มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2785 การตัดสินใจของหนิงหานหลิง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2785 การตัดสินใจของหนิงหานหลิง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2785 การตัดสินใจของหนิงหานหลิง

“ได้อยู่แล้วสิ ต้องได้อยู่แล้ว”ผู้อาวุโสผมเทารีบตอบกลับ ก่อนจะหยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวงอย่างระมัดระวัง

ในเมื่อวังชิงเทียนประกาศภารกิจในการทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายแล้ว ก็ย่อมต้องจัดเตรียมของรางวัลเสร็จล่วงหน้าแล้ว แม้นมูลค่าของหินบรรพไท่ชูจักสูงส่งมาก ๆ แต่จากภูมิฐานของวังชิงเทียนก็ไม่ได้เอามันมาไว้ในสายตาเช่นกัน

แน่นอนอยู่แล้วว่าของรางวัลสำหรับการทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายนั้น นอกจากหินบรรพไท่ชูแล้ว ยังมีโอกาสได้ตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียนด้วย และยิ่งมีโอกาสสามารถฝึกพลังอมตะของเต๋าชิงเทียน!

“สำหรับของรางวัลที่เหลือนั้น ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์จักเลือกตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าหรือฝึกพลังอมตะดีขอรับ?”ผู้อาวุโสผมเทายื่นแหวนเก็บของไปให้หลัวซิวพลางถาม

“ข้าต้องการตระหนักรู้คัมภีร์เต๋า”หลัวซิวตอบกลับอย่างไม่ลังเลใจ

พลังอมตะระดับประมุขเต๋าทรงพลังมากก็จริง ทว่าสิ่งที่ตัวหลัวซิวฝึกคือวิถีไร้ลักษณ์ ซึ่งเขาได้ริเริ่มพลังอมตะที่เป็นของตนเองแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปฝึกพลังอมตะของผู้อื่น

และถ้าเกิดเขาอยากปรับให้วิถีไร้ลักษณ์ของตัวเองสมบูรณ์แบบขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จำเป็นต้องดูดซับแก่นสารแก่นแท้ของเคล็ดเซียนวิถียุทธ์อื่น ๆ ในฐานะที่คัมภีร์เต๋าชิงเทียนเป็นเคล็ดเซียนระดับประมุขเต๋าที่สูงที่สุดของเผ่าฟ้า มันจึงต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่แล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์เชิญ!”

ผู้อาวุโสผมเทาเอียงกายอย่างเกรงใจ จากนั้นเขาก็พาหลัวซิวเดินเข้าไปด้านหลังจุดแบ่งภารกิจ

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผู้อาวุโสผมเทาก็พาหลัวซิวมาถึงหน้าห้องลับห้องหนึ่ง ก่อนจะพูด: “ภายในห้องลับดังกล่าวก็คือสถานตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียน ผู้เพื่อนยุทธ์ทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่ายหนึ่งแท่น จึงสามารถตระหนักรู้ได้หนึ่งปีขอรับ”

“โครมม……”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ประตูหินของห้องลับก็เปิดออก หลัวซิวย่างเท้าเดินเข้าไป จากนั้นตัวสำนึกก็สัมผัสได้ว่ารอบ ๆ ห้องลับถูกสลักด้วยลายค่ายที่ถี่ยิบจนนับไม่ถ้วน

คัมภีร์เต๋าชิงเทียนสำคัญมาก ๆ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นหัวใจหลักของวังชิงเทียน ความปลอดภัยของสถานที่ประเภทนี้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

ผู้อาวุโสผมเทาไม่ได้เดินตามเข้ามาแต่อย่างใด เมื่อหลัวซิวเดินเข้ามาในห้องลับแล้ว ประตูหินก็ปิดลงเองโดยอัตโนมัติ

พื้นที่ภายในห้องลับไม่กว้างใหญ่ เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งมีเพียงศิลาเทวหนึ่งแท่นที่มีแสงสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับ

หลัวซิวสัมผัสธาตุพลังเต๋าที่เหมือนดั่งการเวียนว่ายตายเกิดของวิถีชิงเทียนได้จากศิลาเทว ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะศิลาเทวชิงเทียนอยู่บนตัวเขา เขาคงคิดว่าศิลาเทวที่อยู่ที่นี่เป็นศิลาเทวชิงเทียนแล้ว

หลัวซิวย่างเท้าเดินเข้าไป แล้วนั่งท่าขัดสมาธิลงหน้าศิลาเทว แววตาและตัวสำนึกผนึกรวมกัน เพ่งเล็งไปบนศิลาเทว ก่อนที่เขาจะมองเห็นลายเส้นทั้งหลายที่อัดแน่นไปด้วยความล้ำลึกของกฎเกณฑ์ ซึ่งมีความล้ำลึกสูงสุดของคัมภีร์เต๋าชิงเทียนแฝงซ่อนอยู่ภายใน

เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว หลัวซิวโคจรวิถีไร้ลักษณ์เพื่ออนุมานอย่างสุดกำลังสามารถ มีกฎเกณฑ์ล้ำลึกที่นับไม่ถ้วนปรากฏในหัว วินาทีนี้ร่างกายเขากำลังถูกปกคลุมอยู่ในแสงสีเขียวที่ขมุกขมัว ขับให้เขาดูเหมือนบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะเลิศล้ำ

ในขณะที่ตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียน หลัวซิวก็ไม่ได้หยุดการเพ็ญตนเช่นกัน แม้นปัจจุบันเขาจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรการฝึกตน แต่ความเร็วในการกลืนกินกลั่นแปรพลังของวิถีไร้ลักษณ์ก็รวดเร็วมากเช่นกัน

แต่เมื่อผลการฝึกตนบรรลุขึ้นมาถึงแดน ณ ปัจจุบันของเขา ต่อให้จะมีทรัพยากรที่เพียงพอมากเพียงใด ก็ไม่มีทางบรรลุภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้แน่นอน

อดีตครั้นเมื่อผลการฝึกตนยังต่ำ ขอแค่มีทรัพยากรที่เพียงพอก็สามารถข้ามขั้นได้อย่างสบายแล้ว แต่ปัจจุบันกลับแตกต่างกันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นถ้าเกิดเขาอยากฝึกถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง ต่อให้อยู่ภายใต้สภาวะที่มีทรัพยากรเพียบพร้อม อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาปิดขังตบะเป็นร้อยปีถึงจะสามารถทำได้

ทรัพยากรของรางวัลที่ได้รับจากภารกิจแดนเทวบรรพอัคคีถูกหลัวซิวใช้จนหมดสิ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี สุดท้ายผลการฝึกตนของเขาก็หยุดอยู่ที่แดนเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ซึ่งห่างจากขั้นสูงอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

ระยะเวลาหนึ่งปีผ่านไปเร็วมาก ถึงแม้ระยะเวลาจะไม่นาน แต่หลัวซิวกลับตระหนักแก่นสารของวิถีชิงเทียนได้แล้ว อีกทั้งนำมันหลอมรวมเข้ากับวิถีไร้ลักษณ์

วิถีไร้ลักษณ์ถนัดด้านการอนุมานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บวกกับเขามีความทรงจำของชาติปางก่อน ซึ่งเท่ากับว่าเขาตระหนักรู้วิถีชิงเทียนด้วยสภาพจิตใจของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง แม้จะมีระยะเวลาแค่ปีเดียว แต่วิถีชิงเทียนที่เขาตระหนักรู้ได้ต้องไม่ด้อยกว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งวังชิงเทียนที่ฝึกคัมภีร์เต๋าชิงเทียนมาเป็นสิบล้านปีแน่นอน

หลังจากถึงระยะเวลาหนึ่งปีที่กำหนดแล้ว ศิลาเทวที่อยู่ตรงหน้าหลัวซิวก็หายไป ถัดจากนั้นประตูหินของห้องลับก็เปิดออก แล้วมีเสียงที่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ดังก้องอยู่ข้างหูเขา “หมดเวลา กรุณาออกจากสถานที่แห่งนี้”

