มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2730 เอาชนะศัตรูด้วยกระบวนท่าเดียว
“เทพมารระดับเก้า!”
สีหน้าของคนหลายคนเปลี่ยนไป เพราะสำหรับคนรุ่นเยาว์ในปัจจุบัน เทพมารระดับเก้าเป็นคนที่ไม่อาจต้านทานได้สักนิด
โดยทั่วไปแล้ว การต่อสู้บนเวทีประลองยุทธ์เป็นไปด้วยความสมัครใจ และในเมืองหยุนหลงก็มีกฎ ห้ามให้ผู้อื่นเข้าแทรกแซงในการต่อสู้
แต่ตอนนี้คนของชนเผ่าเฉว่ซ่าได้ฝ่าฝืนกฎนี้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะท่านชายเทพโลหิตเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของรุ่นเยาว์ในชนเผ่าเฉว่ซ่า ผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งทั้งหลายของชนเผ่าเฉว่ซ่าต่างให้ความหวังกับเขาอย่างสูงก็ไม่สามารถให้เขาเกิดอะไรอยู่ที่นี่แน่นอน
ทันใดนั้นดวงตาของหลัวซิวก็เย็นชา คนที่โจมตีเป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ ถ้าเขาโยนเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาเพื่อสกัดกั้นการกระโจมตีนี้ก็ไม่น่าจะยาก และในเวลาเดียวกันที่เขาสกัดกั้นก็ยังสามารถฆ่าท่านชายเทพโลหิตให้ตายอยู่ที่นี่อย่างรวดเร็วได้ด้วย
แต่หลัวซิวก็เข้าใจช่นกันว่าเขาฆ่าท่านชายเทพโลหิตอยู่ที่นี่จะไม่เป็นผลดีต่อเขาเลย เพราะเขาเป็นเทพมารระดับหกขั้นสูงคนหนึ่งกลับสามารถต้านทานการโจมตีของเทพมารระดับเก้าได้ นี่เท่ากับบอกทุกคนว่า เตากลั่นนภาจื่อเซียวของเขาเป็นสมบัติเลิศล้ำชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งกว่านั้น เขาฆ่าท่านชายเทพโลหิต ชนเผ่าเฉว่ซ่าจะต้องเป็นศัตรูกับเขาจนตายไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน บางที แม้แต่เฒ่าประหลาดราชาเทพระดับเก้าก็อาจจะมาจัดการกับเขาด้วยตนเองโดยไม่สนใจหน้าตัวเอง
แน่นอนว่าหลัวซิวก็เข้าใจดีว่าแม้ว่าเขาจะไว้ชีวิตท่านชายเทพโลหิตในตอนนี้ เขาและชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ถือได้ว่ามีความแค้นแล้ว แต่อย่างน้อยก็จะไม่มีปัญหาใหญ่ไปมากกว่านี้ ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม
ความคิดเหล่านี้พุ่งวาบเหมือนฟ้าแลบขึ้นในสมองของหลัวซิว และเขาเลือกอย่างหลังอย่างเด็ดขาด
“โครม!”
พลังแห่งเกณฑ์ส่องประกายอยู่บนร่างเขา ด้วยพลังของปริภูมิและความเร็ว การเคลื่อนไหวของหลัวซิวทะลุขีดจำกัดในทันที แล้วยังหลุดจากพันธนาการของปราณกระบี่สีเลือดและออร่า
“บูม!”
ปราณกระบี่สีเลือดฟันลงบนม่านแสงค่ายกลป้องกันของเวทีประลองยุทธ์ก่อน ค่ายกลป้องกันที่สร้างอยู่รอบ ๆ เวทีประลองยุทธ์นั้นไม่ใช่ระดับต่ำ แต่เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นรุ่นเยาว์ที่ประลองอยู่ที่นี่ จึงเป็นเพียงค่ายเทพระดับแปดเท่านั้น
แค่ก ม่านแสงของค่ายกลก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ปราณกระบี่ก็มาถึงในทันที แล้วฟันลงไปที่บนเวทีประลองยุทธ์ ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งไปทั่ว
เวทีประลองยุทธ์ที่แข็งไร้ที่เปรียบถูกตัดเป็นสองท่อนด้วยปราณกระบี่นี้ แต่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ที่ต่อสู้กับท่านชายเทพโลหิตได้หายตัวไปแล้ว
“อยู่ตรงนั้น!”
ทันใดนั้น มีคนชี้ไปที่ท้องฟ้าในระยะไกล ร่างในชุดคลุมสีดำยืนอยู่กลางอากาศ
“ฮึ่ม!”
มีเสียงเย็นชาเป็นครั้งที่สองดังมาจากอนัตตา จากนั้นมือใหญ่สีแดงเลือดก็ตกลงมาจากอนัตตา มือใหญ่นี้ครอบคลุมถึงพันไมล์ และจิตสังหารอันไร้ขอบเขตน่าสะพรึงกลัวก็เต็มไปทั่ว ทำให้หลัวซิวไม่มีทางหนี
“เซวี่ยหยิงเชว่เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
กำปั้นพุ่งลงมาจากปลายท้องฟ้า ตามด้วยเสียงดังสนั่น มือใหญ่สีเลือดแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วหายไปในอากาศ
อนัตตาแตกเป็นเสี่ยงๆ หลัวซิวก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีกงล้อเทพสีเลือดลอยอยู่ด้านหลังกระอักเลือดออกมาเต็มปากทันที
เห็นได้ชัดว่า เมื่อครู่นี้มีผู้แข็งแกร่งลงมือแล้ว ไม่เพียงลบล้างเจตนาสังหารของคนผู้นั้น แต่ยังทำให้เซวี่ยหยิงเชว่บาดเจ็บด้วย
ผู้แข็งแกร่งที่ลงมือไม่ได้ปรากฏตัว แต่หลัวซิวอาจเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของเมืองหยุนหลง เพราะกฎของเวทีประลองยุทธ์ถูกกำหนดโดยเมืองหยุนหลง คนของชนเผ่าเฉว่ซ่าฝ่าฝืนกฎตามใจชอบซึ่งเท่ากับการหักหน้าของเมืองหยุนหลง
อย่างไรก็ตาม ผู้แข็งแกร่งของเมืองหยุนหลงลงมือก็ไม่ได้ทำให้ เซวี่ยหยิงเชว่ลำบากมากนักแต่ก็ลงโทษเขาเล็กน้อย
จากสัญญาณเหล่านี้ หลัวซิวตัดสินได้คร่าว ๆ ว่าความแข็งแกร่งของชนเผ่าเฉว่ซ่าน่าจะไม่ด้อยกว่าเมืองหยุนหลง มิฉะนั้น ผู้แข็งแกร่งของเมืองหยุนหลงจะฆ่าคนผู้นี้ทันที เพื่อเป็นการเตือนคนอื่นๆ
เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่หลัวซิวจะประลองยุทธ์กับ ท่านชายเทพโลหิตต่อไป
ท่านชายเทพโลหิตลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ด้วยสีหน้าเย็นเฉียบพร้อมพูดเสียงต่ำ “ข้ายังไม่ได้ใช้กระบี่เทพสังหาร ความอัปยศอดสูในวันนี้จัต้องชดใช้ด้วยเลือดของเจ้า!”
ในแดนปริศนาปริภูมิของห้องใต้หลังคา หลัวซิวก็กลับมาที่นี่เช่นกัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ท่านชายเทพโลหิต ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพูดว่า “ยันต์เทพสงครามล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่านตาของ ท่านชายเทพโลหิต หดลง ยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงยันต์เทพสงครามไปทางหลัวซิว
เขารู้ดีว่าการที่มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ หากเขาท้าแล้วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาจะถูกเยาะเย้ยแน่
“เพี๊ยะ!”
หลัวซิวเอื้อมมือคว้า เก็บยันต์เทพสงครามไว้ สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่อาวุธของขลังขั้นเทพระดับเก้า แต่เป็นสมบัติของผู้แข็งแกร่งตระกูลเทพสงคราม
“สหายหลัว ข้าดื่มให้เจ้าสักถ้วย!”
หยุนยี่เทียนหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาและชี้ไปทางหลัวซิว ถ้าหากบอกว่าตอนแรกเขาพูดคุยกับหลัวซิวด้วยสีหน้าที่ดีเพราะให้เกียรติฮวงหวูจี๋ แต่ตอนนี้เขาชื่นชมความแข็งแกร่งของคนนี้จริงๆ
ในโลกของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์นี้ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถชนะใจผู้อื่นได้
เมื่อเห็นหยุนยี่เทียนดื่มเหล้าเพื่อหลัวซิว สีหน้าของ ท่านชายเทพโลหิตก็ดำลงยิ่งขึ้น หากเขาไม่ระงับเจตนาฆ่าของเขา เขาอาจพลิกโต๊ะในตอนนี้ทันที
ความแข็งแกร่งของ ท่านชายเทพโลหิตเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ แม้แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว คนอื่นๆ ก็ไม่มั่นใจ ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องหลัวซิว
แต่ทุกคนก็รู้เช่นกันว่าแม้ว่า ท่านชายเทพโลหิตจะพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่เขากลับไม่ได้เปิดเผยไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ หากใครก็ตามที่รู้จัก ท่านชายเทพโลหิตจะรู้ว่าเขามีกระบี่เทพสังหารอยู่ในมือซึ่งมีพลังมหาศาล
“สหายหลัว ท่านชายเทพโลหิตเป็นคนใจแคบ เจ้าต้องระวัง” ฮวงหวูจี๋กังวลว่าหลัวซิวจะคิดว่าความแข็งแกร่งของท่านชายเทพโลหิตมีเท่านี้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนเขาเสียงเบา
หลัวซิวพยักหน้า เขาไม่สนใจเรื่องนี้ ในใจของเขา เขารู้ว่าฮวงหวูจี๋เตือนเขาเพราะว่าท่านชายเทพโลหิตยังมีวิธีการที่เก่งกาจซ่อนอยู่ แต่เขาก็มีไพ่ตายที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่เสมอเหมือนกัน
“ฮวงหวูจี๋ เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?”
ทันใดนั้น ในบรรดาผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ ชายหนุ่มร่างสูงยืนขึ้น ยกนิ้วชี้ไปที่เวทีประลองยุทธ์ด้านนอก จ้องมองฮวงหวูจี๋ด้วยสายตาร้อนแรงเหมือนคบเพลิง
ชื่อของคนนี้คือ ตู้ฉิงชาง เขาก็เป็นอัจฉริยะที่รู้จักกันดีในหมู่คนรุ่นเยาว์ในโลกร้างเขตกลาง เมื่อสิบปีที่แล้วเขาได้ต่อสู้กับฮวงหวูจี๋แล้วเขาก็พ่ายแพ้ไปเพียงเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปสิบปี ความแข็งแกร่งของ ตู้ฉิงชางนั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงอยากใช้โอกาสนี้ท้าทายฮวงหวูจี๋เพื่อล้างแค้นให้กับความอัปยศของเขา!
ฮวงหวูจี๋สังเกตเห็นว่า ตู้ฉิงชางก็อยู่ที่นี่เช่นกันเมื่อตอนที่เขาเข้าสู่แดนปริศนาของห้องใต้หลังคา และเขารู้ว่าการต่อสู้ในวันนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เขาเป็นเจ้าเมืองน้อยของเมืองต้าฮวงโบราณ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถไม่รับการท้าทายของคนตรงหน้าในรุ่นเดียวกันได้ ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและยิ้มจาง ๆ “สหายฉิงชางต้องการต่อสู้ ข้า ฮวงหวูจี๋ รับการท้าทายของเจ้า!”
คนหลายคนตาเป็นประกายเมื่อเห็นฉากนี้ หลังจากการต่อสู้ระหว่าง ท่านชายเทพโลหิตและหลัวซิว นี่เป็นการต่อสู้ครั้งที่สองระหว่างอัจฉริยะรุ่นเยาว์
ทั้งฮวงหวูจี๋และ ตู้ฉิงชางเป็นอัจฉริยะที่รู้จักกันดี เมื่อทั้งสองคนปรากฏตัวบนเวทีประลองยุทธ์ข้างนอก พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วนในทันที
“พรึบ!”
ม่านแสงค่ายกลใหม่ปรากฏขึ้นรอบ ๆ เวทีประลองยุทธ์ ค่ายกลที่จัดเรียงใหม่นี้เห็นได้ชัดว่าถึงขั้นเทพระดับเก้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะการโจมตีของเซวี่ยหยิงเชว่ ทำให้ผู้แข็งแกร่งในเมืองหยุนหลงได้เพิ่มระดับความแข็งแกร่งของค่ายกลขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่คล้ายกันอีก
เพราะหลัวซิวไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง หากเปลี่ยนเป็นฮวงหวูจี๋ถูกโจมตีโดยเทพมารระดับเก้าอยู่ที่นี่ เฒ่าประหลาดในเมืองต้าฮวงโบราณเกรงว่าจะพุ่งออกมากันทั้งหมด ต้องให้เมืองหยุนหลงและชนเผ่าเฉว่ซ่าขอโทษ
โลกร้างเขตกลางเป็นศูนย์กลางของห้วงดาราโลกร้างทั้งมวล ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลกร้าง มีชายหนุ่มผู้เก่งกาจและสตรีเทพธิดารุ่นเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนถือกำเนิดขึ้นมาจากที่นี่
โดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่ใครก็ตามที่สามารถโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนรุ่นเยาว์และสร้างชื่อให้ตัวเองได้ ตราบใดที่ไม่เสียชีวิตลงกลางคันก็จะมีความสำเร็จที่น่าทึ่งในอนาคต
“แคร่ง!”
