มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2769 อัคคีเต๋าเผาชุบ
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทั้งสามต่อสู้กันอยู่บนชั้นห้าของหอคอยฮวงมานานเท่าไหร่ไม่รู้ กระทั่งผลการฝึกตนพลังเวทย์ล้วนแห้งเหือดโดยสิ้นเชิงแล้ว คลื่นพลังการต่อสู้ถึงจะค่อย ๆ หยุดลง
เห็นเพียงไม่ว่าจะเป็นหลัวซิว หรือหงบูและนักพรตชิงชาน วินาทีนี้ต่างหายใจหอบ ศัสตราวุธของขลังของแต่ละคนต่างตกอยู่ข้าง ๆ รัศมีหม่นหมอง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าไม่มีแม้แต่ผลการฝึกตนที่จะเก็บอาวุธเทพกลับเข้าร่างแล้ว
ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ดำเนินการมายาวนานมากเกินไป แม้นหงบูและนักพรตชิงชานจักร่วมมือกันแล้วกดอัดหลัวซิวได้ ทว่ากลับไม่มีทางกำจัดหลัวซิวภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้
ขณะที่เข่นฆ่ากัน สูญเสียผลการฝึกตนไปเยอะมาก ๆ พวกเขากินยาเซียนฟื้นฟูผลการฝึกตนไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ วินาทีนี้แหวนเก็บของก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเช่นกัน ไม่เหลือยาเซียนสักเม็ด
หลัวซิวก็แทบจะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน การที่สามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้การร่วมมือของอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูสีกับตัวเองได้นานเช่นนี้ ทำให้เขาหลัวซิวสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งเลยว่าศักยภาพของตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะมากจริง ๆ
ทั้งสามต่างตระหนักรู้ในหอคอยฮวงตั้งแต่ชั้นสองถึงชั้นห้าเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดพูดถึงความเข้าใจและการยึดกุมธรรมเวชกาลร้างแล้ว หงบูและนักพรตชิงชานแตกต่างจากเขามาก ๆ ก็เหมือนดังเช่นคนที่เข้าใจหลักการใหญ่นั้นมีเยอะมาก แต่ผู้ที่สามารถลงมือทำได้อย่างแท้จริงกลับมีน้อยมาก
ซึ่งวิถียุทธ์ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เจ้าเข้าใจหลักการแล้ว แต่กลับไม่รู้วิธีการใช้สอย เช่นนั้นก็ไม่สามารถผันการตระหนักรู้นี้ให้กลายเป็นศักยภาพได้เช่นกัน
แต่หลัวซิวกลับแตกต่างกัน เขานำสิ่งที่ตัวเองตระหนักรู้ได้ล้วนผันเป็นศักยภาพ และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง เขาถึงสามารถอาศัยร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่เกะกะระราน ฝืนต้านทานพลังโจมตีของหงบูและนักพรตชิงชานทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ล้มลงสักที
มีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมทะลุออกมาจากแววตาของทั้งสามคน ความแข็งแกร่งของหลัวซิว ทำให้หงบูและนักพรตชิงชานเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรคืออัจฉริยะแหกกฎสวรรค์ที่แท้จริง ในที่สุดก็ถือว่าเข้าใจสักทีว่าเหตุใดไท่ซ่างฉิงถึงถูกเรียกขานว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานตลอดกาล
ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรเลย ต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าเพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตน ทันทีที่ผลการฝึกตนได้รับการฟื้นฟูเล็กน้อย จิตสังหารที่ตลบฟุ้งไปทั่วก็จะระเบิดกะทันหัน แล้วเปิดศึกเข่นฆ่ากันต่อ
เมื่อมองจากด้านความสามารถในการฟื้นฟูตัว หลัวซิวเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเยอะมาก วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการสรรพวิชา บวกกับเขาเข้าใจและตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างได้ลึกซึ้งมากกว่า ความเร็วในการฟื้นฟูของเขาที่อยู่ในหอคอยฮวงจึงเร็วกว่าหงบูและนักพรตชิงชานมาก
ทันใดนั้นเอง จิตสังหารที่อยู่ในดวงตาหลัวซิวก็ปะทุ ร่างกายเขาหายไปภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะปรากฏตรงหน้านักพรตชิงชานโดยตรง
“ตราสรรพสิทธิ์! ตราต้าฮวง! สรรพวิถีล้วนว้าง!”