เจ้าของเสียงดังกล่าวไม่ใช่จอมยุทธ์แต่อย่างใด แต่เป็นภูตแห่งค่ายที่อยู่ในห้องลับแห่งนี้ รอบห้องลับเต็มเปี่ยมไปด้วยลายค่ายที่นับไม่ถ้วน ซึ่งลายค่ายเหล่านี้ได้ประกอบเป็นค่ายกล จากนั้นค่ายกลก็กำเนิดธาตุทิพย์

แม้ว่าตามหลักทฤษฎีแล้ว ขอแค่เป็นค่ายกลที่บรรลุถึงระดับเทพมารก็มีโอกาสกำเนิดธาตุทิพย์ได้ในอัตราที่แน่นอน แล้วประกอบเป็นภูตแห่งค่าย ทว่าในความเป็นจริงอัตราการกำเนิดธาตุทิพย์ของค่ายกลกลับต่ำมาก ๆ อีกทั้งมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เข้มงวดมากด้วย

หลัวซิวไม่เคยมีความคิดที่จะทำลายกฎเกณฑ์ที่วังชิงเทียนกำหนดไว้ มิหนำซ้ำเขาก็ตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียนได้ถึงระดับที่จำกัดแล้ว นอกซะจากว่าเขาสามารถฝึกถึงแดนเทพมารระดับเก้า มิฉะนั้นต่อให้ตระหนักรู้อยู่ที่นี่ต่ออีกร้อยปี ก็ไม่มีทางมีประสิทธิผลและมีการพัฒนาแม้แต่น้อย

ขณะที่ออกจากจุดแบ่งภารกิจ หลัวซิวไม่เห็นผู้อาวุโสผมเทาคนนั้น เขามุ่งหน้าเดินตรงมายังจุดแลกเปลี่ยนสมบัติ ก่อนจะหยิบหินบรรพไท่ชูออกมาหนึ่งก้อน แล้วแลกกับกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสิบล้านก้อน

ระดับขั้นของทรัพยากรอย่างหินบรรพไท่ชูสูงเกินไป จำนวนหินบรรพไท่ชูสิบก้อนถือว่าไม่เยอะ ชี่บรรพไท่ชูที่แฝงซ่อนอยู่ภายในก็ค่อนข้างน้อย สำหรับการยกระดับผลการฝึกตนแล้ว กรองแก้วโลหิตดั้งเดิมกลับส่งผลดีต่อเขามากกว่า

“ท่านชายหลัว!”

ทันทีที่แลกเปลี่ยนกรองแก้วโลหิตเสร็จสรรพ ถัดจากนั้นหลัวซิวก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง

หลัวซิวหันหน้ากลับไปมอง พบว่าผู้ที่เรียกตนคือหนิงหานหลิง หลังจากทั้งสามคนแยกจากกันเมื่อปีนั้น เขาจำได้ว่าหนิงหานหลิงไปสมุทรตรีภพ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วนางเพิ่งจะออกมาจากสมุทรตรีภพ ดูท่าก็น่าจะได้รับโชคโอกาสที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคือเขาพบว่าข้างกายหนิงหานหลิงยังมีคนอีกสองคน คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ส่วนอีกคนหนึ่งคือสตรีที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน

ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวล้วน บนตัวมีพลังออร่าที่เหมือนดั่งเทพเจ้า ออร่าผลการฝึกตนก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาเหมือนยังดูหนุ่ม อันที่จริงกลับบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว

ส่วนสตรีที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนนั่นกลับเย็นชาดังภูเขาน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าถึงยากมาก ผลการฝึกตนคือเทพมารระดับเก้าขั้นสูง

“ท่านชายหลัว ขอแนะนำให้ท่านรู้จักก่อนนะเจ้าคะ ทั้งสองท่านนี้คือผู้ที่ข้ารู้จักในสมุทรตรีภพ ท่านนี้คือศิษย์พี่เฮ่าหลิน เป็นผู้แข็งแกร่งที่กำเนิดจากตำหนักเวหา ส่วนท่านนี้คือศิษย์พี่เยว่อิ่ง กำเนิดจากตำหนักเยว่เทียน”

เมื่อได้ยินคำแนะนำของหนิงหานหลิง หลัวซิวจึงขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ การที่อยู่ในโลกสวรรค์นั้น ตัวตนของเขาค่อนข้างอ่อนไหว ก่อนหน้านี้เขาก็เคยบอกนางแล้วว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นง่าย ๆ ทว่าการกระทำในวินาทีนี้ของหนิงหานหลิงกลับทำให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยง่ายมาก

ครั้นเมื่อเข้าไปในหอคอยฮวง หนิงหานหลิงเคยออกหน้าช่วยเหลือเขา ขอแค่เป็นบุคคลที่มีความตั้งใจจริงก็สามารถสืบทราบเรื่องนี้ได้เลย อีกทั้งหนิงหานหลิงก็เคยเป็นฝ่ายบอกเช่นกันว่าหลัวซิวเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้

วินาทีนี้หนิงหานหลิงพูดออกมาตรง ๆ เลยว่าเขาแซ่หลัว แม้นจักไม่ได้พูดชื่อจริงออกมา ทว่าขอแค่เป็นผู้ที่มีความคิดว่องไวและเฉียบแหลม ก็ล้วนสามารถคาดเดาอะไรได้บ้างแหละ

“ศิษย์น้องหนิง ข้าก็คิดว่าเจ้าจะแนะนำอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศอะไรให้เรารู้จักซะอีก เทพมารระดับแปดเล็ก ๆ คนหนึ่ง คนประเภทนี้ไม่คุ้นแก่การให้เจ้าคบหาเป็นมิตรหรอกนะ”

หลัวซิวยังไม่ได้พูดอะไร เมื่อได้ยินคำแนะนำของหนิงหานหลิง ชายหนุ่มผู้มีนามว่าเฮ่าหลินนั่นก็พูดด้วยแววตาที่ดูหมิ่น

“ศิษย์พี่เฮ่าพูดถูก ในเมื่อศิษย์น้องหนิงเตรียมพร้อมที่จะเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียนของเราแล้ว ความสัมพันธ์บางอย่างอะไรที่ตัดได้ก็ตัดทิ้งเสีย”

สตรีผู้มีนามว่าเยว่อิ่งก็พูดอย่างเย็นชาเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่ได้ชายตามามองหลัวซิวเลยด้วยซ้ำ

เมื่อทั้งสองพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้สีหน้าของหนิงหานหลิงดูย่ำแย่ลงไปทันที ส่วนหลัวซิวกลับหัวเราะในใจ เพราะดูจากลักษณะท่าทีที่เฮ่าหลินและเยว่อิ่งแสดงออกมาแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องตัวตนตัวเอง

ขอแค่ตัวตนไม่ถูกเปิดเผย หลัวซิวก็เบื่อที่จะไปสนใจผู้อื่นเช่นกัน

“แม่นางหนิงวางแผนที่จะเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียนแล้วหรือ? เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”หลัวซิวยิ้มพลางพูด

สำหรับเรื่องที่ว่าเหตุใดหนิงหานหลิงจึงต้องเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียนนั้น หลัวซิวก็พอจะคาดเดาได้เช่นกัน ตระกูลหนิงถูกล้มล้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อหนิงหานหลิงรุนแรงมาก การที่นางจะอาศัยกำลังแรงของตัวเองเพียงคนเดียวแล้วไปล้างแค้นนั้น มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรเสียกองกำลังที่สามารถล้มล้างตระกูลหนิงได้นั้น ต้องเป็นกองกำลังที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน

วังนภาทั้งสิบสองถือเป็นแขนงย่อยของเผ่าฟ้า ทว่าพวกเขากลับไม่กีดกันคนนอก ต่างก็จะคัดเลือกอัจฉริยะล้ำเลิศจากกองกำลังอื่น ๆ และผู้บำเพ็ญตนอิสระเพื่อรับเป็นศิษย์แล้วบ่มเพาะเช่นกัน

หากมีการสนับสนุนจากตำหนักเยว่เทียน อีกทั้งอนาคตหากมีโอกาสได้ฝึกคัมภีร์เต๋าเยว่เทียน เส้นทางวิถียุทธ์ในอนาคตของหนิงหานหลิงต้องราบเรียบมากกว่าเดิมแน่นอน

“ท่านชายหลัว ข้า……”หนิงหานหลิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะกอบกู้สถานการณ์อย่างไรดี

“ในเมื่อแม่นางหนิงมีที่พึ่งพิงดี ๆ แล้ว แซ่หลัวก็ไม่รบกวนต่อแล้วล่ะ เจ้าเชิญตามสบายเลย”หลัวซิวไม่ได้รอให้หนิงหานหลิงพูดจบ เขาก็หันหลังแล้วจากไปโดยตรง

ขณะที่เขาหันหลังแล้วจากไป เขาได้ใช้ตัวสำนึกส่งเสียง พูดกับหนิงหานหลิงว่า “แม่นางหนิง ข้ารู้อยู่ว่าที่เจ้าเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียนก็เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถล้างแค้นในอนาคต แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เปิดเผยตัวตนของข้านะ”

หนิงหานหลิงก็คิดว่าหลัวซิวโกรธซะอีก แต่เมื่อนางได้ยินเสียงที่สะท้อนเข้ามาในหู ถึงจะเข้าใจว่าสาเหตุที่หลัวซิวจากไปอย่างเร่งรีบนั้น เป็นเพราะเกรงว่าจะเปิดเผยตัวตน

นางไม่ทราบเรื่องที่หลัวซิวถูกหอคอยฮวงยอมรับ และรู้สึกสงสัยเล็กน้อยอยู่เช่นกันว่าเหตุใดหลัวซิวจึงกังวลว่าตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผยมากขนาดนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อหลัวซิวกำชับไว้แล้ว นางย่อมต้องระมัดระวังมากกว่าเดิมอยู่แล้ว

……

“ตกลงผู้ใดบังอาจเป็นศัตรูกับสำนักเต๋าเสวียนของเรากันแน่?”

มีจิตสังหารแย้มบานออกมาจากดวงตาของชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ใบหน้าหม่นหมอง ส่วนด้านหน้าของเขามีจอมยุทธ์คุกเข่าอยู่สองคน

คนดังกล่าวคือผู้แข็งแกร่งในสำนักเต๋าเสวียน มีนามว่าถังซิ่นหง และเขายังมีตัวตนอีกหนึ่งตัวตน นั่นก็คือพ่อของถังก้วนเจี๋ย ในละแวกใกล้เคียงของสนามรบแดนเทวบรรพอัคคี ถังก้วนเจี๋ยรวมไปถึงผู้คุมกฎเทพมารระดับเก้าคนหนึ่งของสำนักเต๋าเสวียนถูกสังหาร นี่จึงทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ตลอดช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ เขาก็ตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอด

“รายงานนายท่าน อ้างอิงจากการตรวจสอบของเรา การตายของท่านชายและผู้คุมกฎมีความเกี่ยวข้องกับมู่หรงหรงแห่งสำนักเจิ้นหลัวเทียนขอรับ”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น จอมยุทธ์คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ก็ยื่นม้วนหยกชิ้นหนึ่งไปอย่างเคารพนอบน้อม

“ไม่ว่ามึงจะเป็นผู้ใด บังอาจสังหารลูกชายของถังซิ่นหงกู กูจะทำให้มึงรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้!”

จิตสังหารที่อยู่บนตัวถังซิ่นหงรุนแรงมากยิ่งขึ้น สำนักเต๋าเสวียนพึ่งพาวังชิงเทียนอาศัย แม้วินาทีนี้วังชิงเทียนจะทำสงครามกับแดนเทวบรรพอัคคี แต่มิติสมรภูมิกู่ไท่ยังคงถูกยึดกุมอยู่ในมือวังชิงเทียน เมื่อสำนักเต๋าเสวียนของพวกเขาจะตรวจสอบหรือทำเรื่องอะไรบางอย่างที่นี่ ก็จะสะดวกสบายกว่า

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท