มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2800 โลกของญาณมรณะ
ตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา หอคอยนภากาศก็มี 12 ชั้นมาโดยตลอด
ตั้งแต่ยุคไท่ชูจวบจนปัจจุบัน หลัวซิวและลู่ยู่จื่อจักกลายเป็นคนแรกที่ย่างกรายสู่ชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ
สำหรับหอคอยนภากาศ หลัวซิวเข้าใจดีมากว่าตนรู้ดีไม่เท่าลู่ยู่จื่อ ดังนั้นเขาก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่เข้าไปเช่นกัน แต่เป็นการมองดูเงาร่างของลู่ยู่จื่อหายเข้าไปในทางเหนือนภา จากนั้นเขาถึงจะเดินตามเข้าไป
แหงนหน้ามองขึ้นไป ปริภูมิฟ้าดินในชั้น 13 มีตรีภพที่เก่าแก่เชี่ยวกราก และมีอากาศที่คลุกเคล้าและสิ่งธรรมชาติต่าง ๆ ปรากฏอย่างต่อเนื่อง
มีเงาดำร่างหนึ่งหายไปจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือเงาหลังของลู่ยู่จื่อ เขามาถึงชั้น 13 ของหอคอยนภากาศก่อนหลัวซิวหนึ่งก้าว อีกทั้งหลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว ก็หายจากไปไกลภายในพริบตา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสาเหตุที่เขาทุ่มเทพลังจิตมาที่นี่นั้น เขามาเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง
หลัวซิวไม่ได้ไล่ตามลู่ยู่จื่อไป แต่เป็นการเลือกที่จะบินไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็มองเห็นคูเมืองที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง ภายในคูเมืองดังกล่าวมีชี่มรณะที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าม้วนซัดปะทุ ญาณมรณะแข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนรวมกันอยู่ในเมือง ดวงตาสีแดงเถือกทั้งหลายเพ่งมองไปทางหลัวซิว
“เมืองคงกระพัน!”
ด้านบนคูเมืองแห่งนี้มีธงแห่งชัยชนะโบกสะบัด ด้านบนมีคำว่า‘เมืองคงกระพัน’สีแดงเถือกตัวใหญ่ ๆ เขียนติดอยู่
“ผู้ใดบังอาจบุกรุกเข้ามาในสถานนอนหลับใหลของบรรพศักดิ์สิทธิ์ จับกุมตัวมันมา!”
มีญาณมรณะตัวหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ถัดจากนั้นก็มีรชนีปีศาจมรณาทั้งหลายที่มีชี่มรณะแฝงซ่อนอยู่ยิงออกมาจากเมืองคงกระพัน ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วม้วนซัดไปทางหลัวซิว
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
หลัวซิวเรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมา รชนีปีศาจทั้งหลายพุ่งชนเข้ากับเตาเซียน แสงอัคคีที่รุนแรงระเบิดแตก แต่กลับไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเตาเซียน
และในเวลานี้เอง ก็มีญาณมรณะจำนวนมากคำรามพลางพุ่งออกมาจากเมืองคงกระพัน ญาณมรณะเหล่านี้มีสภาพรูปร่างที่แตกต่างกัน มีทั้งร่างมนุษย์ร่างมารและมีร่างปีศาจด้วย เอกลักษณ์ที่เหมือนกันของญาณมรณะทั้งหมดนี้ก็คือมีชี่มรณะที่เข้มข้นลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกาย ไม่มีคลื่นออร่าชีวิตเลยแม้แต่น้อย
หลัวซิวเพิ่งมาถึงชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ ซึ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่เลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นญาณมรณะที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่พุ่งฆ่าเข้ามา เขาไม่ได้ถดถอยแต่อย่างใด แต่เป็นการก้าวเท้าเผชิญหน้าเข้าไป
“โครม!”
