มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2759 คนทรยศหัวใจ
“ท่านชาย……”
เมื่อฮู๋ชิงชิงเห็นหลัวซิว จึงคารวะอย่างนุ่มนวล
“ขอบคุณสหายหลัวอย่างยิ่งที่ลงมือช่วยเหลือ”ฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนก็ต่างประสานมือทำท่าคารวะเช่นกัน
“สหายหวูจี๋และสหายหยุนเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่มีค่าพอที่จะกล่าวถึงหรอก”หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ
“สหายหลัว เราทุกคนออกปฏิบัติการพร้อมกันเถิด อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากล้วนรวมตัวรับมือกับศัตรู ทันทีที่อยู่ตัวคนเดียวแล้วประสบพบเจอกับการถูกรุมโจมตี จักง่ายต่อการตกรอบสูงมาก”หยุนยี่เทียนเสนอ
“ความคิดนี้ไม่เลวเลย จากกำลังรบของสหายหลัว เพียงพอที่จะรับมือกับศัตรูสิบคนพร้อมกันได้แล้ว การที่เราจะได้รับโควต้านั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นที่แน่นอนเช่นกัน”หยุนยี่เทียนปรบมือเห็นด้วย
ฮู๋ชิงชิงไม่ได้พูดอะไร แค่มองหลัวซิวด้วยสายตาที่อ่อนโยน เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางจะรอดูว่าหลัวซิวจะตัดสินใจอย่างไร
“ข้าไม่มีความคิดเห็นใด ๆ หากทุกคนออกปฏิบัติการพร้อมกันละก็ ถึงครานั้นก็จะสะดวกมาก ๆ”หลัวซิวพยักหน้า
โดยทั่วไปแล้วการแข่งขันช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวงในครั้งนี้ มีวิธีตกรอบสองประเภท หนึ่งคือถูกฆ่า สองคือหลบหนีออกไปจากโลกาจ่างจงนี้ ทันทีที่หลบหนีออกไปจากโลกาจ่างจง ก็จะไม่มีวันกลับเข้ามาได้อีก แต่ถ้าเกิดศักยภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไปละก็ บวกกับฝ่ายตรงข้ามมีจิตใจที่จะสังหารอีก โดยส่วนใหญ่แล้วมีคนหลบหนีออกไปได้น้อยมาก ๆ คนจำนวนมากล้วนต้องดับสลายสูญสิ้น!
แน่นอนอยู่แล้วว่าก็มีคนบางส่วนรู้ซึ้งถึงความยากลำบากแล้วถดถอยเช่นกัน ถอยออกไปจากการแข่งขันนี้ด้วยตนเอง ทว่าคนประเภทนี้ค่อนข้างน้อย เหล่าวัยรุ่นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งล้วนมีความหยิ่งยโสของตัวเอง
ทั้งสี่คนออกเดินทางพร้อมกัน ในจำนวนทั้งสี่คน ฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียนรวมไปถึงฮู๋ชิงชิงต่างเป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกร้าง พวกเขาก็ประสบพบเจอกับการเข่นฆ่าติดต่อกันหลายครั้งเช่นกัน แต่คู่ต่อสู้ส่วนมากล้วนถดถอยกลับทันที
เมื่อดำเนินการมาถึงวันที่สาม หลัวซิวทั้งสี่คนก็ประสบพบเจอกับคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ผลการฝึกตนของคนดังกล่าวบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง อีกทั้งผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้ล่วงหน้า ยิ่งกว่านั้นคือกงล้อเทพของเขาผนึกรวมกันได้แข็งแรงกว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าจำนวนมากด้วย
กงล้อยิ่งแข็งแรง ก็หมายความว่าผลการฝึกตนศักยภาพยิ่งแข็งแกร่ง ผลการฝึกตนของคนดังกล่าวใกล้จะบรรลุถึงขีดสูงสุดของเทพมารระดับแปดแล้ว ซึ่งสามารถก้าวข้ามจุดตีบตันได้ตลอดเวลา แล้วมุ่งสู่แดนเทพมารระดับเก้า
อย่างไรก็ตามเขากลับระงับผลการฝึกตนให้อยู่ในแดนเทพมารระดับแปดมาโดยตลอด จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเขาคำนวณได้แล้วว่ากาลเวลาหนึ่งตรีภพจะมาถึงแล้ว หอคอยฮวงใกล้จะเปิดออก ดังนั้นจึงรอคอยโอกาสนี้มาโดยตลอด
เนื่องจากมั่นใจในศักยภาพของตัวเองมากเกินไป หลัวซิวทั้งสี่คนไม่ได้อำพรางออร่าและร่องรอยเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เดินผ่านแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ก็ถูกคนดังกล่าวพุ่งขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำแล้วจู่โจม
เพียงกระบวนท่าเดียว ฮวงหวูจี๋ก็ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ถัดจากนั้นฮู๋ชิงชิงและหยุนยี่เทียนก็ร่วมมือกัน แต่ก็ต้านทานสามกระบวนท่าของคนดังกล่าวไม่ได้
แม้หลัวซิวจะลงมือด้วยตนเอง แต่ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามกดอัดโดยสิ้นเชิง กระทั่งเขาปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ทั้งสองอย่างตราสรรพสิทธิ์และสรรพวิถีล้วนว้างออกมา ถึงจะพลิกแพลงสถานการณ์ได้ แต่ก็สามารถต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสูสีเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ทั้งสองคนต่อสู้อยู่กลางอนัตตาไปร้อยกระบวนท่า ฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียนและฮู๋ชิงชิงทั้งสามคนเข้ามาช่วยเหลือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นหลัวซิว หรืออัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับนั่น กำลังรบของทั้งสองแทบจะบรรลุถึงระดับราชาเทพระดับเก้าแล้ว
สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็รู้สึกเช่นกันว่าขืนต่อสู้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เกิดผลอะไร ดังนั้นจึงหันหลังแล้วจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย
หลัวซิวก็ไม่ได้ไล่ตามออกไปเช่นกัน แม้นกำลังรบของทั้งสองจะสูสีกัน แต่ผลการฝึกตนของเขากลับไม่ลึกซึ้งเท่าฝ่ายตรงข้าม หากต่อสู้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เกินสามร้อยกระบวนท่า สุดท้ายฝ่ายที่แพ้ต้องเป็นตัวหลัวซิวเองแน่นอน
“เกณฑ์ออร่าพลังเต๋าของคนดังกล่าวลึกซึ้งอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับพลังแห่งชิงเทียน พลังแห่งเวหาและพลังแห่งสิงเทียน วรยุทธ์พลังอมตะที่เขาฝึกน่าจะเป็นการถ่ายทอดสืบสานของสวรรค์”
ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือพวกฮวงหวูจี๋ ต่างก็คาดเดาความเป็นมาของคนดังกล่าวไม่ได้
เมื่อพูดตามหลักแล้ว อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีศักยภาพทรงพลังเช่นนี้ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากแน่นอน ไม่มีทางที่จักไม่มีผู้คนรู้จักเลย ทว่าคนดังกล่าวกลับไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน พวกฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน
“บางทีเขาอาจจะเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับข้าและท่านชายก็เป็นได้ ต่างก็เป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคกลับชาติมาเกิด”
ฮู๋ชิงชิงสันนิษฐาน ชาติปางก่อนของนางคือผู้แข็งแกร่งแห่งยุคไท่ชู ซึ่งเก่าแก่กว่าไท่ซ่างฉิงเสียอีก สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการกลับชาติมาเกิดนั้น นางย่อมเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ออกความเห็นมากที่สุดอยู่แล้ว
“ตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ดับสลายสูญสิ้นแล้วล้วนตัดใจหายไปจากสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ไม่ได้ คนจำนวนมากจึงทิ้งอุบายไว้ เพื่อให้ตัวเองหนีเข้าไปในวัฏสงสารแล้วกลับชาติมาเกิด มาตรแม้นว่าเป็นยุคสมัยที่จ้าววัฏสงสารยึดกุมเทียนเต้า ก็ยังคงมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากกลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสาร ตั้งแต่สิ้นสุดยุควัฏสงสารเป็นต้นมา ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งคนใดที่สามารถยึดกุมเทียนเต้าวัฏสงสารได้อีก ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่เคยกลับชาติมาเกิด ก็ต่างพากันอุบัติขึ้นมาในยุคสมัยนี้เช่นกัน”
ฮวงหวูจี๋ก็เห็นด้วยกับคำพูดของฮู๋ชิงชิง ความเป็นมาของชนเผ่าฮวงเก่าแก่ยิ่งกว่า และยิ่งสามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงยุคสมัยก่อนยุคไท่ชู ในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณ ฮวงหวูจี๋ก็ทราบข่าวลับต่าง ๆ ที่คนทั่วไปไม่ทราบเยอะมากเช่นกัน
“ดังคำกล่าวที่ว่าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดแล้วถดถอย ในยุคสมัย ณ ปัจจุบัน มีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งเยอะจนนับไม่ถ้วน มีเทพธิดาผู้ภาคภูมิของสวรรค์อยู่ทั่วทุกสารทิศ บวกกับร่างที่ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากกลับชาติมาเกิด ซึ่งได้ทำการผลักดันวิถียุทธ์ในยุคสมัยนี้ให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และหลังจากวิถียุทธ์ในยุคสมัยหนึ่งถูกพัฒนาถึงขีดสูงสุดแล้ว มหันตภัยก็จะเริ่มมาเยือน”
“จักรวาลฟ้าดินในอนาคต เกรงว่าในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดคงต้องเข่นฆ่ากันอย่างไม่หยุดหย่อนแน่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายผู้ใดจะสามารถเดินบนซากกระดูกของผู้แข็งแกร่งผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่นับไม่ถ้วน แล้วปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์”
ฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนก็ต่างรู้สึกทอดถอนใจอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน การที่ได้ถือกำเนิดในกลียุคที่เจริญรุ่งเรืองนี้ สามารถพูดได้เลยว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่งเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่ว่าภพชาติก่อนของหลัวซิวคือผู้สูงส่งไท่ซ่างนั้น แทบจะไม่ใช่ความลับอะไรต่อคนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแล้ว สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงส่งไท่ซ่าง ในกองกำลังใหญ่ที่มีการสืบสานยาวนานก็มีการบันทึกเช่นกัน แต่ทว่ากาลเวลาไร้ความปราณี จึงมีน้อยคนที่พูดถึงเขาอีก
“สหายหลัวคิดว่าคนคนนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดหรือ?”ฮวงหวูจี๋มองไปทางหลัวซิวพลางถามอย่างอดไม่ได้
“อย่างน้อยชาติก่อนเขาก็เป็นผู้สูงส่งคนหนึ่ง”
หลัวซิวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม แดนเทพมารระดับแปดขั้นสูงก็มีกำลังรบที่เทียบทัดราชาเทพระดับเก้า มากสุดไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนของหลัวซิวก็ทำได้เท่านี้เช่นกัน
ตั้งแต่ไท่ซ่างฉิงดับสลายสูญสิ้นเป็นต้นมา ตลอดกาลเวลาหนึ่งยุคตรีภพ มีผู้สูงส่งถือกำเนิดขึ้นมาเยอะมาก ในยุคไท่ชูและยุควัฏสงสารก็เคยมีผู้แข็งแกร่งที่เป็นทำนองเดียวกันอุบัติขึ้นมาเช่นกัน สาเหตุที่ชื่อเสียงของไท่ซ่างฉิงโด่งดังมาก ๆ นั้น หลัก ๆ ก็เป็นเพราะผู้แข็งแกร่งในยุคสมัยที่เขาคงอยู่โรยราไปแล้ว
……
เพียงชั่วพริบตาเดียว ระยะเวลาที่เหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่เข้ามาในโลกาจ่างจงของฮวงจวินก็ผ่านมาเก้าวันแล้ว
ในช่วงเก้าวันที่ผ่านมานี้ อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งนับหมื่นต่อสู้เข่นฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง แทบจะมีคนดับสลายสูญสิ้นหรือถดถอยทุกวินาทีเลย จากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในนี้ต่อได้ก็ยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลงแล้ว
ทว่าผู้ที่สามารถยืนหยัดได้จนถึงวินาทีนี้แล้วยังไม่ตกรอบ ทุกคนล้วนแข็งแกร่งมาก ๆ
“ไท่ซ่างฉิง เราเจอกันอีกแล้วนะ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหึที่เยือกเย็นสะท้อนมากะทันหัน หลัวซิวมองไปทางต้นตอของเสียง พบว่ามีชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังหกระเหินเดินฟ้าตรงมาทางนี้ หลังศีรษะเขาก็มีกงล้อเทพลอยอยู่หนึ่งวงเช่นกัน กงล้อเทพเหมือนดั่งวัฏจักรหนึ่งวง ซึ่งมีออร่าพลังเต๋าที่ลึกซึ้งมากมายมหาศาลแฝงซ่อนอยู่ภายใน
ภายใต้ผลกระทบจากพลังเต๋าวัฏสงสาร หลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามถูกขับให้เด่นจนเหมือนดั่งผู้ที่อยู่เหนือหมื่นจักรวาล เหมือนดั่งจ้าววัฏสงสารที่ยึดกุมเทียนเต้าวัฏสงสาร!
“เมิ่งเชียนชาง! ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาที่นี่เช่นกัน”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเมิ่งเชียนชางที่นี่ ครั้นเมื่ออยู่ในวิมานเทวอัสนีชิงเสวียนเห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลการฝึกตนของเมิ่งเชียนชางบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว
และในเมื่อเขาสามารถเข้าร่วมการแข่งขันชิงโควต้าหอคอยฮวงในครั้งนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาได้ทำการตัดผลการฝึกตนของตัวเองทิ้ง ทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองเปลี่ยนจากราชาเทพระดับเก้า ร่วงหล่นลงมาที่เทพมารระดับแปดขั้นสูง เพียงเพราะสามารถเข้ามาในหอคอยฮวง มาสอดส่องความเร้นลับของหอคอยฮวง!
ผู้คนในโลกต่างคิดว่าแดนที่สวรรค์และจ้าววัฏสงสารคงอยู่ เป็นขีดสูงสุดของวิถียุทธ์แล้ว ทว่าเมิ่งเชียนชางเป็นผู้สืบทอดของจ้าววัฏสงสารยุคที่เก้า เขารู้อยู่ว่าแดนของสวรรค์และจ้าววัฏสงสารที่กล่าวถึงนั้น คือแดนของประมุขเต๋า
ประมุขเต๋าที่หมายถึงก็คือเจ้าแห่งเทียนเต้า ทว่านี่กลับไม่ใช่ขีดสูงสุดของวิถียุทธ์ หากสามารถอยู่เหนือเทียนเต้า อยู่เหนือเทียนเต้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับแดนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
เล่ากันว่าภายในอัญสมบัติอัษฎทิศที่มีความเป็นมาเก่าแก่ก็มีความเร้นลับที่อยู่เหนือเทียนเต้าคงอยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นแม้นผลการฝึกตนของตัวเองจะฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว เมิ่งเชียนชางก็ตัดมันทิ้งอย่างไม่ลังเลใจเช่นกัน เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้ตัวเองฝึกถึงแดนของประมุขเต๋า ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีทางอยู่เหนือเทียนเต้า
ความทะเยอทะยานของเมิ่งเชียนชางแรงกล้ามาก เขาไม่ได้รู้สึกพอเพียงต่อแดนของประมุขเต๋าวัฏสงสาร แต่จะอยู่เหนือเทียนเต้า อยู่ในแดนที่อยู่เหนือเทียนเต้า!
“ดูท่ามีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลยนี่”
ถัดจากนั้นก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งปรากฏในละแวกใกล้เคียงอีกสองสามพลัง มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏในอนัตตา หุ่นร่างกำยำ บนแขนทั้งสองข้างมีโซ่เหล็กพันอยู่ บนตัวคือชุดเกราะสงครามที่ดูหนักจนน่าทึ่ง ทุกก้าวย่างที่ดูผ่อนคลาย ล้วนจะทำให้มีระลอกคลื่นกระเพื่อมออกมาจากปริภูมิ ซึ่งสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา
“คนดังกล่าวคือหงบูมาจากตระกูลหงแห่งโลกท่วมท้น เล่ากันว่าบนตัวเขามีพลังของเส้นปราณหวนบรรพ เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”ฮวงหวูจี๋ที่อยู่ข้างกายหลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนที่รูม่านตาของเขาจะหดลงเล็กน้อย เขาสัมผัสพลังที่เหมือนดั่งอสูรโหดโบราณได้จากตัวหงบูนี่ ทันทีที่ระเบิดพลังดังกล่าวออกมา ต้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินแน่นอน
เส้นปราณหวนบรรพที่กล่าวถึงนั้น หมายความว่าสายเลือดตระกูลหงของเขามีเอกลักษณ์บางอย่างของบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด ระดับเส้นปราณหวนบรรพยิ่งสูง พรสวรรค์ศักยภาพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดบรรพบุรุษอันเบาบางอย่างบูอิงสงสามารถเทียบเคียงได้
หงบูก็สังเกตเห็นแววตาของหลัวซิวเช่นกัน ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความป่าเถื่อนสบตากับหลัวซิว สีหน้าดูเข้มงวดเล็กน้อย “เจ้าก็คือร่างที่ผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิดหรือ? ศักยภาพแข็งแกร่งมากจริงด้วย”
ถัดจากนั้น สายตาของหงบูก็ร่วงลงบนตัวเมิ่งเชียนชาง “เส้นทางแห่งวัฏสงสารในตำนานอย่างนั้นหรือ? เจ้าก็มีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน”
หงบูดูถือดีมากอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากหลัวซิวและเมิ่งเชียนชางแล้ว ฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียนรวมไปถึงฮู๋ชิงชิงล้วนถูกเขามองข้ามโดยสมบูรณ์ ไม่แม้แต่จะชายตามามองพวกเขาด้วยซ้ำ
“ไท่ซ่างฉิง ไอ้คนทรยศหัวใจ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตวาดที่อ่อนช้อยสะท้อนมา เสียงขิมที่เอ้อระเหยดังก้องกังวาน มีโฉมงามความสามารถเป็นเลิศคนหนึ่งกอดขิมโบราณ พลางเหยียบเมฆเดินมาจากสุดปลายขอบฟ้า
ซึ่งโฉมงามดังกล่าวก็คือชีชีนั่นเอง เมื่อนางเห็นหลัวซิว ภายในดวงตาที่งดงามคู่นั้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหารที่เข้มงวด “ไท่ซ่างฉิง ข้าจักฆ่าเจ้าให้ได้!”
“ชีชี?”
มีรังสีแห่งความงุนงงปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว หากเขาจำไม่ผิดละก็ ชีชีเคยบอกว่าไท่ซ่างฉิงเป็นผู้ที่นางเคารพเลื่อมใสมากที่สุดในชีวิตนี้ ทว่าวินาทีนี้ไยจึงต้องตะโกนบอกว่าจักฆ่าเขาด้วยเล่า?