ทันทีที่ลงมือ หลัวซิวก็ปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ทั้งสามออกไปทันที ของขลังอาวุธเทพที่นักพรตชิงชานเรียกออกมาถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปภายในพริบตา ตราต้าฮวงร่วงลงบนหน้าอกนักพรตชิงชาน ทำให้ร่างกายเขาถูกโจมตีจนทะลุภายในพริบตา เลือดสาดกระเด็น ร่างกายกระเด็นลอยออกไป
พลานุภาพของตราต้าฮวงไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ในระหว่างที่ร่างกายนักพรตชิงชานกระเด็นลอยออกไปอยู่นั้น เลือดเนื้อตามร่างกายเขาก็ระเบิดไปด้วย เลือดเนื้อทางร่างกายเละเทะ กระดูกทั้งร่างกายแทบจะถูกตราต้าฮวงโจมตีจนแตกสลาย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อหงบูตอบสนองกลับมาได้ นักพรตชิงชานก็ถูกหลัวซิวโจมตีจนกระเด็นออกไปและบาดเจ็บสาหัสแล้ว
เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นนักพรตชิงชานหรือหงบู พวกเขาต่างนึกไม่ถึงเลยว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวจะฟื้นฟูกลับมาเร็วขนาดนี้ ภายในระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ พลังเวทย์ก็ฟื้นฟูกลับมาถึงระดับที่สามารถปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ทั้งสามออกมาได้แล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีของหงบู หลัวซิวกลับไม่มีพลังเวทย์ที่จะต้านทานเอาไว้ได้แล้ว เสียงกวงดังขึ้น หลัวซิวก็ถูกหงบูเก็บเข้าไปในเตาเพลิง ถัดจากนั้นก็มีอัคคีเต๋าที่นับไม่ถ้วนพรั่งพรู หวังจะกลั่นแปรให้เขาตายอยู่ในเตาเพลิง
“สหายหลัว แม้นวิธีการเช่นนี้จะไม่สง่าผ่าเผย ทว่าเจ้าแข็งแกร่งมากเกินไป หากเจ้าไม่ตาย อนาคตข้าก็จะไม่มีโอกาสเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์”
หงบูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถ่ายเทผลการฝึกตนที่เพิ่งฟื้นฟูกลับคืนมาเล็กน้อยเข้าไปในเตาเพลิง
ภายในเตาเซียน ร่างกายของหลัวซิวจมหายไปในอัคคีเต๋าของธรรมเวชกาลล้น ทว่าบนใบหน้าเขากลับไม่มีความตื่นเต้นและหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย
“สหายหง เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถสังหารข้าได้?”หลัวซิวพึมพำในใจคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นหงบูหรือนักพรตชิงชาน อันที่จริงพวกเขาต่างไม่ทราบเลยว่าสาเหตุที่หลัวซิวทำเช่นนี้นั้น ทุกอย่างล้วนอยู่ในการคำนวณของเขาแล้ว
เขาคำนวณได้แล้วว่าตัวเองต้องสามารถลงมือทำให้นักพรตชิงชานบาดเจ็บสาหัสได้แน่นอน ซึ่งเวลานี้ผลการฝึกตนของหงบูจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้ไม่มาก พลังที่เขาสามารถกระตุ้นเตาเพลิงก็มีขีดจำกัดมากเช่นกัน อัคคีเต๋าที่เขาผนึกรวมออกมาก็ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นที่ตนต่อกรไม่ไหว
และสิ่งที่หลัวซิวจะทำก็คืออาศัยอัคคีเต๋าที่ผนึกรวมออกมาจากธรรมเวชกาลล้น มาเผาชุบร่างเนื้อตัวเอง ทำให้ร่างเนื้อร่าเทวของเขายกระดับอีกหนึ่งขั้น!
การกระทำเช่นนี้เหมือนดั่งการเล่นกับไฟ หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จุดจบก็คือร่างตายธรรมสูญ วิญญาณดับสลาย
อัคคีเต๋าที่ผนึกรวมออกมาจากธรรมเวชกาลล้นน่าสยดสยองอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า หากหงบูนี่กระตุ้นพลานุภาพทั้งหมด ต่อให้ร่างเนื้อของหลัวซิวบรรลุถึงร่างราชาเทพระดับเก้าช่วงปลาย ก็ต้านทานไม่ไหวแน่นอน
ทว่าวินาทีนี้ผลการฝึกตนของหงบูอ่อนแอ กระตุ้นพลานุภาพของอัคคีเต๋าได้จำกัด เช่นนั้นจึงมีความเป็นไปได้อยู่!
วิถียุทธ์เหมือนดั่งชีวิต ในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจหลายครั้งมาก ซึ่งวินาทีในการตัดสินใจประเภทนี้ บางครั้งก็จำเป็นต้องเดิมพัน! ต้องทุ่มสุดชีวิต!
