มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2814 กงล้อเทพไร้ลักษณ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2814 กงล้อเทพไร้ลักษณ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2814 กงล้อเทพไร้ลักษณ์

“น้องสาวเอ๊ย เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาเช่นนี้เล่า? ทั้ง ๆ ที่ข้าดีเลิศกว่าไท่ซ่างฉิง เหตุใดเมื่อปีนั้นเจ้าและคนอื่น ๆ ล้วนเลือกที่จะติดตามไท่ซ่างฉิง แล้วห่างไกลจากข้า?”

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เมิ่งเชียนชางก็จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก ในขณะเดียวกันความโกรธแค้นที่มีต่อไท่ซ่างฉิงก็เข้มข้นมากยิ่งขึ้นด้วย

หลังจากกลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสาร ไท่ซ่างฉิงก็หลุดพ้นจากการควบคุมของตัวเองตั้งนานแล้ว ตอนแรกเริ่มเขาไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจแต่อย่างใด ทว่าเมื่อได้พบเจอไท่ซ่างฉิงในโลกร้างอีกครั้ง เขากลับพบว่าไท่ซ่างฉิงเติบโตถึงขั้นที่ใกล้จะอยู่เหนือขอบเขตที่ตนสามารถควบคุมได้แล้ว

ส่วนในสถานแหล่งเต๋าในครั้งนี้ เขาก็ได้พบกับไท่ซ่างฉิงอีกครั้ง ซึ่งศักยภาพของเจ้าหมอนั่นสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวเองได้แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้คือศักยภาพสูสีกัน แต่ผลการฝึกตนของหลัวซิวกลับต่ำกว่าเขาหนึ่งแดนใหญ่เลย!

นี่หมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าอนาคตเมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน เขาต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไท่ซ่างฉิงแน่นอน! ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เมิ่งเชียนชางไม่สามารถยอมรับได้ และยอมรับไม่ได้ด้วย!

“เหวิ้นเต้าน่าจะไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้าสินะ? จากศักยภาพของเจ้า ไม่มีทางเป็นผู้ต่ำต้อยที่ไร้ชื่อเสียงแน่นอน ตกลงเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”สายตาของสิงซาเพ่งมองไปทางหลัวซิวพลางถาม

“ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญแต่อย่างใด หากเจ้ายังคิดที่จะสู้อีกก็สู้ต่อได้เลย หากไม่อยากสู้ก็หลีกไปซะ”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เจ้าอย่าได้จองหองมากนัก!”สิงซาตะคอกอย่างเยือกเย็น “แม้นข้าจะยอมรับว่าศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่งมาก ทว่าจากผลการฝึกตนเทพมารระดับแปด ศักยภาพระดับนี้คงเป็นขีดจำกัดของเจ้าแล้วสินะ? ใช่ว่าข้าจักไม่มีอุบายในการสังหารเจ้านะ!”

“โอ๊ะ? เจ้ามีอุบายอะไรก็ปลดปล่อยออกมาให้เต็มที่เถอะ”หลัวซิวไม่เก็บมาใส่ใจ

แม้ศักยภาพของสิงซานี่จะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่เจ้าหมอนี่กลับบอกว่ามีอุบายที่สามารถสังหารตนได้ละก็ หลัวซิวกลับรู้สึกดูหมิ่นมาก

ความดูหมิ่นนี้ไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นความมั่นใจที่มาจากตนเอง สิงซาคิดเองเออเองว่ามีอุบายไพ่เด็ดที่ทรงพลัง แล้วหลัวซิวเขาไม่มีหรือ?

ไม่ว่าจะเป็นศิลาเทวชิงเทียนหรือฮู้เทวชิงเทียน เขาก็ยังไม่ได้งัดออกมาเลย ยิ่งกว่านั้นคือเขายังไม่ได้ปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดที่เขาริเริ่มเช่นกัน

“ในเมื่อเจ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าก็จักทำให้เจ้าได้สมความปรารถนาเอง!”

