มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2803 ดุดันจนเหลือเชื่อ
“ไม่นึกเลยว่าศักยภาพของเจ้าแทบจะไม่อ่อนกว่าข้าเลย แต่ที่นี่คือสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพัน เมื่ออยู่ที่นี่เจ้าไม่มีทางโค่นล้มข้าได้หรอก”
ศักยภาพที่หลัวซิวแสดงออกมาทำให้ความจองหองบนใบหน้าจวินห้าวเซวียนหายไปเยอะมาก ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงคำรามสะท้อนมาอีกหลายเสียง ก่อนที่ญาณมรณะแข็งแกร่งสิบกว่าตัวจะพุ่งตรงเข้ามาทางนี้
ศักยภาพของญาณมรณะสิบกว่าตัวนี้ก็เป็นเทพมารระดับเก้าเช่นกัน อีกทั้งพลังออร่าของทุกตัวมากมายมหาศาล ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเทพมารระดับเก้าทั่วไปมาก
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แค่จวินห้าวเซวียนคนเดียวก็รับมือยากแล้ว หากมียอดฝีมือที่มีศักยภาพเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าคนละก็ เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องถดถอยหลบหนีแล้วล่ะ
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ เจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ?”จู่ ๆ หลัวซิวก็มองไปทางลู่ยู่จื่อ ขณะที่เขาประมือกับจวินห้าวเซวียน ลู่ยู่จื่อมองการต่อสู้ของพวกเขามาโดยตลอด ไม่มีท่าทีที่จะลงมือเลย
ลู่ยู่จื่อลังเลใจอยู่เล็กน้อย เดิมทีแผนการของเขาคือจะให้หลัวซิวและจวินห้าวเซวียนนั่นบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ก่อน จากนั้นตนก็จะสามารถรอฉกฉวยผลประโยชน์ทีหลัง ทว่าเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หากตนไม่ลงมือละก็ แม้นจะใช้โอกาสนี้กำจัดหลัวซิวทิ้ง เขาก็อย่าคิดว่าจะได้ครอบครองของชิ้นนั้นที่ประมุขเต๋าคงกระพันทิ้งไว้เลย
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เงาร่างของลู่ยู่จื่อก็กระพริบแล้วเข้าร่วมสนามรบ อาณาจักรปริภูมิแผ่ขยายออก โซนทอร์นาโดที่น่าสยดสยองก็ปรากฏกลางอากาศที่ว่างเปล่า บดขยี้ฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง
อย่างไรก็ตามแม้นจะมีการลงมือของลู่ยู่จื่อ สถานการณ์ของหลัวซิวทั้งสองคนก็ย่ำแย่เช่นกัน เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบด้านชัยภูมิและจำนวนคน จากการที่มีญาณมรณะที่ยิ่งอยู่ยิ่งมากเข้าร่วมสนามรบ หลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ทำได้เพียงถูกบีบจนถดถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง
และมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของลู่ยู่จื่อที่สุขุมเช่นกัน ญาณมรณะที่บินมาจากทั่วทุกสารทิศยิ่งอยู่ยิ่งมาก ซึ่งญาณมรณะทุกตัวล้วนมีศักยภาพไม่ต่ำกว่าเทพมารระดับเก้า มีญาณมรณะแข็งแกร่งบางตัวยิ่งเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าแล้ว
หากญาณมรณะที่มารวมตัวกันมีมากกว่านี้อีกหน่อยละก็ เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่ต้องยืดยื้ออยู่ที่นี่ต่อแล้ว คงทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดอย่างเดียวแล้วล่ะ
จวินห้าวเซวียนลงมือโจมตีน้อยมาก ๆ แต่ทุกครั้งที่เขาลงมือโจมตี ก็จะสร้างภัยคุกคามให้แก่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อยิ่งใหญ่มาก
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว หากยังไม่เผ่นตอนนี้ละก็ ญาณมรณะที่มารวมตัวกันก็จะผนึกฟ้าดินแห่งนี้ แล้วเราสองคนก็อย่าคิดว่าจะสามารถหนีรอดได้เลย”
ลู่ยู่จื่อรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งกดดัน หากไม่ใช่เพราะเขายังต้องอาศัยพละกำลังของหลัวซิว คงถอนตัวออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว ทิ้งให้หลัวซิวต่อสู้กับการรุมโจมตีของญาณมรณะจำนวนมาก
“หากถอยตอนนี้ ญาณมรณะของที่นี่ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของจวินห้าวเซวียนก็จะมีภูมิต้านทาน ต่อไปเราก็ยิ่งไม่มีทางบุกเข้ามาได้แล้ว”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง ยันต์ค่ายทั้ง 33 ยันต์ที่โอบล้อมอยู่รอบกายก็แวววาวจับตาถึงขีดสุดกะทันหัน และความเร็วของเขาก็พุ่งขึ้นสูงภายในพริบตา ใช้ระดับความเร็วที่แทบจะอยู่เหนือขีดจำกัด พุ่งตรงไปทางจวินห้าวเซวียน
เมื่อลู่ยู่จื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า จิตใจก็รู้สึกสงสัยมาก “หรือเขาจะฝืนใช้อำนาจสังหารจวินห้าวเซวียนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้?”
ในมุมมองของลู่ยู่จื่อ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าศักยภาพของจวินห้าวเซวียนเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คงร่างเทวคงกระพันของเขายิ่งฆ่าตายยากมาก แม้นจะโจมตีเขาจนบาดเจ็บสาหัส สภาพอาการบาดเจ็บก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
และถ้าเกิดสังหารไม่สำเร็จ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเข้าสู่สภาวะที่ถูกญาณมรณะจำนวนมากรุมโจมตีแน่นอน!
จวินห้าวเซวียนก็ต้องสังเกตเห็นหลัวซิวที่พุ่งจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามเร็วเกินไป ทำให้เขาไม่มีพื้นที่ที่จะหลบหลีกได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าจวินห้าวเซวียนกลับไม่มีความคิดที่จะหลบเลี่ยง แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “เจ้าถือดีมากเกินไปแล้ว และเจ้าก็จะได้ตายต่อหน้าข้า และต้องปฏิบัติตามปณิธานของประมุขเต๋าคงกระพัน กลายเป็นหนึ่งในญาณมรณะที่เฝ้าปกปักรักษาอยู่ที่นี่!”
“ร่างกอปรจิตอันตกะ!”
จวินห้าวเซวียนตะคอกเสียงดังลั่น มีชี่มรณะที่เข้มข้นพรั่งพรูออกมาจากร่างญาณมรณะตัวอื่น ๆ แล้วผนึกรวมกันไปทางจวินห้าวเซวียน จากนั้นก็ถูกร่างกายของเขาดูดซับ ทำให้ชี่มรณะที่อยู่บนตัวเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พลังออร่าเพิ่มขึ้นตามจังหวะ
ครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่เขาคือศิษย์ได้ใจของประมุขเต๋าคงกระพัน หลังจากประมุขเต๋าดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว จากพรสวรรค์ของเขาแม้นจักบรรลุเป็นประมุขเต๋าไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งได้อยู่ แต่ว่าเขากลับไม่ได้เลือกอนาคต แต่เป็นการกลายเป็นญาณมรณะตัวหนึ่ง แล้วเฝ้าปกปักรักษาสุสานของอาจารย์ตลอดกาล
“ตราประทับหงฮวง!”
ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวเยือกเย็นลงไปกะทันหัน เมื่อเขาปรากฏตรงหน้าจวินห้าวเซวียน ก็มีธรรมเวชกาลร้างวิวัฒนาการออกมาจากตาข้างซ้ายของเขา ส่วนตาข้างขวานั้นก็วิวัฒนาการธรรมเวชกาลล้นออกมา
ร้างคือวิถีร่างเนื้อ ส่วนอหังหารหรือล้นคือวิถีกลั่นแปร เมื่อธรรมทั้งสองประเภทอย่างร้างและล้นหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะอยู่เหนือวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ ซึ่งสามารถดูดซับกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าเพื่อทำให้ร่างเนื้อตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!
เต๋าอหังการยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เต๋าร้างก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ต่างช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน!
และอ้างอิงจากการตระหนักรู้ในธรรมเวชหงฮวง(ล้นร้าง)ของหลัวซิว เมื่อทำการหลอมรวมธรรมทั้งสองประเภทนี้เข้าด้วยกัน ทำให้ตราต้าฮวงดั้งเดิมที่เขาริเริ่มยกระดับถึงระดับขั้นที่ใหม่เอี่ยมอีกครั้ง!
มีรัศมีเทวที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากตัวเขาภายในพริบตา มือทั้งสองข้างของเขาประสานอิน และมีร่องรอยที่ล้ำลึกถึงขีดสุดแผ่กระจายออกมาลาง ๆ
“ตู้มม!”
ความเร็วของเขารวดเร็วมากเกินไป ดังนั้นจวินห้าวเซวียนจึงหลบหลีกพลังอมตะนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เห็นเพียงอานุภาพของตราประทับหงฮวง(ล้นร้าง)ระเบิดออกมาทุกอณู แล้วถาโถมใส่ร่างจวินห้าวเซวียนอย่างไร้ความปราณี ทำให้เขากระอักเลือดอย่างบ้าคลั่งกะทันหัน ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดเนื้อทั้งร่างกายระเบิดแตกจนกลายเป็นหมอกเลือดครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่
“ช่างเป็นวิชาตราประทับที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่ายังไม่เพียงพอที่จะสามารถสังหารข้าได้!”
สีหน้าของจวินห้าวเซวียนขาวซีดเล็กน้อย พลังโจมตีของหลัวซิวมีเกณฑ์พลังเต๋าประเภทหนึ่งที่มหัศจรรย์มากแฝงซ่อนอยู่ และเนื่องจากผลกระทบจากพลังเต๋าประเภทนี้นี่เอง ถึงได้ทำให้คงร่างเทวคงกระพันของเขาฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บได้ยากเช่นกัน
“ตราสรรพสิทธิ์!”
การโจมตีของหลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว แล้วปรากฏเหนือศีรษะจวินห้าวเซวียนอีกครั้ง ตราสรรพสิทธิ์หนึ่งวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นออกมา ทำให้จวินห้าวเซวียนจมหายเข้าไปในพลังอมตะทั้งปวงภายในพริบตา
ภายใต้แรงระเบิดจากพลังอมตะที่นับไม่ถ้วน คงร่างเทวคงกระพันของจวินห้าวเซวียนถูกโจมตีจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเละ ๆ ก้อนหนึ่ง ทว่าคงร่างเทวคงกระพันกลับไม่ได้ดับสลายสูญสิ้นไปเพราะเหตุนี้ เนื้อเละ ๆ กำลังดิ้นไปมาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นมีท่าทีที่จะฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม
ไม่นานนัก ก็มีหัวหัวหนึ่งฟื้นฟูกลับคืนมาจากก้อนเนื้อเละ ๆ ใบหน้าของจวินห้าวเซวียนดุร้าย แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าไม่มีทางสังหารข้าได้หรอก! คอยหลังจากผลการฝึกตนของเจ้าแห้งเหือด เจ้าก็ถูกลิขิตแล้วว่าต้องถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้!”
“เข้าล็อกเดิม!”
บนใบหน้าหลัวซิวไร้ความรู้สึก จู่ ๆ พลังอมตะนับหมื่นก็ผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขา แล้วกลายเป็นพลังอมตะวิชาหนึ่ง ซึ่งนี่คือตราสรรพสิทธิ์ที่ได้รับการยกระดับใหม่ ทำให้วิชาตราประทับที่สามารถวิวัฒนาการเป็นพลังอมตะนับหมื่นในตอนแรก เปลี่ยนเป็นวิชาตราประทับที่มีพลังอมตะแฝงซ่อนอยู่เพียงวิชาเดียวเท่านั้น
แม้นจะมีพลังอมตะเพียงวิชาเดียว แต่พลานุภาพของพลังอมตะนี้กลับเกะกะระรานถึงขีดสุด
“ตู้มม!”