บนเวทีประลองยุทธ์ ฮวงหวูจี๋และ ตู้ฉิงชางเป็นศัตรูกันมานาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ ระหว่างพวกเขา ทันทีที่พวกเขาขึ้นไป พวกเขาก็ระเบิดออร่าที่น่าตกใจออกมา ออร่าปะทะกันเองเหมือนดาบและกระบี่ เกิดเสียงดังแคร่ง
ตู้ฉิงชางเดินไปทางวิถีกลั่นร่าง ร่างกายของเขาพ่นเลือดปราณพลานุภาพออกมา กลายเป็นมังกรตัวใหญ่ทรงพลังอยู่ที่อนัตตาเหนือหัวของเขา
“ร่างทองคงกระพัน!”
ตู้ฉิงชางก้าวไปข้างหน้า แสงสีทองปะทุไปทั่วร่างกายแล้วพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ราวกับว่ามีร่างเงาสีทองปรากฏขึ้นข้างหลังเขา วิชาผนึกที่ทรงพลีงอย่างยิ่งก็พุ่งเข้าหาฮวงหวูจี๋ในทันที
สีหน้าของฮวงหวูจี๋นั้นเฉยเมยมากตั้งแต่แรก เห็นเพียงร่างของเขาเคลื่อนไหว แล้วพุ่งออกไปโจมตี เขาก้าวออกไปสามก้าวในทันที ทุกครั้งที่เขาก้าวไปข้างหน้า ปราณของเขาจะเพิ่มขึ้นสามส่วน เมื่อก้าวไปสามก้าว ปราณก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด!
“หมัดต้าฮวง!”
ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่ง ฟ้าดินสั่นสะเทือน ออร่าของฮวงหวูจี๋เหมือนกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ เกณฑ์พลังเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกจากร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง รุมเข้าหาหมัดของเขา
“บูม!”
เสียงสั่นสะเทือนที่รุนแรงน่าตกใจสะท้อนออกมา พลังพลานุภาพอันน่าเกรงขามของเลือดปราณที่ปะทุออกมาจากร่างของ ตู้ฉิงชางสลายไปทีละนิ้ว แม้แต่เงาร่างสีทองที่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาก็พังทลายแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที!
ตู้ฉิงชางส่งเสียงเจ็ดปวดออกมา ร่างกายกระเด็นถอยออกไป มุมปากมีรอยเลือด ใบหน้าแดงก่ำ เขากลืนเลือดที่มาถึงคอของเขาลงไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยอมรับ
“ข้าคิดว่าข้ามีความก้าวหน้าอย่างมากในสิบปีนี้ และต้องแซงหน้าเจ้าไปได้ แต่ข้าคาดไม่ถึงว่าความก้าวหน้าของเจ้าจะมากกว่าข้า!”
ใบหน้าของ ตู้ฉิงชางซีดเล็กน้อย เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ที่เขาต่อสู้กับฮวงหวูจี๋ เขาอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาเกือบเท่ากัน
แต่สิบปีต่อมา เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเขาก็เสียเปรียบแล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป เขาก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮวงหวูจี๋แน่นอน และเขาจะพ่ายแพ้ยิ่งกว่าเมื่อสิบปีก่อน !
ผลลัพธ์นี้ ทำให้ ตู้ฉิงชางยากที่จะยอมรับ มีความเกลียดชังและความอิจฉาริษยาในดวงตาของเขา
“เมื่อสิบปีก่อน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า อีกสิบต่อต่อไปช่องว่างระหว่างเจ้ากับข้าจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น!”
สีหน้าฮวงหวูจี๋ราบเรียบ พูดว่า “วันนี้เจ้าไม่สามารถรับกระบวนท่าเดียวของข้าได้ ในอนาคตเจ้าไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะให้ข้าโจมตีเจ้า!”
เมื่อต้องรับมือกับศัตรูเก่า ฮวงหวูจี๋ใช้คำพูดเพื่อโจมตีความมั่นใจและความเชื่อมั่นของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อ ตู้ฉิงชางได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ยิ่งขรึมลงมากขึ้น เขาส่งเสียงฮึ่มเย็นชา หันหลังจากไป