มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2788 ผนังเทพปกปักษ์มังกร
เมื่อหลัวซิวพูดถึงเคล็ดเซียนผู้สูงส่ง สีหน้าของผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวที่ยืนอยู่บนเวทีหินก็เปลี่ยนแปลงไป ในเมื่อเขานำวิญญาณอมตะออกมาค้าขายแล้ว ตัวเขาเองย่อมไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีกลั่นวิญญาณอยู่แล้ว
อันที่จริงระดับวรยุทธ์ที่ตัวเขาฝึกเป็นเพียงมกุฎเทพระดับเก้าเท่านั้น หากได้รับเคล็ดเซียนผู้สูงส่ง แม้นการเปลี่ยนแปลงสายวรยุทธ์ที่ฝึกจะยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำให้ศักยภาพของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแน่นอน อนาคตยิ่งสามารถฝึกถึงแดนที่สูงกว่าได้ด้วย
ด้วยเหตุนี้หลังจากหลัวซิวเสนอราคามา เขาถึงขั้นไม่สอบถามเลยว่าเป็นวรยุทธ์ที่ผู้สูงส่งท่านใดทิ้งไว้ และไม่ให้โอกาสชายหน้ากากเหล็กดำนั่นประมูลต่อเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับอย่างอดใจรอไม่ไหว
“ข้าตกลงค้าขาย”
เคล็ดเซียนผู้สูงส่งหายากมาก ซึ่งล้วนถูกยึดกุมอยู่ในมือแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด และถูกมองว่าเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นใจกลางของกองกำลัง คนธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้ฝึกเลยด้วยซ้ำ โอกาสเช่นนี้ มาตรแม้นว่าเจ้าจะมีหินบรรพไท่ชูเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็แลกมาไม่ได้
มีจิตสังหารแพร่กระจายออกมาจากตัวชายหน้ากากเหล็กดำ จิตสังหารของเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หลัวซิว แต่มุ่งไปทางผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนเวทีหินทรงกลม
ในมุมมองของเขา ทั้งสองคนนี้สมควรตาย เคล็ดเซียนผู้สูงส่งรวมไปถึงพลังอมตะของผู้สูงส่งญาณแท้ต่างควรเป็นของเขา!
หลัวซิวสัมผัสจิตสังหารของฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งนานแล้ว แต่เขากลับไม่ได้นำมาใส่ใจ ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียนมา ศักยภาพของเขาได้รับการยกระดับอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ราชาเทพระดับเก้าทั่วไป หากเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้แต่ก็มั่นใจว่าสามารถถดถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เขานำเคล็ดเซียนของมหาเทพเสินหวงสลักลงบนม้วนหยกชิ้นหนึ่ง สำเร็จการค้าขายในครั้งนี้ หากฝ่ายตรงข้ามทราบว่าเขาใช้วิญญาณอมตะที่ไม่สมบูรณ์แลกกับเคล็ดเซียนวิชาหนึ่งที่ผู้แกร่งเลิศริเริ่ม เกรงว่าคงต้องดีใจจนน้ำตาไหลพรากเลยสินะ?
ส่วนหลัวซิวก็ได้รับม้วนหยกชิ้นหนึ่งที่มีรอยแตกเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้รีบดูพลังอมตะที่อยู่ภายใน โยนเข้าไปในแหวนเก็บของอย่างเรื่อยเปื่อย วางแผนที่จะรอให้สหการค้าในครั้งนี้จบลงก่อน ค่อยกลับไปศึกษาวิจัยดี ๆ
“ข้าว่านะสหายหลัว เจ้าไม่ได้ป่วยจนเป็นบ้าจริง ๆ ใช่ไหม?”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนรู้สึกตะลึงงันต่อพฤติกรรมของหลัวซิวไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาค้นพบว่าขอแค่ตัวเองอยู่พร้อมหลัวซิว เหตุการณ์ทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็ล้วนตื่นตาตื่นใจมาก เจ้าหมอนี่ถึงกับใช้เคล็ดเซียนผู้สูงส่งมาแลกกับสิ่งของที่ไม่ค่อยมีมูลค่าเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
“สหายหลัว เจ้าทราบมูลค่าของเคล็ดเซียนผู้สูงส่งหรือไม่? หากเป็นเคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วน ก็สามารถแลกกับหินบรรพไท่ชูเป็นร้อยก้อนเลยนะ! หากเป็นเคล็ดเซียนที่ผู้แกร่งเลิศริเริ่ม มูลค่าของมันก็ยิ่งสูงจนน่าทึ่งเลยทีเดียว!”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกัดฟันพูด
เขารู้อยู่ว่าหลัวซิวเป็นร่างที่ไท่ซ่างผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด เนื่องจากเรื่องนี้มันไม่ใช่ความลับอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาแค่รู้สึกว่าการที่หลัวซิวใช้เคล็ดเซียนผู้สูงส่งวิชาหนึ่งไปแลกกับวิญญาณอมตะนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ามาก ๆ
“เจ้าคิดว่าข้าจะโง่เหมือนเจ้าหรือที่จักนำเคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนไปค้าขาย?”
หลัวซิวมองลิ่งฮู๋จื่อเซวียนด้วยสายตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน เขาไม่มีทางไม่รู้มูลค่าของเคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนอยู่แล้ว เคล็ดเซียนของมหาเทพเสินหวงที่เขาสลักลงไปในม้วนหยกไม่มีทางใช่เคล็ดเซียนที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว มากสุดแค่สามารถฝึกถึงแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้า
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ มูลค่าของมันก็อยู่เหนือวิญญาณอมตะที่ขาดตกบกพร่องแน่นอน
และหลังจากผู้อาวุโสชุดคลุมยาวขาวนั่นได้รับม้วนหยกแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือทำการตรวจสอบ ฝ่ายตรงข้ามต้องสังเกตเห็นส่วนที่ขาดหายไปของเคล็ดเซียนผู้สูงส่งอยู่แล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะสิ้นสุดการค้าขายอยู่ดี นี่จะแสดงให้เห็นถึงคำตอบของเขา
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนอ้าปากค้าง อันที่จริงเขาก็รู้สึกหวั่นไหวต่อเคล็ดเซียนผู้สูงส่งมากเช่นกัน แต่เขาก็รู้อยู่ว่าจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและหลัวซิว ยังไม่ได้ดีถึงขั้นที่สามารถได้รับเคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนมาจากมือฝ่ายตรงข้าม
หากไม่ใช่เคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วน มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อตระกูลลิ่งฮู๋มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเดิมทีวรยุทธ์ที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของตระกูลลิ่งฮู๋ก็เป็นเคล็ดเซียนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอดอยู่แล้ว ซึ่งเป็นรองเพียงเคล็ดเซียนผู้สูงส่ง
หรือจะพูดอีกอย่างว่าแม้นจะได้รับเคล็ดเซียนผู้สูงส่งที่สมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อลงมือฝึกอย่างแท้จริงแล้ว ใช่ว่าประสิทธิผลจะสามารถเทียบเคียงกับวรยุทธ์ของตระกูลลิ่งฮู๋ได้เสมอไป เนื่องจากวรยุทธ์ที่บรรพบุรุษตระกูลลิ่งฮู๋ริเริ่มนั้น ย่อมต้องเหมาะสมกับคนรุ่นหลังของตระกูลลิ่งฮู๋อยู่แล้ว
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมีความคิดอย่างไรนั้น เพียงแวบเดียวหลัวซิวก็มองทะลุแล้ว ก่อนที่เขาจะยิ้มพลางพูด: “สติปัญญาของลิ่งฮู๋ไม่เลว ซึ่งข้าก็เคยเห็นเคล็ดเซียนที่เขาริเริ่มเช่นกัน มีศักยภาพที่สามารถขุดคุ้ยได้อีกสูงมาก หากอนาคตเมื่อเจ้าฝึกถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ขอแค่สามารถหลุดพ้นจากการพันธนาการของวรยุทธ์ แล้วเดินบนเส้นทางที่เป็นของตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็มีโอกาสก้าวเข้าสู่แดนผู้สูงส่งได้เช่นกัน”
“ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะของสหายหลัวอย่างยิ่ง!”ในเมื่อลิ่งฮู๋จื่อเซวียนทราบความเป็นมาของหลัวซิวแล้ว เขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าหลัวซิวกำลังชี้แนะให้เขาว่าอย่าหมกมุ่นอยู่กับระดับความสูงต่ำของวรยุทธ์ จุดที่เป็นกุญแจสำคัญคือจักสามารถหลุดพ้นจากการพันธนาการของวรยุทธ์ได้หรือไม่ แล้วริเริ่มเดินบนวิถีเส้นทางที่เป็นของตนเอง
หากอยากบรรลุเป็นผู้สูงส่ง แค่ฝึกวรยุทธ์ที่คนรุ่นก่อนริเริ่มนั้นมันไม่มีประโยชน์ ต่อให้สิ่งที่เจ้าฝึกเป็นเคล็ดเซียนผู้สูงส่ง ตลอดจนเคล็ดเซียนระดับประมุขเต๋า หากไม่สามารถเดินบนวิถีเส้นทางของตนเอง ก็ไม่สามารถบรรลุเป็นผู้สูงส่งได้เช่นกัน จำเป็นต้องเดินบนวิถีเส้นทางที่เป็นของตนเองภายใต้พื้นฐานวิถีเส้นทางของคนรุ่นก่อน ถึงจะเป็นวรยุทธ์ที่เป็นหนึ่งของผู้สูงส่ง ซึ่งนี่ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งของหลัวซิวที่เคยฝึกถึงแดนผู้สูงส่งเมื่อชาติปางก่อน
เพียงชั่วพริบตาเดียว สหการค้าก็ดำเนินการต่อไปอีกนานมาก ๆ คนนับร้อยนำสมบัติที่ตนคิดว่ามีมูลค่าออกมา ทำให้บรรยากาศในสหการค้าคึกคักอย่างยิ่ง
และจากสหการค้าในครั้งนี้ หลัวซิวก็ถูกผู้แข็งแกร่งจับตามองไม่น้อยเลย อย่างไรเสียเขาเป็นจอมยุทธ์เทพมารระดับแปดคนหนึ่งที่สามารถควักกรองแก้วโลหิตนับสิบล้านก้อนออกมาไม่ว่า แต่ยังสามารถหยิบเคล็ดเซียนผู้สูงส่งออกมาได้อีกด้วย ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้อมากเพียงใด ก็สามารถดูออกอยู่ว่าเจ้าหมอนี่ต้องเป็นคนรวยแน่นอน
ขอแค่มาเข้าร่วมสหการค้า ก็จำเป็นต้องนำสมบัติออกมาหนึ่งชิ้น เมื่อมาถึงฝั่งหลัวซิว สิ่งที่เขาหยิบออกมาคือหินตรีภพขนาดใหญ่หนึ่งก้อน
หลัวซิวได้รับหินตรีภพก้อนนี้มาจากหุบเขาหมัวหลัว ครั้นเมื่อแท่นบูชาตรีภพพังทลาย เขาได้ทำการเก็บหินตรีภพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมา ก่อนจะแบ่งให้หนิงหานหลิงส่วนหนึ่ง และในมือเขายังเหลืออีกไม่น้อย
มูลค่าของหินตรีภพเทียบเคียงกับหินสลักตรีภพไม่ได้ แต่เมื่อนำพลังเกณฑ์ตรีภพที่แฝงซ่อนอยู่ภายในมาฝึกตนแล้ว ประสิทธิผลของมันจะดีกว่ากรองแก้วโลหิตเล็กน้อย
แม้หินตรีภพขนาดใหญ่ก้อนนี้จะทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกตะลึง ทว่าก็ไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไหร่นัก
ทุกอย่างดำเนินการไปตามนี้ กระทั่งสหการค้าสิ้นสุดลง มีสมบัติปรากฏเยอะจนนับไม่ถ้วน ช่วงหลัง ๆ หลัวซิวก็ไม่ได้ประมูลเช่นกัน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะสมบัติที่เขาต้องตานั้นมีไม่มาก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่มีกรองแก้วโลหิตแล้ว นอกเสียจากเขาจะนำหินบรรพไท่ชูไปแลก
หลังจากออกมาจากสถานที่จัดสหการค้า หลัวซิวไม่ได้ออกจากตำหนักกิ่งโยงพลังแต่อย่างใด แต่เป็นการเดินทางไปเช่าห้องลับห้องหนึ่งในตำหนักกิ่งโยงพลังโดยตรง วางแผนที่จะปิดขัง
“ดูท่าผู้ที่หมายตาข้าไว้มีไม่น้อยเลยนี่”
เมื่ออยู่ภายในห้องลับแห่งตำหนักกิ่งโยงพลัง ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมารบกวน เพราะในเมื่อวังชิงเทียนทำธุรกิจที่นี่ เช่นนั้นย่อมต้องรับประกันด้านความปลอดภัยอยู่แล้ว
หลังจากสิ้นสุดสหการค้า เขาก็สัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึกจำนวนมากคอยจับตาดูทุกกิริยาท่าทางของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นคือมีคนบางส่วนที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ใช้ตัวสำนึกทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนตัวเขา เพื่อให้สะดวกแก่การตามสะกดรอยและไล่ล่าในอนาคต
“คนนี้หรือ? ตรวจสอบความเป็นมาของมันได้หรือยัง?”
ถังซิ่นหงมองดูภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า และภาพวาดที่อยู่ด้านหน้าก็คือภาพฉากขณะหลัวซิวอยู่ในสหการค้านั่นเอง สำนักเต๋าเสวียนอ้างอิงจากเบาะแสร่องรอยต่าง ๆ ก่อนจะตรวจพบหลัวซิวที่สังหารถังก้วนเจี๋ยได้อย่างรวดเร็ว
“คนดังกล่าวเหมือนปรากฏในมิติสมรภูมิกู่ไท่อย่างไร้มูลเหตุ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวก็คือคนดังกล่าวมาจากฝั่งเมืองทรายดูด ผู้ที่มาพร้อมมันยังมีสตรีอีกสองนาง ทราบแค่ว่ามันแซ่หลัว”ศิษย์ผู้รับผิดชอบรวบรวมข่าวคราวโดยเฉพาะของสำนักเต๋าเสวียนพูดอย่างเคารพนอบน้อม
“ส่งคนไปจับตาดูมันเอาไว้ดี ๆ แม้นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักเต๋าเสวียนและวังชิงเทียนจะไม่แย่ แต่ก็ฆ่าคนในตำหนักกิ่งโยงพลังไม่ได้”ถังซิ่นหงพูดกระแทกเสียงต่ำ
……
ภายในห้องลับ หลัวซิวหยิบม้วนหยกที่มีรอยแตกนั่นออกมา เขาไม่ได้ใช้กรองแก้วจิตนภายกระดับตัวสำนึกของตัวเองทันที แต่วางแผนที่จะศึกษาวิจัยพลังอมตะที่ผู้สูงส่งญาณแท้ตกทอดมาก่อน
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่สามารถฝึกวิถีกลั่นวิญญาณให้ขึ้นไปถึงแดนผู้สูงส่งได้นั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน เนื่องจากวิญญาณดั้งเดิมเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมากเกินไป เมื่อเกี่ยวเนื่องไปถึงส่วนที่ลึกซึ้ง ก็จะเป็นการแตะต้องกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อห้ามของวัฏสงสาร
“วิญญาณอมตะการป้องกันหรือ?”
หลังจากตัวสำนึกของหลัวซิวแผ่สำรวจเข้าไปในม้วนหยกแล้ว บนใบหน้าเขาก็มีรอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏ
อดีตครั้นเมื่อเขาอยู่ในมหาโลกาพันสาม เคยไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เขาผีเก้า และเขาก็เคยอาศัยวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการพลังอมตะป้องกันวิญญาณเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือเขาก็เคยวิวัฒนาการพลังโจมตีวิญญาณออกมาได้ด้วย
แต่ว่าแค่ไม่มีพลังอมตะที่แข็งแกร่งให้ศึกษาเรียนรู้ตลอดมา ดังนั้นวิญญาณอมตะที่เขาปลดปล่อยออกมาจึงเหมือนจะถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ถูกต้อง ครั้นเมื่อแดนยังย่ำยังพอมีประโยชน์อยู่ ปัจจุบันเมื่อมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด มันก็สร้างประโยชน์ให้เขาได้ยากมากแล้ว
อันที่จริงสิ่งที่เขาต้องการคือพลังอมตะโจมตีวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถทำให้เขามีอุบายที่ทรงพลังมากขึ้นเมื่อประมือกับผู้อื่น แต่พลังอมตะป้องกันวิญญาณกลับไม่ใช่สิ่งที่เขา ณ ปัจจุบันต้องการมากที่สุด เนื่องจากสำหรับตัวสำนึกของเขาที่ได้รับการปลุกเสกโดยพลังญาณเทวแล้ว มีน้อยคนมากที่สามารถอาศัยพลังโจมตีวิญญาณมาทลายเกราะป้องกันในตัวหยั่งรู้ของเขาได้
พลังอมตะวิชานี้มีนามว่าผนังเทพปกปักษ์มังกร พลังตัวสำนึกที่อยู่ในตัวหยั่งรู้จะกลายเป็นมังกรคอยคุ้มกันอยู่ภายใน ป้องกันพลังโจมตีของตัวสำนึกวิญญาณ
“อย่างน้อยมีก็ดีกว่าไม่มี ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ศึกษาวิจัยดูดี ๆ หน่อยก็แล้วกัน แม้นจะเป็นพลังอมตะป้องกัน แต่ไม่แน่อาจจะหาแรงบันดาลใจได้จากภายใน จนวิวัฒนาการพลังอมตะโจมตีออกมาก็เป็นได้”
หลัวซิวมองโลกในแง่ดีมาก ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองแลกมาด้วยเคล็ดเซียนมหาเทพเสินหวงจะไม่คุ้มค่า
เขาไม่ได้ฝึกตามวิธีการของผนังเทพปกปักษ์มังกร แต่เป็นการใช้การตระหนักรู้และอนุมาน เพื่อริเริ่มวิญญาณอมตะที่เป็นของตนเอง
ผนังเทพปกปักษ์มังกรคือตัวสำนึกที่วิวัฒนาการเป็นรูปร่างมังกร ส่วนพลังอมตะป้องกันวิญญาณที่หลัวซิวริเริ่มนั้น กลับสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นร้อยแปดพันเก้า เปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างลักษณะต่าง ๆ ตามสิ่งที่ใจปรารถนา ยิ่งกว่านั้นคือภายในยังมีออร่าเกณ์พลังเต๋าประเภทใดประเภทหนึ่งแฝงซ่อนอยู่ด้วย
ธาตุพลังเต๋าที่เวียนว่ายตายเกิดของพลังแห่งชิงเทียนสามารถทำให้พลังป้องกันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หากนำความมหัศจรรย์ของธรรมเวชกาลล้นหลอมรวมเข้ากับวิญญาณอมตะ ยิ่งสามารถทำให้ตัวสำนึกของเขามีความสามารถในการกลั่นแปร
หลัวซิวเพลิดเพลินอยู่กับการอนุมานความลึกลับและมหัศจรรย์ของวิญญาณอมตะโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เคล็ดเทวกลั่นวิญญาณของเขาคือวรยุทธ์กลั่นวิญญาณวิชาแรกในดาราจักรวาล เขาอาศัยความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ ใช้เวลาปิดขังตระหนักรู้เพียงปีสองปีเท่านั้น ความสามารถบนวิถีกลั่นวิญญาณของเขาก็อยู่เหนือเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนอยู่บนวิถีนี้เป็นสิบล้านปีได้อย่างง่ายดายแล้ว
ณ ห้องโถงใหญ่ของตำหนักกิ่งโยงพลัง หลังจากเวลาล่วงเลยไป 13 ปี ในที่สุดฮู๋ชิงชิงก็กลับมาจากปราสาทอสูรฟ้าสักที ผลการฝึกตนของนางบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้า อีกทั้งยังบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลายด้วย
นางได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากผู้แข็งแกร่งโบราณท่านหนึ่งที่ฝึกเต๋าแห่งอสูรฟ้า ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่าปี ศักยภาพของนางก็พุ่งสูงขึ้นเยอะมาก
“ข้ามาสายหลายปีเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่นางหนิงและท่านชายยังคอยข้าอยู่ที่นี่หรือไม่”
ฮู๋ชิงชิงแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป แต่กลับไม่พบข่าวคราวใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับหนิงหานหลิงและหลัวซิวเลย
นางมาถึงจุดแบ่งภารกิจ เมื่อนางตรวจสอบภารกิจในการตามหาลู่เมิ่งเหยา กลับพบว่าภารกิจถูกทำสำเร็จแล้ว นี่จึงทำให้ฮู๋ชิงชิงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหลัวซิวต้องเคยกลับมาที่นี่แน่นอน มิเช่นนั้นนอกเหนือจากเขา ก็ไม่มีผู้ใดที่จะไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแล้ว
ทว่าก็มีคำถามเกิดขึ้นอีก ในเมื่อหลัวซิวกลับมาแล้ว เหตุใดจึงไม่เห็นเขาในตำหนักกิ่งโยงพลังล่ะ? ตอนแรกตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันในตำหนักกิ่งโยงพลัง ผู้ใดมาถึงก่อนก็จะรอคอยอยู่ที่นี่มิใช่หรือ?
แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ใช่เพราะฮู๋ชิงชิงไม่เชื่อใจหลัวซิว ระหว่างทางที่นางกลับมาจากปราสาทอสูรฟ้า ก็ได้ยินว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในมิติสมรภูมิกู่ไท่เยอะมาก นางกังวลว่าหลัวซิวจะตกอยู่ในความอันตราย