มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2812 แก่งแย่งภูเขาที่หนึ่ง
“ภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งเป็นของข้า”
ขณะที่ยังไม่สิ้นเสียงสิงซา ก็มีคนอีกคนหนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา ซึ่งคนดังกล่าวก็คือซางเซี่ยที่ถูกหลัวซิวสันนิษฐานว่าเป็นเมิ่งเชียนชาง
“ใช่ว่าทุกคนจะสามารถครอบครองภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งได้เสมอไป ผู้ใดอยากครอบครองก็ต้องดูก่อนว่าผู้ใดมีศักยภาพที่แข็งแกร่งมากกว่า!”
มีคนอีกคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น คนดังกล่าวสวมใส่ชุดคลุมยาวสีทอง ทว่ากลับเป็นสตรีนางหนึ่ง ชุดคลุมยาวทองที่ใหญ่โล่งได้ห่อหุ้มเรือนร่างที่งดงามไว้ มีรัศมีเยือกเย็นที่รวดเร็วและดุดันแพร่กระจายออกมาจากดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้น ราวกับกระบี่เทพสีทองสองเล่ม
สตรีนางนี้มีนามว่าโยว่เซียงเอ๋อร์ ซึ่งเป็นศิษย์แห่งตำหนักเวหา ชื่อนางฟังดูเหมือนสตรีที่อ่อนโยนคนหนึ่ง แต่ลักษณะท่าทีกลับแข็งกร้าวอย่างยิ่ง
ใช่ว่าศิษย์แห่งวังนภาสิบสองจะเป็นเผ่าฟ้าทั้งหมดเสมอไป แต่ถ้าเกิดเป็นศิษย์ที่ถูกรับมาจากกองกำลังภายนอก เช่นนั้นศิษย์เหล่านั้นล้วนแต่จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ
เมื่อโยว่เซียงเอ๋อร์พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา อีกทั้งแสดงลักษณะท่าทีเช่นนี้ จึงเป็นการจะแย่งชิงภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
“เช่นนั้นข้าขอเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่สองก็แล้วกัน”ศิษย์คนหนึ่งของวังชิงเทียนเดินออกมา คนดังกล่าวมีนามว่านักพนตชิงหมาง เครื่องแต่งกายล้วนเหมือนดั่งนักพรตชิงชานทุกประการ ซึ่งเคยเป็นศิษย์พี่ของนักพรตชิงชาน
สาเหตุที่ชื่อเสียงของนักพรตชิงชานโด่งดังนั้น เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาได้รับความสนใจจากระดับสูงของวังชิงเทียน แต่ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของเขาจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ แม้นนักพนตชิงหมางนี่จักไม่ได้รับความสนใจมากเท่านักพรตชิงชาน แต่รากฐานของเขากลับหนักแน่นอย่างยิ่ง อย่าริอ่านดูถูกศักยภาพของเขาเชียว
ผลการฝึกตนของนักพนตชิงหมางก็เป็นเทพมารระดับเก้าช่วงปลายเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้เลือกที่จะแก่งแย่งแข่งขันกับสิงซา จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเขาก็น่าจะรู้ตัวดีเช่นกันว่าอัตราชนะของตนไม่สูง
แม้นชื่อเสียงของนักพนตชิงหมางจะไม่ได้โด่งดังมากนัก แต่กลับไม่มีผู้ใดแก่งแย่งกับเขา เนื่องจากในบรรดาผู้คนทั้งหมด ผู้ที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ต่างคนต่างเข้าใจผลการฝึกตนศักยภาพของแต่ละคนอยู่
“ข้าเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่สี่!”ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา ซึ่งมีนามว่าเหยียนเหอ และเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในอันดับหนึ่งในสิบของการประลองยุทธ์ในก่อนหน้านี้
ผลการฝึกตนของเหยียนเหอนี่คือเทพมารระดับเก้าช่วงกลาง จากผลการฝึกตนระดับนี้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกหนึ่งในห้าของภูเขาแหล่งเต๋าเลยด้วยซ้ำ แต่เขาดันเลือกเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอยากทุ่มสุดกำลังสามารถดูสักตั้ง
“ข้าก็จะเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่สี่เช่นกัน!”ฮู๋ชิงชิงเอ่ยปากพูดกะทันหัน จึงทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง
“เจ้าสามารถเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่สองได้นะ”หลัวซิวพูด
คนอื่นที่เหลือล้วนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลัวซิวจึงพูดเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อผู้คนสังเกตเห็นว่าผลการฝึกตนของฮู๋ชิงชิงคือเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย จึงไม่มีผู้ใดพูดจาเหน็บแนมอะไร เนื่องจากผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าช่วงปลายมีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงภูเขาแหล่งเต๋าที่สองได้จริง ๆ
ผู้อื่นไม่ทราบ แต่ฮู๋ชิงชิงกลับทราบอยู่ว่าหากมีการช่วยเหลือจากหลัวซิว การที่นางจะยึดครองภูเขาแหล่งเต๋าที่สองนั้นต้องไม่ใช่ปัญหาอะไรแน่นอน
“ข้าจักพึ่งพาท่านชายไปสักทุกเรื่องไม่ได้ ข้ามีการขัดเกลาของตัวข้าเอง มีเพียงข้ามผ่านการขัดเกลา ข้าถึงจะสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้ และมีเพียงเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว ข้าถึงจะสามารถไล่ตามรอยเท้าของท่านชายได้นะเจ้าคะ……”ฮู๋ชิงชิงยิ้มหวาน รอยยิ้มที่งามจนเมืองล่มนี้ ทำเอาจิตใจผู้คนสั่นไหวไปเลย
หลัวซิวก็ยิ้มเช่นกัน เพราะเขารู้สึกว่าฮู๋ชิงชิงพูดถูก ถึงแม้เขาจะสามารถลงมือช่วยนางแก่งแย่งภูเขาแหล่งเต๋าที่สองได้จริง ๆ แต่ความประสงค์ดีนี้ไม่ได้ดีต่อฮู๋ชิงชิงเสมอไป หากพึ่งพาผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย มันก็จะทำให้ตัวนางขาดแคลนการขัดเกลาและการต่อสู้ที่ควรมี
ส่วนคำพูดช่วงท้ายของฮู๋ชิงชิงนั้น หลัวซิวก็ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นในใจ เขาค้นพบว่าชาตินี้ของตัวเองเหมือนจะไม่ค่อยแตกต่างอะไรจากอดีตชาติมากเท่าไหร่นัก นี่ข้ามีมนต์เสน่ห์อะไรกันแน่เนี่ย ไยจึงมีสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่ดีเลิศตกหลุมรักข้ามากมายเช่นนี้?
มาตรแม้นว่าความคิดประเภทนี้จะดูหลงตัวเองไปหน่อยก็ตาม แต่หลัวซิวกลับปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือความจริง
สำหรับเรื่องนี้เขาไม่ได้ตอบโต้โดยตรง เพราะเขาก็ตอบโต้อะไรไม่ได้เช่นกัน เรื่องของความรู้สึกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากเกินไป ทั้งหมดก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพสันนิวาสแล้วล่ะ
ถัดจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันตัดสินใจด้วย ส่วนการตัดสินใจของหลัวซิวก็เด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาโดยตลอด เพราะเขาจะเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งอย่างไม่ลังเลใจเลยล่ะ
ถ้าจะเลือก ก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด!
เมื่อเห็นหลัวซิวหกระเหินเดินฟ้ามุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง คนจำนวนมากล้วนมึนงงไปหมดเลย เพราะคลื่นผลการฝึกตนที่แผ่กระจายออกมาจากตัวชายชุดคลุมยาวดำนั่นเป็นเพียงเทพมารระดับแปดช่วงปลายเท่านั้น!
เป็นมดตัวจ้อยตัวหนึ่งที่แม้แต่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิยังบรรลุไม่ถึง ก็บังอาจคิดที่จะยึดครองภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งอย่างนั้นรึ? นี่มันเป็นการรนหาที่ตายอยู่มิใช่หรือ?
“มึงเก่งมากเลยนี่ ไม่นึกเลยว่าจะกล้าเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายคือมึงจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่ 33”
จู่ ๆ ก็มีเสียงที่แหบแห้งลอยมาจากด้านหลัง ต่อมาก็มีม่านฟ้าสีดำแผ่คลุมไปทางหลัวซิว ม่านดำนั่นมีความสามารถในการกัดกร่อนที่รุนแรงมาก ซึ่งเป็นอุบายเดียวกับจอมเทพทมิฬทุกประการเลย
“จำไว้ด้วยล่ะ ผู้ที่สังหารมึงคือเซียนตะปูกาฬ!”
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอุบายของเซียนตะปูกาฬนี่ทรงพลังกว่าจอมเทพทมิฬเมื่อตอนนั้นมาก เสี้ยววินาทีที่ม่านดำแผ่คลุมเข้ามา ก็มีตะปูเซียนสีดำ 36 ดอกบินออกมาจากแขนเสื้อคลุมยาวของเขา
“น่ารำคาญชะมัด!”
หลัวซิวตะคอกอย่างเยือกเย็น หันหลังกลับไปกะทันหัน และ ณ เสี้ยววินาทีที่เขาหันหลังกลับไป กระบี่ร่องฟ้าที่ถูกห่อหุ้มอำพรางออร่าโดยรัศมีเทวก็เฉือนสับออกไป
เพียงกระบี่เดียว ม่านฟ้าสีดำมืดก็ถูกฉีกกระชากแล้ว ถัดจากนั้นก็มีรัศมีที่แวววาวจับตาอย่างยิ่งแย้มบานออกมาจากแสงกระบี่ แล้วปลดปล่อยพลังเกณฑ์สว่างออกมา
นี่คือปราณกระบี่สว่างหนึ่งเล่ม แพรวพรายดังเสา ทิ่มแทงไปทางเซียนตะปูกาฬอย่างดุดันและแข็งกร้าว
“มึง! ……”
สีหน้าของเซียนตะปูกาฬที่ยังมั่นใจในตอนแรกเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าศักยภาพที่คนดังกล่าวปลดปล่อยออกมา ณ วินาทีนี้ แข็งแกร่งกว่าครั้นเมื่อเขาสังหารจอมเทพทมิฬอยู่บนเวทีประลองยุทธ์หลายเท่าตัวเลย
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าแม้แต่ตอนที่อยู่ในการแข่งขันประลองยุทธ์ช่วงชิงโควต้าสถานแหล่งเต๋า เจ้าหมอนี่ก็ปิดบังศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเช่นกัน!
เมื่อเข้าใจในจุดนี้ เซียนตะปูกาฬก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ก่อนจะหลบหนีออกไปอย่างไม่ลังเลใจ พลางใช้มือประสานอินทำให้ตะปูเซียนทั้ง 36 ดอกที่ตัวเองปล่อยออกไประเบิด เพื่อให้ตัวเองมีเวลาหลบหนี
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
ตะปูเซียนทั้ง 36 ดอกระเบิดแตกภายในพริบตา รัศมีสีดำนับหมื่นดวงระเบิดแตก แล้วผนึกรวมกันเป็นคลื่นสีดำม้วนซัดไปทางหลัวซิวอย่างดุดัน
ตะปูเซียนทุกดอกล้วนเป็นอาวุธเทพระดับเก้า ตะปูเซียน 36 ดอก พลังนั่นเท่ากับอาวุธเทพระดับเก้า 36 ชิ้นระเบิดพร้อมกันเชียวนะ แม้พลานุภาพของของขลังอย่างตะปูเซียนจะไม่ค่อยมากเพราะวัตถุดิบที่ใช้ไม่เยอะ แต่ถ้าเกิดทั้ง 36 ชิ้นระเบิดพร้อมกัน พลานุภาพของมันก็น่าสยดสยองมากแล้ว
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……”
ปราณกระบี่สว่างพุ่งชนเข้ากับคลื่นพลังสีดำที่เกิดจากการระเบิดของตะปูเซียน เมื่อสว่างและความมืดที่มีคุณสมบัติคนละขั้วพุ่งชนเข้าด้วยกัน จึงก่อให้เกิดเสียงที่ดังสนั่นหูดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายปราณกระบี่สว่างก็สลายหายไปในคลื่นพลังสีดำ
เมื่อเห็นว่าปราณกระบี่สว่างถูกทำลายล้าง เซียนตะปูกาฬที่คิดจะหลบหนีในตอนแรกก็กระตุ้นคลื่นพลังสีดำอย่างไม่ลังเลใจ ม้วนซัดไปทางหลัวซิวต่อ
สำหรับเซียนตะปูกาฬแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมากเกินไป เช่นนั้นเมื่อเขาระเบิดตะปูเซียน 36 ดอก ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ตัวเองมีโอกาสในการหลบหนีแล้ว แต่ถ้าเกิดฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถทำให้ตัวเองหลบหนีได้ เช่นนั้นเมื่ออาศัยพลานุภาพจากตะปูเซียน 36 ดอกที่ระเบิดแตก ไม่แน่เขาก็อาจจะสามารถย้อนสังหารคู่ต่อสู้ได้!
มีเพียงผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าเท่านั้นที่สามารถต้านทานพลังโจมตีประเภทนี้ได้ ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้นำมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ที่อยู่บนตัวเขาสว่างขึ้น ก่อนจะมีภาพค่ายรัศมีดาราปรากฏใต้เท้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าร่างกายของเขาได้รับการปลุกเสกโดยยันต์ค่ายราชาเทพระดับเก้า 99 ยันต์!
ร่างเขาจมหายเข้าไปในคลื่นพลังสีดำภายในพริบตา ทันทีที่มีรอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าเซียนตะปูกาฬ ก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากคลื่นพลังสีดำกะทันหัน และมาถึงตรงหน้าเขาภายในพริบตา
จิตสังหารที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตได้ผนึกตัวเองเอาไว้ อีกทั้งจิตสำนึกดังกล่าวยิ่งแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ตัวหยั่งรู้ ทำให้ช่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาสั่นเทาไปด้วย!
วินาทีนี้เซียนตะปูกาฬสัมผัสได้ถึงความตายที่มาเยือน เขาประเมินความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของคู่ต่อสู้คนนี้ผิดพลาดไปโดยสิ้นเชิงเลย!
“อย่าฆ่าข้า……”เซียนตะปูกาฬอ้าปาก แต่วินาทีต่อไปคอของเขาก็ถูกมือข้างหนึ่งบีบ
เปลวไฟที่ร้อนผ่าวแผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือหลัวซิว แล้วลุกลามไปทั่วทั้งร่างกายเซียนตะปูกาฬ อีกทั้งเปลวไฟเหล่านี้ไม่ใช่อัคคีเทพเกณฑ์ธาตุไฟธรรมดาเท่านั้น ภายในยังมีธาตุของเกณฑ์สว่างหลอมรวมอยู่ด้วย ทำให้เซียนตะปูกาฬพูดอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทำได้เพียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนารัว ๆ
ซึ่งนี่ก็คือการสยบด้วยพลังอันแข็งแกร่ง เซียนตะปูกาฬแค่ดิ้นรนไม่กี่ครั้ง ร่างกายเขาก็ถูกเปลวไฟสว่างแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าธุลี
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นการสังหารคู่ต่อสู้ได้แล้ว เขาจำได้ตลอดมาว่าครั้นเมื่อต่อสู้กับจอมเทพทมิฬ เขาก็รู้แล้วว่าคนในสำนักดำทมิฬน่าจะเชี่ยวชาญพลังอมตะเคล็ดวิชาวิญญาณบางอย่าง
“ชิ่ว!”
มีแสงมืดดวงหนึ่งปรากฏราวกับไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่ของแสงมืดดวงดังกล่าวยังรวดเร็วมากด้วย พุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของหลัวซิว แล้วหายไปภายในพริบตา
ในมุมมองของทุกคนล้วนคิดว่าหลัวซิวตอบสนองกลับมาไม่ทัน แต่แท้จริงแล้วหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะหลบหลีกเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะสามารถอาศัยพลังตัวสำนึกโจมตีตัวหยั่งรู้ของเขาได้เสมอไป แล้วจะนับประสาอะไรกับเทพมารระดับเก้าเล็ก ๆ คนหนึ่งเล่า?
แสงมืดดังกล่าวผันมาจากช่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเซียนตะปูกาฬ แสงมืดดวงนั้นที่บินเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว ก็เหมือนโยนก้อนหินก้อนหนึ่งลงไปในทะเล ไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นใด ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งนี้ทำให้ผู้คนล้วนตกตะลึงพรึงเพริดอย่างอดไม่ได้ ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่การที่สามารถบรรลุขึ้นมาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขาได้นั้น อันที่จริงช่วงระยะความต่างของทุกคนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
คนล้วนเป็นอัจฉริยะ วรยุทธ์และพลังอมตะที่ฝึกก็ล้วนเป็นวรยุทธ์ชั้นยอดด้วย เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ไม่นึกเลยว่าเทพมารระดับแปดช่วงปลายคนหนึ่งจะสามารถข้ามขั้นสังหารเทพมารระดับเก้าได้อย่างนั้นหรือ?
มิหนำซ้ำเซียนตะปูกาฬนั่นยังไม่ใช่เทพมารระดับเก้าทั่วไปด้วย ศักยภาพของเขาสามารถถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกันกับศิษย์ผู้สืบทอดแห่งวังนภาสิบสองได้อย่างแน่นอน
คนจำนวนไม่น้อยจึงอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงภาพฉากที่เจ้าเหวิ้นเต้านั่นแสดงออกมาครั้นเมื่ออยู่บนเวทีประลองยุทธ์ ขอแค่ลองนึกย้อนกลับไปเล็กน้อย ก็จะรู้ได้แล้วว่าคนดังกล่าวต้องปิดบังศักยภาพแน่นอน
อีกทั้งสำหรับเรื่องที่คนดังกล่าวปิดบังศักยภาพนั้น เขาได้เปิดเผยออกมาตั้งแต่ตอนที่ทลายค่ายอัคคีน้ำแข็งสี่ด้านแล้ว แต่ทว่าต่อมาเนื่องจากการลงมือของบรรพจารย์จูโหวและผู้แข็งแกร่งลึกลับ จึงส่งผลให้คนจำนวนมากมองข้ามจุดนี้ไป
ศักยภาพฝีมือของศิษย์สนิทของบรรพจารย์จูโหวอยู่อันดับต้น ๆ ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่แน่นอน คนดังกล่าวสามารถทลายค่ายอัคคีน้ำแข็งสี่ด้าน อีกทั้งยังสามารถย้อนสังหารคู่ต่อสู้อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นได้ด้วย ศักยภาพเช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าราชาเทพระดับเก้าช่วงปลายแล้ว