เสียงระเบิดที่ดังกระหึ่มดังขึ้น ญาณมรณะตัวหนึ่งที่มีศักยภาพเทียบทัดเทพมารระดับเก้าถูกหลัวซิวใช้กำปั้นหนึ่งโจมตีจนกระเด็นออกไป ชี่มรณะที่ผนึกรวมอยู่บนตัวระเบิดแตกจนเสียงดัง
ในขณะเดียวกัน ก็มีญาณมรณะอีกนับร้อยตัวปลดปล่อยพลังอมตะต่าง ๆ ออกมา ทว่าศักยภาพของญาณมรณะเหล่านี้ไม่มีตัวใดที่บรรลุถึงราชาเทพระดับเก้าเลย พลังโจมตีของพวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งของหลัวซิวได้ด้วยซ้ำ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……
ทุกครั้งที่เสียงตู้มดังลั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะมีญาณมรณะตัวหนึ่งถูกต่อยจนกระเด็นออกไป มีญาณมรณะบางตัวยิ่งถูกต่อยจนระเบิด ร่างกายแตกสลาย กลายเป็นชี่มรณะครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วสลายหายไปในอนัตตา
แต่ว่าญาณมรณะที่คำรามพลางพุ่งออกมาจากเมืองคงกระพันมีมากเกินไป เพียงพริบตาเดียวหลัวซิวก็จมหายไปในญาณมรณะ ถึงแม้จะมีญาณมรณะถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีญาณมรณะที่มากกว่ากระโจนเข้ามา ทำให้ผนึกพื้นที่รอบกายหลัวซิวจนมิดชิด
“อัคคี!”
เพียงชั่วพริบตาเดียว อัคคีเทพที่ไร้ขอบเขตก็ลุกลามไปทั่วท้องฟ้า มีเปลวไฟลุกโชนออกมาจากเตากลั่นนภาจื่อเซียวเป็นวงกว้าง ทำการแผดเผาอนัตตาโดยรอบนับหมื่นไมล์จนกลายเป็นแดนอัคคีที่ร้อนผ่าว
หลัวซิวยึดกุมวิถีไร้ลักษณ์จนบรรลุถึงระดับของเกณฑ์ราชาเทพระดับเก้าแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพลังเกณฑ์ธาตุไฟที่เขาปลดปล่อยออกมา ก็บรรลุถึงระดับขั้นที่แทบจะสามารถเทียบทัดพลังโจมตีของราชาเทพระดับเก้าอย่างแน่นอน
มีเพียงผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเทพระดับเก้าเท่านั้นถึงจะสามารถเข้ามาในหอคอยนภากาศ และนี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่สามารถทำลายได้ ซึ่งญาณมรณะที่อยู่ชั้น 13 ของหอคอยนภากาศก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ภายในเสี้ยววินาทีที่อาณาจักรเปลวไฟระเบิด ก็มีญาณมรณะจำนวนมากถูกแผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผง
“ตู้มม!”
มีเงาดำร่างหนึ่งจุติลงมาจากฟ้า เท้าทั้งสองข้างย่ำลงบนกำแพงเมืองเมืองคงกระพัน คูเมืองที่เก่าแก่แห่งนี้จึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง
จากการที่วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นทุกวัน ร่างเนื้อของหลัวซิวเทียบทัดภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าแล้ว ซึ่งหนักอึ้งจนน่ากลัว ในวันธรรมดาเขาล้วนอยู่ในสภาวะปิดบังศักยภาพ และทันทีที่ระเบิดกำลังรบทั้งหมดออกมา ร่างเนื้อของเขาหนักอึ้งมากจนยิ่งสามารถบดขยี้ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
“คูเมืองแห่งนี้ก็เป็นอาวุธเทพของขลังชิ้นหนึ่งที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
สายตาของหลัวซิวกวาดมองเมืองคงกระพันแห่งนี้ ภายใต้การม้วนซัดของอัคคีเทพ ทำให้ญาณมรณะที่อยู่ที่นี่ล้วนถูกเขาทำลายล้าง และนึกไม่ถึงเลยว่าเมืองคงกระพันแห่งนี้จะสามารถรองรับความหนักร่างเนื้อของเขาได้ด้วย จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเป็นของขลังที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง
ในพื้นที่ชั้น 13 ของหอคอยนภากาศ ออร่าเกณฑ์มรณานิพพานเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด เมืองคงกระพันแห่งนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีเกณฑ์ความตายแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน อย่างน้อยก็เป็นภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้าชิ้นหนึ่ง
แต่ทว่าจากการที่เวลาล่วงเลยไปอย่างยาวนาน พลานุภาพของเมืองคงกระพันแห่งนี้ลดฮวบ แทบจะร่วงหล่นลงมาเป็นภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าแล้ว
“วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์!”
หลัวซิวยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประสานอินกลางหน้าอก จู่ ๆ ตรงจุดศูนย์กลางที่เขายืนอยู่ก็กลายเป็นระลอกคลื่นลูกหนึ่ง ก่อนจะทำการดูดกลืนดูดซับพละกำลังที่แฝงซ่อนอยู่ในเมืองคงกระพันแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงตั้งนานแล้ว หลังจากพละกำลังในเมืองคงกระพันแห่งนี้ถูกเขาดูดซับกลั่นแปรโดยสิ้นเชิงแล้ว ร่างเนื้อเขาก็ยังไม่สามารถทลายพันธนาการได้อยู่เช่นเคย ไม่สามารถก้าวเข้าสู่ร่างมกุฎเทพระดับเก้า
เมืองคงกระพันกลายเป็นฝุ่นผง ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะออกเดินทางไปสำรวจสถานที่อื่น ๆ ต่ออยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็พบว่ามีเมฆครึ้มกลิ้งไหลอยู่กลางนภาที่อยู่ห่างไกลออกไป ชี่มรณะมโหฬารพันลึกดั่งมังกร
มีเงาร่างนับร้อยเป็นประกายระยิบระยับอยู่ในชี่มรณะที่มโหฬารพันลึก ซึ่งเงาดำทุกร่างล้วนนั่งควบอยู่บนมารร้ายมรณะตัวหนึ่ง มีพลังออร่าที่ทรงพลังตลบฟุ้งอยู่รอบกาย
“ญาณมรณะระดับเทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัว!”
หลังจากหลัวซิวแผ่ขยายตัวสำนึกออกไปแล้วสัมผัสภาพเหตุการณ์ดังกล่าวได้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน ต่อให้กำลังรบของเขาจะเทียบทัดราชาเทพระดับเก้า แต่ถ้าเกิดถูกเทพมารระดับเก้าขั้นสูงที่มากมายขนาดนี้รุมโจมตีละก็ เขาก็ทำได้เพียงหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน
ในขณะเดียวกันเขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าผู้ที่กำลังถูกญาณมรณะเทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัวไล่ล่าก็คือลู่ยู่จื่อ
ลู่ยู่จื่อเป็นร่างที่ผู้แกร่งเลิศกลับชาติมาเกิด ซึ่งภูมิหลังของเขายิ่งใหญ่กว่าหลัวซิวมาก ลู่ยู่จื่อในภพชาตินี้ฝึกถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูงแล้ว ผลการฝึกตนอยู่เหนือหลัวซิวหนึ่งแดนเล็ก ศักยภาพก็ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้
แม้นจะไม่แน่ชัดว่าขีดจำกัดศักยภาพของลู่ยู่จื่ออยู่ที่ใด แต่ก็สามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าได้อย่างแน่นอน ทว่าวินาทีนี้เขาก็ถูกไล่ล่าจนหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ดี สภาพดูจนตรอกเล็กน้อย
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ เจ้าทำเรื่องสิ้นมโนธรรมอะไรมากันแน่ ถึงขั้นถูกญาณมรณะที่มากมายเช่นนี้ไล่ล่า?”
หลัวซิวกระโดดขึ้นฟ้า มาถึงข้างกายลู่ยู่จื่อพลางหัวเราะพลางถาม ทุกคนล้วนฟังออกกันทั้งนั้นแหละว่าภายในคำพูดนี้ของเขามีความถากถางปนอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีเลศนัยบางอย่างต่อลู่ยู่จื่อ
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัวหยุดล้อเล่นได้แล้ว ข้าแค่มาเดินเที่ยวที่นี่อย่างเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็บังเอิญประสบพบเจอกับปัญหา ได้โปรดผู้เพื่อนยุทธ์ช่วยข้าอีกแรงหนึ่งด้วย”
ราวกับลู่ยู่จื่อไม่รู้ว่าหลัวซิวกำลังเหน็บแนม พูดคุยกันอย่างมีความสุขดั่งมิตรสหายที่คบหากันมานานหลายปี
“ในเมื่อเจ้าและข้าร่วมมือกัน ย่อมต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านข้าศึกอยู่แล้ว ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่มีตำรับยาของยาเซียนนภาเต๋าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ลู่ยู่จื่อก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยอย่างสังเกตเห็นได้ยาก เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าหลัวซิวจะใช้โอกาสนี้มารีดไถตน
เขาคือผู้สูงส่งแห่งโลกเสวียนในอดีต เกณฑ์ที่ตัวเขาฝึกย่อมต้องเป็นธรรมเวชเสวียนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นตัวแทนขั้นสูงสุดของเกณฑ์ปริภูมิดั้งเดิม
แต่เมื่ออยู่ภายใต้การผนึกจากออร่าของญาณมรณะเทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัว ปริภูมิล้วนผูกผนึก เขาไม่สามารถใช้พลังอมตะปริภูมิเพื่อหลบหนีได้เลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา หากผู้เพื่อนยุทธ์หลัวต้องการละก็ ข้ามีตำรับยาหนึ่งชุดจริง ๆ”
ลู่ยู่จื่อแค่ลังเลใจเพียงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็โยนม้วนหยกชิ้นหนึ่งที่เก่าแก่มาก ๆ ไปให้หลัวซิว
สิ่งที่บันทึกอยู่ภายในม้วนยกชิ้นนี้ก็คือตำรับยาของยาเซียนนภาเต๋า ยิ่งกว่านั้นคือยังมีวิชายาพิเศษที่เหมาะสมด้วย ทว่าต้นยาเซียนจำนวนมากที่ต้องใช้ในการกลั่นตำรับยาชุดนี้ ล้วนเป็นต้นยาเซียนที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคสมัยที่เก่าแก่แล้ว ซึ่งไม่คงอยู่ในยุคปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ตำรับยาชุดนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อลู่ยู่จื่อเลย มิหนำซ้ำตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องกลั่นยาเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มอบมันให้หลัวซิวอย่างใจกว้างเช่นนี้
“ของดีแฮะ!”
หลัวซิวหัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะพลิกมือเก็บม้วนหยกแล้วพูด: “ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่เจ้าไปก่อนเลย เดี๋ยวข้ารั้งท้าย!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็พุ่งตรงไปทางญาณมรณะเทพมารระดับเก้าขั้นสูงนับร้อยตัวนั่นโดยตรง
แม้แต่ตัวลู่ยู่จื่อเองก็ตกใจในพฤติกรรมดังกล่าวของหลัวซิวจนสะดุ้งเช่นกัน หากพุ่งเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ละก็ ทันทีที่ถูกญาณมรณะนับร้อยตัวกักขัง ก็แทบจะไม่มีโอกาสหนีรอดออกมาได้เลย
แต่ลู่ยู่จื่อเบื่อที่จะไปสนใจความเป็นความตายของหลัวซิว ในเมื่อมีคนช่วยตนรั้งท้าย เขาจึงรีบกระตุ้นความเร็วให้รวดเร็วถึงขีดสุดแล้วบินหนีไปด้านหน้า ขอแค่บินหนีออกไปจากขอบเขตที่แน่นอนแล้ว ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการผนึกของปริภูมิ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถโคจรพลังอมตะปริภูมิเพื่อเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างง่ายดาย
“ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวกางแขนทั้งสองข้างออก เพียงพริบตาเดียวก็มีวิถีนับหมื่นพรั่งพรูออกมา มีพลังอมตะต่าง ๆ ที่ลึกลับและมหัศจรรย์ถึงขีดสุดถูกปลดปล่อยออกมา คำรามปานน้ำหลากแล้วม้วนซัดไปทางญาณมรณะนับร้อย
มีญาณมรณะนับร้อย แต่พลังอมตะที่ถูกกระตุ้นออกมาจากตราสรรพสิทธิ์ของเขากลับมีเป็นหมื่นพลัง อีกทั้งพลานุภาพของทุกพลังอมตะก็แทบจะใกล้เคียงกับพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าด้วย
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……
เสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องอยู่ในฟ้าดินอนัตตา ภายใต้การโจมตีปราบปรามของตราสรรพสิทธิ์ สภาพของญาณมรณะนับร้อยน่าอนาถ ทว่าพวกมันกลับร่วมมือกันดีมาก ๆ ประกอบเป็นค่ายรบ จึงเสียหายไม่มากนัก
แต่ว่าหลังจากพลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์สลายหายไปแล้ว เงาร่างของหลัวซิวก็หายไปเช่นกัน ญาณมรณะนับร้อยเหมือนยืนเหม่อลอยอยู่กลางนภา เข้าสู่สภาวะเฉื่อยชา หลังจากผ่านไปพักหนึ่งถึงจะย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม ไม่รู้ว่าควรไปที่ใดดี
“เจ้าหมอนั่นถูกกำจัดทิ้งแล้วรึ?”
ลู่ยู่จื่อที่บินหนีออกไปไกลมาก ๆ แล้วหยุดเคลื่อนที่ เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดลั่นฟ้าที่สะท้อนมาจากด้านหลังเช่นกัน แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป เมื่อสังเกตเห็นว่าญาณมรณะนับร้อยย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม แววตาเขาก็ดูหวาดหวั่นขึ้นมากะทันหัน
ชัวะ!
เสี้ยววินาทีที่ลู่ยู่จื่อหันหน้ากลับไป เขาก็เห็นว่าเงาร่างของหลัวซิวมายืนอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ตรงมุมปากหลัวซิว จึงทำให้ลู่ยู่จื่อเข้าใจแล้วว่าแม้นเขาเมื่อชาติปางก่อนจะบรรลุถึงแดนผู้แกร่งเลิศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไท่ซ่างฉิงที่ได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งเดียวตลอดกาล และพรสวรรค์เป็นหนึ่งแล้ว เขาก็แตกต่างจากฝ่ายตรงข้ามไม่น้อยเลย
หากไม่ใช่เพราะไท่ซ่างฉิงทลายกงล้อวัฏจักรธรรมแล้วดับสลายสูญสิ้นละก็ คนดังกล่าวต้องกลายเป็นผู้แกร่งเลิศได้อย่างแน่นอน และยิ่งมีโอกาสบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าด้วย
เขาอยากถามมาก ๆ ว่าหลัวซิวทำเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียต่อให้ผลสำเร็จเมื่อชาติปางก่อนจะสูงมากเพียงใด ศักยภาพที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ในภพชาตินี้ก็ถูกจำกัดโดยแดนผลการฝึกตนของตัวเองเช่นกัน ญาณมรณะนับร้อยตัวนั่นเป็นเทพมารระดับเก้าขั้นสูงทุกตัวเลยนะ ยิ่งกว่านั้นคือพลังอำนาจนี้สามารถสังหารราชาเทพระดับเก้าได้แล้ว
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ ข้าคิดว่าเราควรมาพูดคุยกันดี ๆ หน่อยแล้วล่ะ”
ไม่รอให้ลู่ยู่จื่อได้สอบถาม หลัวซิวก็เป็นฝ่ายที่เอ่ยปากพูดก่อนแล้ว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าสาเหตุที่ลู่ยู่จื่อลงมือปฏิบัติการทันทีที่เข้าสู่ชั้น 13 ของหอคอยนภากาศนั้น ลู่ยู่จื่อต้องทราบเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้โดยที่ผู้อื่นไม่ทราบแน่นอน