เสียงระเบิดที่น่ากลัวดังกระหึ่ม วิชาตราประทับหนึ่งดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ร่างกายของจวินห้าวเซวียนถูกโจมตีจนระเบิดแตกเป็นหมอกเลือดโดยสมบูรณ์ ภายใต้การควบคุมจากสรรพวิถีล้วนว้าง เกณฑ์พลังเต๋าของคงร่างเทวคงกระพันก็สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง นี่จึงทำให้จวินห้าวเซวียนไม่มีโอกาสที่จะได้ฟื้นฟูร่างเนื้อให้กลับมาเป็นเหมือนเก่า
มีรัศมีเทวแย้มบานออกมาจากตัวหลัวซิว หลังจากหมอกเลือดทั้งหมดสลายหายไปในรัศมีเทวแล้ว จวินห้าวเซวียนที่เป็นตัวแทนของอัจฉริยะไร้เทียมทานก็สลายหายไปในฟ้าดินโดยสิ้นเชิง
“ท่านผู้บัญชาการ!”
ญาณมรณะทั่วทุกสารทิศจราจลขึ้นมาพร้อมกัน แม้นทั้งหมดที่อยู่ในนี้จะเป็นญาณมรณะ ทว่าจิตใจของพวกเขากลับคิดมาโดยตลอดเลยว่าตนยังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตคงอยู่เพื่อเฝ้าปกปักรักษาอยู่ข้างกายประมุขเต๋าคงกระพันตลอดกาล พวกเขาเป็นผู้ติดตามที่ซื่อตรงที่สุดของประมุขเต๋าคงกระพัน
นี่เป็นการเข่นฆ่าที่ทุกข์ยากมาก แม้นจำนวนญาณมรณะที่คงอยู่ในสถานฌาปนแห่งนี้จะมีเยอะมาก แต่กลับไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งปานจวินห้าวเซวียนอุบัติขึ้นมาอีก ถึงจำนวนจะมีมากเพียงใดก็ตาม แต่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อที่ร่วมมือกันก็พอสามารถฝืนต้านทานได้อยู่
ร่างกายของญาณมรณะแต่ละตัวถูกโจมตีจนแตกสลาย จากนั้นก็จะกลายเป็นชี่มรณะที่บริสุทธิ์เข้มข้น ทว่าไม่นานนักชี่มรณะเหล่านี้ก็จะผันเป็นญาณมรณะอีกตัวหนึ่ง ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดยังไงอย่างนั้น
หลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ค้นพบปัญหานี้อย่างรวดเร็วเช่นกัน หากต้องการสังหารญาณมรณะของที่นี่ วิธีการเพียงหนึ่งเดียวก็คือทำลายล้างชี่มรณะโดยสิ้นเชิง เนื่องจากชี่มรณะเป็นที่ฝากฝังและรากเง้าของญาณมรณะต่างหาก
เตากลั่นนภาจื่อเซียวลอยอยู่เหนือศีรษะหลัวซิว ทุกครั้งที่ฝาเตาเปิดออกหนึ่งครั้ง มันก็จะทำการดูดญาณมรณะทั้งหลายเข้าไปในเตาเซียน ถัดจากนั้นเขาก็จะโคจรเคล็ดวิชาของธรรมเวชหงฮวง ใช้วิถีไร้ลักษณ์ทำการกลั่นแปรชี่มรณะให้กลายเป็นพลังที่บริสุทธิ์เพื่อมาชุบร่างเนื้อ ยกระดับผลการฝึกตน!
ไม่นานนัก หลัวซิวก็ฟื้นฟูผลการฝึกตนที่ใช้ในการสังหารจวินห้าวเซวียนในเมื่อครู่นี้กลับมาเป็นเหมือนเก่าโดยสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าพลังที่ผันมาจากญาณมรณะเทพมารระดับเก้าหนึ่งตัวจะมีไม่มากนัก ทว่ากลับเป็นจำนวนที่เยอะมาก ภายใต้การสั่งสมจากพลังที่มากมายมหาศาล ผลการฝึกตนของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นตามจังหวะ ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่แดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง!
และหลังจากร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงจุดวิกฤตหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาอีกเลย นอกเสียจากได้รับพลังที่ระดับขั้นเหนือกว่ามาชุบร่างเนื้อ หรือได้รับโชคโอกาสอื่น ๆ ถึงจะสามารถทำให้ร่างเนื้อของเขามีการพัฒนาอีกขั้น บรรลุถึงแดนมกุฎเทพระดับเก้า
ในที่สุดหลังจากศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลง ก็ไม่มีญาณมรณะพุ่งสังหารออกมาจากส่วนลึกของสถานฌาปนอีกแล้ว สภาวะของหลัวซิวไม่เพียงไม่อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึงหอคอยนภากาศเสียอีก
ลู่ยู่จื่อมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาที่เหม่อลอย จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกที่สยดสยองผุดขึ้นมาในใจ ยังไม่ต้องพูดถึงพลังอมตะทั้งสามวิชาที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมาในเมื่อครู่นี้ทรงพลังกว่าครั้นเมื่อประมือกับเขา หลังจากผ่านศึกการต่อสู้ที่ทุกข์ยากลำบากนี้มา เขาถึงขั้นสามารถหลอมรวมธรรมสองประเภทอย่างร้างและล้นเข้าด้วยกันได้แล้ว!
การหลอมรวมธรรมดั้งเดิมสองประเภทนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความล้ำลึกหรือศักยภาพในอนาคต ล้วนอยู่เหนือธรรมดั้งเดิมประเภทเดียว
นี่จึงทำให้ลู่ยู่จื่อเข้าใจแล้วว่าหากภพชาตินี้เขาจะย่างกรายสู่แดนประมุขเต๋า เช่นนั้นหลัวซิวต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจในอนาคตของเขาแน่นอน ต่อให้ไม่พูดถึงอนาคต มาตรแม้นว่าเป็นวินาทีนี้ หากเขาจะไปเอาสิ่งของชิ้นนั้นที่ประมุขเต๋าคงกระพันทิ้งไว้ เขาจะแก่งแย่งกับเจ้าหมอนี่ได้จริง ๆ หรือ?
อย่างไรเสียศักยภาพที่หลัวซิวแสดงออกมาในเมื่อครู่นี้ก็รุนแรงมากถึงมากที่สุดเลย นี่จึงทำให้ลู่ยู่จื่อเกิดความรู้สึกประหนึ่งข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทำให้จิตใจเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น ถึงขั้นกลัวสุดขีดเล็กน้อยด้วย!
แม้นลู่ยู่จื่อจะไม่อยากยอมรับว่าเขาเกรงกลัวหลัวซิวเล็กน้อยก็ตาม แต่นี่กลับเป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้!
หลัวซิวมองลู่ยู่จื่อด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง สิ่งที่เขาสามารถยืนยันได้คือลู่ยู่จื่อต้องทราบเรื่องราวบางอย่างที่เขาไม่ทราบแน่นอน
แต่ทว่าเขาไม่ได้สอบถามแต่อย่างใด แต่เป็นการหกระเหินเดินฟ้าโดยตรง มุ่งหน้าเดินไปยังส่วนลึกของสุสานประมุขเต๋าแห่งนี้ ตกลงมีอะไรแฝงซ่อนอยู่ภายในนี้กันแน่ เขาแค่ต้องเดินไปพิสูจน์ด้วยสายตาก็จะทราบเอง
สุสานแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยชี่มรณะที่ไร้ขอบเขต ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสาน ตลอดทางก็ไม่ประสบพบเจอกับภัยอันตรายใด ๆ ด้วย บางทีประมุขเต๋าคงกระพันก็อาจคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนสามารถบุกรุกเข้ามาในสุสานของตัวเอง
อ้างอิงจากกฎเกณฑ์ของหอคอยนภากาศ ราชาเทพระดับเก้าไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถข้ามผ่านการเฝ้าปกปักรักษาของกองทัพญาณมรณะได้เลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังมีจวินห้าวเซวียนศิษย์ได้ใจของเขาปกปักรักษาอยู่ที่นี่อีกด้วย สามารถพูดได้เลยว่าผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเทพระดับเก้า ไม่มีคนใดที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่แข็งแกร่งอย่างประมุขเต๋าคงกระพันก็คำนวณผิดพลาดได้เช่นกัน และเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าภพชาตินี้จะมีตัวประหลาดอย่างหลัวซิวอุบัติขึ้นมาคนหนึ่ง อยู่เพียงแดนเทพมารระดับแปดแต่กลับแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ เก่งกาจจนทำให้ผู้คนรู้สึกสยดสยอง