ในพื้นที่ชั้นห้าของหอคอยฮวง มีเพียงเตาเพลิงเตาเดียวเท่านั้นที่กำลังสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นเสียงดังหึ่ง ๆ เงาร่างของหงบูนั่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ใช้มือประสานวิกลอย่างต่อเนื่อง ถ่ายเทผลการฝึกตนเข้าไปในเตาเซียนอย่างไม่ขาดสาย
อีกฝั่งหนึ่ง เลือดเนื้อตามร่างกายนักพรตชิงชานเละไม่เป็นท่า พลังออร่าอ่อนแอ ถูกตราต้าฮวงของหลัวซิวโจมตีอย่างจังภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนอ่อนแอ การที่เขายังไม่ตายนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากแล้ว
แต่ว่าวินาทีนี้เขาอยู่ในสภาวะใกล้ตาย เวลานี้หากมีคนปลดปล่อยพลังอมตะอย่างเรื่อนเปื่อย ก็เพียงพอที่จะสามารถสังหารเขาได้แล้ว!
“ดูท่าผู้ชนะคนสุดท้ายถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นข้า!”
หงบูกระตุกยิ้มมุมปาก เขาผนึกหลัวซิวอยู่ในเตาเพลิงพลางใช้อัคคีเต๋าเผาชุบ ขอแค่กำจัดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งคนนี้ทิ้ง เช่นนั้นนักพรตชิงชานที่บาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายก็จะเป็นคู่ต่อสู้คนที่สองที่จะถูกเขากำจัด!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชั้นห้าของหอคอยฮวงก็จะเหลือแค่เขาคนเดียว เช่นนั้นผู้ที่จะถูกหอคอยฮวงยอมรับขั้นต้นให้เป็นเจ้าของในอนาคต ก็จะมีเพียงเขาหงบูคนเดียวเท่านั้น!
“สหายหง เจ้าดีใจเร็วเกินไปหรือเปล่า”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังออกมาจากเตาเพลิง ถัดจากนั้นเสียงตู้มก็ดังลั่นขึ้น ฝาของเตาเพลิงดีดขึ้นสูง สะเก็ดไฟที่นับไม่ถ้วนแตกกระเด็น
“เจ้ายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของหงบูเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบถ่ายเทผลการฝึกตนที่เหลือไม่มากเข้าไปในเตาเพลิง ผนึกรวมอัคคีเต๋าที่มากกว่าออกมา
ภายใต้การเผาชุบจากอัคคีเต๋า เลือดเนื้อของหลัวซิวก็ละลายหายไปอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในขั้นตอนที่เลือดเนื้อเขาละลายหายไป ร่างเนื้อของเขาก็ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ร่างเนื้อที่ฟื้นฟูกลับคืนมาใหม่มีร่องรอยที่อัคคีเต๋าเผาชุบอยู่ด้วย เท่ากับประทับลายเส้นของธรรมเวชกาลล้นลงไปในร่างกายเขา!
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
หลัวซิวใช้กำปั้นทั้งสองข้างโจมตีฝาเตา ระดับขั้นของเตาเพลิงเตานี้สูงมาก ๆ อย่างน้อยก็เป็นภัณฑ์จักรพรรดิระดับเก้า ต่อให้เขาอยู่ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ก็อย่าคิดว่าจะสามารถทลายมันได้ เส้นทางเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถออกไปได้ก็คือฝาเตาของเตานี้
หงบูทุ่มสุดกำลังสามารถ กดอัดฝาเตาเอาไว้แน่น ๆ ทุกครั้งที่หลัวซิวโจมตี ก็จะทำให้เขาสูญเสียผลการฝึกตนที่เหลือไม่มากในตอนแรกหนึ่งส่วน ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ขอแค่ผลการฝึกตนของเขาแห้งเหือดจนไม่มีแรงกระตุ้นเตาเพลิง หลัวซิวก็จะสามารถหลุดพ้นออกมาจากเตาเพลิง
สุดท้ายผลการฝึกตนของหงบูก็แห้งเหือดแล้ว เสียงตู้มดังลั่นขึ้น ฝาของเตาเพลิงลอยขึ้นสูง ร่างกายของหงบูถูกแรงสั่นจนกระเด็นออกไป ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่ยอมใจ
ในขณะเดียวกัน ก็มีแสงกลดวงหนึ่งบินออกมาจากเตาเพลิง รอบกายมีอัคคีเต๋าลอยวนเป็นเกลียว หลังจากใช้ธรรมเวชกาลล้นแล้ว หลัวซิวก็อาศัยการเผาชุบจากอัคคีเต๋า สลักธรรมเวชกาลล้นลงไปในร่างตนด้วย แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างเนื้อ!
ถึงแม้เขาจะไม่มีการตระหนักรู้ใด ๆ ในธรรมเวชกาลล้นก็ตาม ทว่าขอแค่นำความล้ำลึกของธรรมเวชกาลล้นสลักหลอมรวมเข้าไปในร่างเนื้อ เขาก็สามารถค่อย ๆ ตระหนักรู้ แล้วยึดกุมความมหัศจรรย์ของธรรมดั้งเดิมประเภทนี้ได้เช่นกัน!