มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2805 ถึงระยะเวลาที่กำหนด

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2805 ถึงระยะเวลาที่กำหนด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2805 ถึงระยะเวลาที่กำหนด

ในมุมมองของหลัวซิว ในเมื่อที่นี่เป็นสถานฌาปนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่ง เช่นนั้นมันก็ไม่มีทางมีตราประมุขเต๋าเพียงลูกเดียวแน่นอน

ตราประมุขเต๋าเท่ากับการถ่ายทอดสืบสานอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเนื้อแท้แก่นสารของมันแตกต่างจากช่องจิต

มิหนำซ้ำแม้ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งจะบาดเจ็บสาหัสแล้วดับสลายสูญสิ้น ร่างเนื้อของเขาก็จะถูกเก็บไว้แน่นอน แต่หลัวซิวค้นหาอยู่ในสถานฌาปนแห่งนี้นานมาก ๆ กลับไม่พบเบาะแสร่องรอยใด ๆ เลย

เขาลอยตัวขึ้นฟ้า ยิ่งบินยิ่งสูง ก่อนจะมองกราดลงมาจากที่สูง เพื่อเรียนรู้สำรวจสถานภาพของทั้งสุสานสถานฌาปน

ในดวงตาทั้งสองข้างของเขา มีวิถีไร้ลักษณ์กำลังวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เวลาก็ล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นกัน

“แผะ!”

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดลู่ยู่จื่อก็ทลายการขวางกั้นของชี่มรณะ แล้วยื่นมือออกไปคว้าตราประมุขเต๋ามา

เสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกับตราประมุขเต๋า ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็เหมือนหลอมละลายไปแล้วยังไงอย่างนั้น หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขา

เพียงชั่วพริบตาเดียว พลังเต๋าปริภูมิที่ลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายในตอนแรก ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก เปลี่ยนจากเกณฑ์ปริภูมิเป็นเกณฑ์ความตาย

โครมคราม……

และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไป ลู่ยู่จื่อมองไปทางต้นต่อของเสียง ก่อนจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าทึ่ง

แผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งถูกพลังอมตะโจมตีจนระเบิดแตกออก มีโลงศพเทวโลงหนึ่งที่มีออร่าเย็นยะเยือกแพร่กระจายออกมาค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากใต้แผ่นดินใหญ่ที่ถูกระเบิดออก

โลงศพเทวประมุขเต๋า!

……

“ให้ตายเถอะ!”

ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะหลังจากถูกวาร์ปส่งออกมาทำให้หลัวซิวหัวเสียจนกระอักเลือด หลัวซิวเพิ่งขุดค้นโลงศพเทวของประมุขเต๋าคงกระพันเจอ ไม่นึกเลยว่าก็สิ้นสุดระยะเวลาที่หอคอยนภากาศเปิดออกแล้ว ก่อนที่เขาจะถูกส่งออกมาภายในพริบตา

ในโลงศพเทวที่ฝังประมุขเต๋าคงกระพันมีลายเส้นพลังเต๋าที่ล้ำลึกถึงขีดสุดสุดไหลเวียนอยู่ หากให้เวลาเขาอีกนิดน้อย เขาก็ยิ่งสามารถเรียนรู้ผ่านพลังเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ด้านบน แล้วอาศัยความสามารถในด้านการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ ได้รับวรยุทธ์ที่ประมุขเต๋าคงกระพันเคยฝึก!

ตั้งแต่ได้ตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียนในตำหนักกิ่งโยงพลังเป็นต้นมา หลัวซิวก็ได้รับผลประโยชน์เยอะมาก นี่จึงทำให้เขาเกิดความคิดที่อยากได้วรยุทธ์ระดับประมุขเต๋าที่มากกว่านี้ มีเพียงการทำเช่นนี้ วิถีไร้ลักษณ์ของเขาถึงจะสามารถดูดซับความล้ำลึกได้มากยิ่งขึ้น จนวิถีไร้ลักษณ์ของเขาสมบูรณ์และพัฒนาขึ้นอีกขั้น

น่าเสียดายที่ต้องพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปต่อหน้าต่อตา นี่จึงทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจว่าระยะเวลาสามปีมันสั้นเกินไปจริง ๆ

ส่วนครั้งถัดไปที่หอคอยนภากาศจะเปิดออกนั้น ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ ถึงครานั้นเกรงว่าผลการฝึกตนของเขาคงอยู่เหนือราชาเทพระดับเก้าแล้ว

แต่เมื่อลองคิดในอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อมีสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันปรากฏในชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ ลู่ยู่จื่อก็เคยบอกเช่นกันว่าประมุขเต๋าคงกระพันเข้ามาในหอคอยนภากาศขณะที่บาดเจ็บสาหัสและใกล้จะดับสลายสูญสิ้น หรือว่าถ้าเกิดผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าแล้ว ก็จะไม่ถูกข้อจำกัดใด ๆ ผูกมัด สามารถเข้าไปในหอคอยนภากาศได้ตามอำเภอใจหรือ?

โอกาสที่การคาดคะเนนี้จะเป็นจริงนั้นสูงมาก เนื่องจากอ้างอิงจากสิ่งที่หลัวซิวทราบ อดีตเคยมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าตลอดจนผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเคยลองใช้อำนาจบุกเข้าไปในหอคอยนภากาศ แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยความล้มเหลว

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าลู่ยู่จื่อทำสำเร็จหรือไม่”หลังจากถูกส่งออกมาจากหอคอยนภากาศแล้ว สายตาของหลัวซิวก็กวาดมองทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ

ตอนแรกจำนวนคนที่เข้าไปในหอคอยนภากาศมีเยอะมาก ทว่าหลังจากเวลาล่วงเลยไปสามปี จำนวนคนที่ถูกส่งออกมากลับมีน้อยกว่าเดิมเกือบครึ่ง มีคนส่วนน้อยที่ประสบพบเจอกับภยันตรายในหอคอยนภากาศแล้วดับสลายสูญสิ้น และแท้จริงแล้วจำนวนคนที่มากกว่ากลับตายอยู่ในเงื้อมมือของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ

หลัวซิวไม่เห็นร่องรอยของเจ้าลู่ยู่จื่อนั่นในกลุ่มคน แต่จู่ ๆ กลับเห็นลู่เมิ่งเหยา เนื่องจากพื้นที่ภายในหอคอยนภากาศกว้างใหญ่มาก บวกกับต่อมาเขาก็ร่วมมือกับลู่ยู่จื่อเพื่อสำรวจชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ ดังนั้นจึงไม่เคยพบนางตลอดมา

ครั้นเมื่ออยู่ในสถานแตกสลาย เขามองเห็นนางเพียงแวบเดียว ซึ่งจุดประสงค์ที่เขาเดินทางมาโลกสวรรค์นั้น ก็มาเพื่อตามหานาง

เขาก็เคยได้ยินฮู๋ชิงชิงพูดถึงเรื่องราวของลู่เมิ่งเหยาเช่นกัน ดูเหมือนอุปนิสัยของนางจะเปลี่ยนไปจากอดีตเยอะมาก ๆ กลายเป็นศิษย์ของหอมกุฎดาบ

เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงตรงหน้าลู่เมิ่งเหยาแล้ว ทว่าใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นกลับทำให้เขารู้สึกห่างเหินแปลกหน้ามาก มาตรแม้นว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้านาง บนใบหน้านางก็ไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อลองคิดในอีกมุมหนึ่ง หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองคิดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นเพียงแวบเดียวในสถานแตกสลายหรือวินาทีนี้ เขาล้วนใช้วิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตนแล้ว การที่ลู่เมิ่งเหยาจำเขาไม่ได้นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสอบถาม “เจ้ายังจำสำนักเซียวเหยาแห่งโลกแสงดาวได้หรือไม่?”

“โอหัง!”

เสียงตวาดตำหนิหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน ถัดจากนั้นก็มีพลังออร่าที่เกะกะระรานอย่างยิ่งระเบิดออกมา ทำให้หลัวซิวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกกระทบจนก้าวถอยหลังกลับไปหลายก้าว

ในขณะเดียวกัน บัดนี้หลัวซิวถึงจะสังเกตเห็นว่ามีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายลู่เมิ่งเหยา เมื่อครู่ก็เป็นหญิงวัยกลางคนคนนี้นี่แหละที่ใช้พลังอำนาจบีบให้เขาถดถอย ซึ่งเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้

“ข้าเป็นสหายเก่าของนาง”หลัวซิวมองไปทางหญิงวัยกลางคนพลางอธิบาย

หญิงวัยกลางคนทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง แล้วมองไปทางลู่เมิ่งเหยา แต่กลับเห็นลู่เมิ่งเหยาส่ายหน้าอย่างเย็นชา “ข้าไม่รู้จักเขา”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น บัดนี้เขาไม่ใช่ร่างจริง ลู่เมิ่งเหยาย่อมไม่มีทางจำเขาได้อยู่แล้ว

“เช่นนั้นข้าก็คงจำผิดคนแล้วล่ะ”

หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ ไม่มีความคิดที่จะพัวพันอยู่ที่นี่ต่อ มิเช่นนั้นตัวตนของเขาก็อาจถูกเปิดเผยได้ง่ายมาก

หญิงวัยกำลังคนนั่นก็ไม่ได้ไต่ถามในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะบนชุดคลุมยาวดำของหลัวซิวมีสัญลักษณ์ของตำหนักปีศาจนภา แม้นหอมกุฎดาบจักแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับตำหนักปีศาจนภาง่าย ๆ เช่นกัน

“ท่านชาย……”

ในขณะที่หลัวซิวเดินกลับมาอยู่นั้น ฮู๋ชิงชิงก็เดินตรงเข้ามาแล้ว หลัวซิวบอกใบ้ให้นางว่าอย่าพูดมาก ทั้งสองยืนด้วยกันพลางรอคอยอยู่อย่างเงียบ ๆ

หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่ง ก็ไม่มีคนถูกส่งออกมาจากหอคอยนภากาศอีกแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่ถูกส่งออกมานั้น นอกเสียจากมีสาเหตุที่พิเศษมาก ๆ เช่นนั้นโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว

เนื่องจากตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ขอแค่จอมยุทธ์ที่เข้าไปฝึกฝนในหอคอยนภากาศไม่ถูกส่งออกมา ก็ไม่เคยมีคนใดออกมาได้อีกเลย

“นักพรตชิงชานไม่ออกมาอย่างนั้นหรือ!”

มีเสียงอุทานดังมาจากกลุ่มจอมยุทธ์แห่งวังชิงเทียน หลัวซิวและคนอื่น ๆ ต่างมองไปทางต้นตอของเสียง

คนของวังชิงเทียนที่ถูกส่งออกมามีไม่น้อย อย่างไรเสียศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนที่ถูกวังชิงเทียนคัดเลือกล้วนแข็งแกร่งมาก ส่วนนักพรตชิงชานยิ่งเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์แห่งวังชิงเทียน คนส่วนมากที่มีศักยภาพอ่อนกว่าเขาล้วนถูกส่งออกมาหมดแล้ว

คนส่วนมากล้วนนิ่งเงียบ เวลานี้ไม่มีคนใดพูดคำพูดประชดประชันเพื่อกระตุ้นพวกคนในวังชิงเทียน อย่างไรเสียสามารถพูดได้เลยว่านักพรตชิงชานเป็นอัจฉริยะเด็กรุ่นใหม่ที่วังชิงเทียนให้ความสำคัญมาก การที่มีอัจฉริยะเช่นนี้ดับสลายสูญสิ้นนั้น ถือเป็นความสูญเสียที่ไม่ธรรมดาต่อวังชิงเทียน

หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง จอมยุทธ์จำนวนมากที่ถูกส่งออกมาจากหอคอยนภากาศก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคัก ส่วนหลัวซิวกลับสัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งหลายดวงกำลังแผ่สำรวจหมู่คน ซึ่งเจ้าของตัวสำนึกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไม่ต่ำกว่ามกุฎเทพระดับเก้า

ถึงแม้ศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิวสามารถสังหารราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงได้อย่างง่ายดายก็ตาม แต่ถ้าเกิดได้ปะทะกับมกุฎเทพระดับเก้า กลับไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย ดังนั้นเขาจึงอำพรางพลังออร่าของตัวเองได้ระมัดระวังมาก ๆ

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สังเกตเห็นตัวสำนึกหนึ่งที่ค่อนข้างอ่อนแอ เขาจึงรีบใช้กระแสสัมผัสพุ่งตรงไป ก่อนจะพบว่าผู้ที่สอดแนมเขาคือลู่ยู่จื่อ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลู่ยู่จื่อ ณ วินาทีนี้ใช้อุบายอะไรเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่าของตัวเอง แต่กลับหนีกระแสสัมผัสของตัวสำนึกที่ได้รับการปลุกเสกโดยพลังญาณเทวไม่พ้นอยู่ดี

เสี้ยววินาทีที่ตัวสำนึกของทั้งสองคนประสานงากัน ทั้งสองก็เบี่ยงเบนหนีทันที ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สื่อสารกันโดยรู้สถานการณ์ดีมาก ๆ และไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ลู่ยู่จื่อทราบตัวตนของหลัวซิว แต่นักพรตชิงชานดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ต่อให้เปิดโปงตัวตนของเขาตอนนี้ วังชิงเทียนก็ใช่ว่าจะสงสัยว่าข่าวการตายของนักพรตชิงชานมีความเกี่ยวข้องกับตนเสมอไป

แต่ถ้าเกิดลู่ยู่จื่อเปิดโปงจริง ๆ ละก็ เช่นนั้นมันต้องนำปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดมาสู่เขาแน่นอน ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้

ทว่าหลัวซิวกลับมั่นใจมากว่าลู่ยู่จื่อจะไม่ทำเช่นนั้น ถ้าเกิดลู่ยู่จื่อกล้าทำเช่นนั้นจริง ๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะบอกเรื่องราวของตราประมุขเต๋าออกมาเช่นกัน

ต่อให้ภูมิหลังเมื่อชาติปางก่อนของลู่ยู่จื่อจะใหญ่โตมากเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วภพชาตินี้เขาก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยตัวหนึ่งที่แม้แต่แดนเทพมารระดับเก้ายังบรรลุไม่ถึง หากข่าวคราวของตราประมุขเต๋าแพร่งพรายออกไป ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ผู้สูงส่งตลอดจนผู้แกร่งเลิศที่คงอยู่ในโลกปัจจุบันหวั่นไหวได้แล้ว

ลู่ยู่จื่อย่อมเข้าใจในจุดนี้ดีมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงดึงตัวสำนึกกลับไปอย่างรู้สถานการณ์มาก แล้วมองหลัวซิวด้วยสายตาที่รู้สึกผิด

ส่วนสำคัญถัดไปต้องเป็นอันดับของหินนภาพลังเต๋าอยู่แล้ว มีผู้คุมกฎมกุฎเทพคนหนึ่งของวังชิงเทียนเดินออกมา ประกาศกฎอันดับการฝึกฝนในหอคอยนภากาศในครั้งนี้

อ้างอิงจากกฎเกณฑ์ สิบอันดับที่ส่งมอบหินนภาพลังเต๋าให้แก่วังชิงเทียนมากที่สุด จะได้รับโอกาสในการเข้าไปฝึกตนในสถานแหล่งเต๋าโดยตรง

และถ้าเกิดอันดับของเจ้าไม่ได้อยู่หนึ่งในสิบ เช่นนั้นหากเจ้าสามารถส่งมอบหินนภาพลังเต๋า 20 ก้อนให้วังชิงเทียน ก็สามารถใช้วิธีการท้าประลอง เพื่อช่วงชิงโอกาสในการเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าได้เช่นกัน

หลัวซิวทราบมูลค่าที่แท้จริงของหินนภาพลังเต๋าแล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางส่งมอบทั้งหมดให้วังชิงเทียนอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำหินนภาพลังเต๋าออกมาแค่ 20 ก้อน เพื่อแลกกับโควต้าในการเข้าร่วมการท้าประลอง

คนจำนวนมากล้วนได้รับดอกผลในหอคอยนภากาศน้อยมาก ส่วนใหญ่แค่หินนภาพลังเต๋า 20 ก้อนยังรวบรวมไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้มูลค่าของหินนภาพลังเต๋าที่อยู่ในหมู่จอมยุทธ์จำนวนมากจึงพุ่งสูงขึ้นมาทันที

คนบางส่วนที่มีจำนวนหินนภาพลังเต๋าไม่ถึง 20 ก้อน ก็จะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมให้ครบ 20 ก้อน และมีคนบางส่วนที่อยากอยู่ในอันดับหนึ่งในสิบ ก็จะใช้การซื้อขายเพื่อแลกกับหินนภาพลังเต๋าของผู้อื่นเช่นกัน ทำให้โอกาสที่ตนจะได้เข้าอันดับหนึ่งในสิบเพิ่มมากยิ่งขึ้น

วังนภาสิบสองและกองกำลังทั้งหลายไม่ได้ห้ามปรามและจำกัดพฤติกรรมอย่างการซื้อขายส่วนตัว เนื่องจากไม่ว่าผู้น้อยจักซื้อขายอย่างไร สุดท้ายหินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาอยู่ดี

เพราะสำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปแล้ว มูลค่าของหินนภาพลังเต๋าก็แค่มีประสิทธิผลในการฝึกตนที่ดีกว่ากรองแก้วโลหิตเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าเกิดนำหินนภาพลังเต๋าไปแลกเปลี่ยนที่จุดสำนักงานของวังนภาสิบสองละก็ จักสามารถแลกกับทรัพยากรการฝึกตนที่มีมูลค่าสูงกว่า

เมื่อเปรียบเทียบกับการแก่งแย่งอันดับหนึ่งในสิบแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนเลือกที่จะเข้าร่วมการท้าประลอง อย่างไรเสียขอแค่ทุ่มเทแรงใจเล็กน้อย การที่จะรวบรวมหินนภาพลังเต๋าให้ครบ 20 ก้อนนั้น มันไม่ใช่ปัญหาอะไร

ครั้นเมื่อแยกจากกับฮู๋ชิงชิง หลัวซิวก็ช่วยนางรวบรวมหินนภาพลังเต๋าจนครบ 20 ก้อนตั้งนานแล้ว เดิมทีคิดว่าขอแค่ส่งมอบหินนภาพลังเต๋า 20 ก้อนก็ได้รับโควต้าในการเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าการส่งมอบ 20 ก้อนแค่สามารถแลกได้กับโควต้าในการท้าประลองเท่านั้น

“ข้าสามารถเอาหินนภาพลังเต๋าที่เพียงพอให้เจ้า ทำให้เจ้าเข้าหนึ่งในสิบ”หลัวซิวครุ่นดิดก่อนจะพูด

อย่างไรก็ตามฮู๋ชิงชิงกลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเขาโดยตรง เห็นเพียงนางยิ้มหวานแล้วพูด: “ท่านชายอย่าได้ดูถูกข้าเชียวนะ แม้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วศักยภาพของข้าจะแตกต่างจากท่านชายไม่น้อย แต่ถ้าเกิดแค่ช่วงชิงหนึ่งโควต้าละก็ ผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้านั้นมีไม่มากจริง ๆ”

มีราศีที่คึกคักมั่นใจปรากฏบนใบหน้าที่เรียวบางของฮู๋ชิงชิง มาตรแม้นว่าเนื่องจากใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปแล้ว แต่ความรู้สึกเมื่อนางยิ้มก็ยังคงทำให้คนมองรู้สึกชื่นบาน ถูกตาสบายใจอยู่เช่นเคย

หลัวซิวยิ้มพลางพยักหน้า ศักยภาพของฮู๋ชิงชิงต้องแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าช่วงปลายบวกกับประสบการณ์ของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเมื่อชาติปางก่อน คู่ต่อสู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาเทพระดับเก้าแล้วเป็นคู่ต่อสู้ของนางมีไม่มากจริง ๆ

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท