทพมารระดับหกคนนี้จะแข็งแกร่งเช่นนี้ คนดังกล่าวมีศักยภาพที่สามารถสังหารเขาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสได้ขอร้องอ้อนวอน ผู้คุมกฎฉิวเพิ่งพูดคำพูดที่จะพูดออกมาได้ไม่กี่คำ หลัวซิวก็พุ่งสังหารเข้ามาพร้อมกับหอกโลหิตสังหาสวรรค์อีกครั้ง
ส่วนเหล่าผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองยุทธ์ กลับอึ้งทึ่งจนเหม่อลอยไปตั้งนานแล้ว นี่เป็นกำลังรบที่เทพมารระดับหกคนหนึ่งมีจริง ๆ หรือ?
หากเขาเป็นเทพมารระดับหกขั้นสูงคนหนึ่ง ผู้คนอาจจะพอยอมรับได้บ้าง แต่เขากลับเป็นเพียงเทพมารระดับหกช่วงกลาง ใช้ผลการฝึกตนระดับนี้ข้ามขั้นกดอัดเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่ง!
ระหว่างเทพมารระดับหกและระดับเจ็ดคือหนึ่งช่วงต่าง ซึ่งไม่สามารถใช้มาตรฐานของอัจฉริยะมาวัดและแยกแยะได้แล้ว ต่อให้เป็นอัจฉริยะมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับหกคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถก้าวข้ามหนึ่งแดนใหญ่โค่นล้มผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดได้แน่นอน นอกเสียจากผลการฝึกตนของตัวเองบรรลุถึงขั้นสูง แล้วใช้อำนาจฝืนทลายพันธนาการ โค่นล้มเทพมารระดับเจ็ดธรรมดาคนหนึ่ง
“เขาแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว……”
ถูโยวหมิงที่อยู่ด้านล่างมองดูจนเลือดร้อนระอุ ในมุมมองของเขา นี่ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงต่างหาก หลัวซิวในอนาคตถูกลิขิตไว้แล้วว่าจักกลายเป็นผู้ที่ทำให้เขาไม่อาจมุ่งหวังที่จะตามทัน
“โครม!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมาจากเวทีประลองยุทธ์ หอคอยเทวสีฟ้าของผู้คุมกฎฉิวแตกสลายแล้ว หอกยุทธ์สีแดงฉานปานโลหิตฉีกกระชากอนัตตา ทะลวงหว่างคิ้วผู้คุมกฎฉิว
เพียงพริบตาเดียวทั้งที่เกิดเหตุก็เสียงดังเกรียวกราว คนจำนวนมากล้วนลุกพรวดขึ้นมา ส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจต่อการประลองที่งดงามตระการตานี้
แม้แต่ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเวทีประลองยุทธ์ก็ตะลึงจนเหม่อลอยไปแล้ว ทุกคนล้วนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวมีศักยภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง อนาคตหากเขาไม่ดับสลายสูญสิ้น ต้องได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแน่นอน!
บนเวทีประลองยุทธ์ หอกโลหิตสังหารสวรรค์ที่อยู่ในมือหลัวซิวค่อย ๆ สลายหายไป เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว คนจำนวนไม่น้อยยิ่งรู้สึกหมดคำจะพูดอย่างยิ่ง สิ่งที่คนดังกล่าวใช้ในเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ศัตราวุธหอกยุทธ์ที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นสองอย่างนั้นหรือ แต่เป็นเพียงพลังอมตะวิชาหนึ่ง?
เวลานี้ไม่มีคนใดที่ยังสามารถสุขุมและใจเย็นได้อีกแล้ว ทว่ากลับมีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้น เขายืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ สีหน้าอารมณ์ดูสงบเยือกเย็นมาโดยตลอด
อุบาย ณ ปัจจุบันของเขาเพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับเทพมารระดับแปดได้แล้ว การสังหารเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งมันไม่มีความท้าทายอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงไม่มีอะไรที่คุ้มแก่การให้หลงระเริงใจ
มิหนำซ้ำเขาก็ทราบเช่นกันว่าหากไม่มีความทรงจำของอดีตชาติและวิถีไร้ลักษณ์ที่ฝึกริเริ่มในภพชาตินี้ จากผลการฝึกตนเทพมารระดับหกช่วงกลาง เขาไม่มีทางข้ามขั้นสังหารผู้คุมกฎฉิวที่เป็นเทพมารระดับเจ็ดได้ด้วยซ้ำ
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เปิดเผยไพ่เด็ดของตัวเองในการต่อสู้ในครั้งนี้เช่นกัน แค่ใช้พลังเกณฑ์ปริภูมิและเพลิงอัคคีที่วิวัฒนาการออกมาด้วยวิถีไร้ลักษณ์
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากพอแล้ว ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกก็ยึดกุมตระหนักรู้พลังแห่งเกณฑ์สองประเภท อีกทั้งข้ามขั้นสังหารเทพมารระดับเจ็ด โดยส่วนใหญ่ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้นั้น ก็มีเพียงเหล่าอัจฉริยะในแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแล้วล่ะ
หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะประมือกับผู้อื่นต่อ ดังนั้นหลังจากเขาสังหารผู้คุมกฎฉิวแล้ว ก็เดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์โดยตรง
คนส่วนมากล้วนมองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาทำให้ทุกคนได้มองเห็นการต่อสู้ที่ตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียโอสถแก่นแท้เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้เช่นกัน
อย่างไรเสียจากการเดิมพันในตอนแรก คนส่วนมากล้วนพนันว่าผู้คุมกฎฉิวแห่งสำนักสรรพอสูรจักเป็นผู้ชนะ
ถูโยวหมิงอารมณ์ดีมาก ๆ เพราะจากแหวนเก็บของที่ลาร์ให้มา เขาวางโอสถแก่นแท้ไปเยอะมาก หลังจากหลัวซิวคว้าชัยแล้วจึงทำกำไรได้เยอะมาก
ลาร์ไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด แบ่งส่วนหนึ่งให้เขาอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าแค่ส่วนนี้ส่วนเดียวก็ทำให้ถูโยวหมิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากแล้ว
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปหน่อยเลย เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายขนาดนี้แน่”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง
เมื่อถูโยวหมิงได้ยินคำพูดดังกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปภายในพริบตา ก่อนยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด: “ใช่สินะ เจ้าสำนักแห่งสำนักสรรพอสูรก็อยู่ในเมืองเสว่น่าเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเจ้าสำนักแห่งสำนักสรรพอสูร ถูโยวหมิงก็มักจะรู้สึกจนปัญญาอยู่เรื่อยเลย นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าที่สูงส่ง เป็นการคงอยู่ที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองได้
ต่อให้หลัวซิวจะเก่งกาจมากเพียงใด อย่างมากสุดก็แค่สามารถสังหารเทพมารระดับเจ็ด หลบหนีออกมาจากเงื้อมมือเทพมารระดับแปดได้อย่างปลอดภัย ทว่าเมื่อได้ปะทะกับเทพมารระดับเก้า ถูโยวหมิงรู้สึกว่าหลัวซิวก็ไม่มีทางถดถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
“แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอก นอกจากเวทีประลองยุทธ์แล้ว ตระกูลเทียนฮวงห้ามไม่ให้ทุกคนต่อสู้เข่นฆ่ากันในเมืองเสว่น่า ต่อให้ถังกู่สงจะเป็นเทพมารระดับเก้า ก็ไม่กล้าทำลายกฎเกณฑ์ของตระกูลเทียนฮวง”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น สายตาของหลัวซิวก็ร่วงลงบนตัวซูเสว่หลัน ตอนนี้พวกคนในสำนักสรรพอสูรถูกเขาฆ่าหมดแล้ว แต่ซูเสว่หลันกลับไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด
ทว่าต่อให้นางคิดที่จะหลบหนี แม้นหลัวซิวจะอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ ลาร์ก็ต้องหยุดยั้งนางแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยคือนางไม่ได้หลบหนี ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
สีหน้าอารมณ์ของถูโยวหมิงดูซับซ้อนเล็กน้อย เมื่อซูเสว่หลันเห็นว่าหลัวซิวกำลังเดินมาทางตัวเอง ก็มีความลุกลนเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตานาง
“ตามข้ามา”หลัวซิวเดินไปพูดตรงหน้าซูเสว่หลันด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
สตรีนางนี้หลอกหัวใจถูโยวหมิงไป อีกทั้งยังเกือบจะทำให้ถูโยวหมิงเสียชีวิตไปเพราะเหตุนี้ด้วย หลัวซิวจึงไม่ชอบขี้หน้าคนประเภทนี้จากก้นบึ้งของหัวใจเลย
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะอยากทราบเบาะแสของไฟเทวชิงเทียน เขาจักไม่สนใจความเป็นความตายของซูเสว่หลันเลยด้วยซ้ำ
“ข้าไปกับเจ้าไม่ได้”ซูเสว่หลันตอบกลับ นางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอหลัวซิวที่นี่
“เจ้าไม่มีทางเลือก”หลัวซิวขมวดคิ้วลง
“บนตัวข้ามีตัวต้องห้ามของสำนักสรรพอสูร ถ้าเกิดข้าไปพร้อมกับเจ้า ตัวข้าตายไปไม่เป็นไร แต่ตระกูลซูของเราก็จะเดือดร้อนไปด้วย”ซูเสว่หลันพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ดูขมขื่น
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว หลัวซิวก็ปลดปล่อยตัวสำนึกของตัวเองออกไปภายในพริบตา ซูเสว่หลันก็สัมผัสได้เช่นกันว่าหลัวซิวกำลังใช้ตัวสำนึกตรวจสอบร่างกายตัวเองอยู่ นี่จึงทำให้นางขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ ระหว่างจอมยุทธ์ด้วยกัน หากใช้ตัวสำนึกตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามโดยที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากฝ่ายตรงข้าม มันเป็นพฤติกรรมที่เสียมารยาทมาก ๆ และเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างหนึ่งเช่นกัน
แต่หลัวซิวกลับเบื่อที่จะสนใจด้วยซ้ำว่าซูเสว่หลันคิดอย่างไร เมื่ออาศัยพลังญาณเทว เขาก็มองเห็นความลับทุกอย่างบนตัวซูเสว่หลันจนหมดเปลือกเลย
ไม่นานนัก หลัวซิวก็ค้นพบตัวต้องห้ามประเภทหนึ่งบนตัวนาง ซึ่งตัวต้องห้ามถูกร่ายอยู่ในตัวหยั่งรู้ของซูเสว่หลัน อีกทั้งยังเป็นตัวต้องห้ามที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดร่ายไว้อีกด้วย ทันทีที่มันระเบิด จากผลการฝึกตนเทพมารระดับหกของซูเสว่หลัน นางจักดับสลายสูญสิ้นเป็นฝุ่นผงภายในพริบตาเลย
ตัวต้องห้ามที่กล่าวถึงนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นอุบายที่กำเนิดจากวิถีค่าย หลัวซิวผนึกรวมพลังญาณเทว ใช้เวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ ก็ทำการทลายตัวต้องห้ามดังกล่าวได้แล้ว
ขณะที่ตัวต้องห้ามถูกทำลายทิ้ง เจ้าของที่ร่ายตัวต้องห้ามดังกล่าวต้องรับรู้ได้แน่นอน หลัวซิวก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เช่นกัน เขาสังหารคนในสำนักสรรพอสูรไปหลายคนแล้ว และสำนักสรรพอสูรก็ต้องตรวจสอบจนเจอตัวเขาแน่นอน
“บัดนี้เจ้าไปกับข้าได้แล้ว”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา
ซูเสว่หลันมองหลัวซิวด้วยสายตาที่ตะลึง นางต้องรู้อยู่แล้วว่าตัวต้องห้ามที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของตนถูกร่ายโดยผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปด แต่หลัวซิวนี่ถึงขั้นสามารถทำลายมันได้อย่างนั้นหรือ ตกลงเขาคือผู้ใดกันแน่?
เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่คนดังกล่าวใช้อำนาจกดอัดสังหารผู้คุมกฎฉิวอย่างเด็ดเดี่ยวอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ในเมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ซูเสว่หลันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีผู้อาวุโสเทพมารระดับแปดคนหนึ่งของสำนักสรรพอสูรที่ชื่อท่านหมี่ดับสลายสูญสิ้นบนดารามังกรดำ ซึ่งนางจำได้ว่าถูโยวหมิงก็อยู่ดารามังกรดำด้วย
ทว่าบัดนี้หลัวซิวนี่กลับอยู่พร้อมกับถูโยวหมิง หรือว่าผู้ที่สังหารท่านหมี่ก็คือหลัวซิวคนนี้?
ในส่วนของถูโยวหมิงนั้น ซูเสว่หลันเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาช่วงหนึ่ง จึงย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีศักยภาพระดับนั้น เช่นนั้นคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือผู้ที่สังหารท่านหมี่คือหลัวซิวที่ลึกลับอย่างยิ่งและคาดเดาไม่ได้นี่แล้วล่ะ