สิงซาตะคอกเสียงดังลั่นประโยคหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวพลังออร่ารอบกายก็พุ่งสูงขึ้นด้วยระดับความเร็วที่บ้าคลั่งอย่างยิ่ง อัสนีเทวทัณฑ์สวรรค์สีม่วงทั้งหลายปรากฏบนตัวเขา อีกทั้งอัสนีเทวเหล่านี้ผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง และมีออร่าที่น่ากลัวยิ่งกว่าแพร่กระจายออกมา

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังออร่าที่พุ่งขึ้นอย่างบ้าระห่ำของสิงซา หลัวซิวยังคงสุขุมอยู่เช่นเคย สีหน้าอารมณ์เรียบนิ่งมาโดยตลอด ไม่ว่าสิงซาจะปลดปล่อยอุบายพลังอมตะที่ทรงพลังมากเพียงใดออกมา หลัวซิวก็มั่นใจว่าตนสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นฮู้เทวชิงเทียนหรือเตากลั่นนภาจื่อเซียว เกราะป้องกันของสองสิ่งนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เทพมารระดับเก้าช่วงปลายที่ยังผนึกรวมกงล้อเทพออกมาไม่ได้สามารถทลายได้

เมื่อเห็นสีหน้าที่เย็นชาของหลัวซิว สิงซาก็โกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม ทว่ายิ่งโกรธเกรี้ยวมากเท่าไหร่ สิงซากลับยิ่งใจเย็นลงมากเท่านั้น จู่ ๆ จิตใจก็เข้มงวดขึ้นมา!

ซึ่งความเข้มงวดประเภทนี้เป็นสัญชาตญาณที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ สัญชาตญาณประเภทนี้บอกกับเขาว่า แม้เขาจะทุ่มสุดกำลังสามารถปลดปล่อยพลังอมตะวิชานั้นออกมา ก็ไม่สามารถโค่นล้มชายที่อยู่ตรงหน้านี้ได้แน่นอน

แม้นสิงซาจะไม่อยากเชื่อสัญชาตญาณนี้ก็ตาม แต่เขากลับไม่กล้าลองพนันดูสักตั้ง เพราะต่อให้เขาทุ่มสุดกำลังสามารถโค่นล้มชายคนนี้ได้แล้ว ทันทีที่ตัวเองบาดเจ็บสาหัสหรือสูญเสียผลการฝึกตนมากเกินไปละก็ ภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งนี่ก็ไม่มีทางตกเป็นของตัวเองแน่นอน ในทางตรงกันข้ามกลับจะถูกผู้ที่รอฉกฉวยโอกาสแย่งชิงไป!

สิงซาย่อมไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นได้เปรียบเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงสละสิทธิ์ไม่เอาภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง

“ข้าสามารถยกภูเขาแหล่งเต๋าลูกนี้ให้เจ้าได้อยู่ แต่ทว่าหลังจากออกไปจากสถานแหล่งเต๋าแล้ว ทางที่ดีเจ้าอย่าได้พบเจอข้าจะดีกว่านะ!”

สิงซาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็บินตรงไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่สอง ภูเขาแหล่งเต๋าที่สอง ณ วินาทีนี้ถูกยึดครองโดยเมิ่งเชียนชาง

หลัวซิวต้องฟังความหมายแฝงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของสิงซาออกอยู่แล้ว สิงซา ณ วินาทีนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เช่นนั้นอนาคตก็ยิ่งไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเขา สิงซาคิดเองเออเองว่าเมื่อผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้แล้ว จะสามารถยกระดับศักยภาพเพิ่มขึ้นได้อีกสองสามเท่า แล้วศักยภาพของหลัวซิวจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้หรือ?

หลัวซิวย่างเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง ในส่วนของโยว่เซียงเอ๋อร์นั้น หลังจากได้พบเห็นศึกการต่อสู้ระหว่างเขาและสิงซา นางจึงเป็นผู้ถอนตัวออกด้วยตนเอง

เมื่อมาถึงยอดเขาของภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงพลังงานเต๋าที่เข้มข้นถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้นคือพลังงานเต๋าของที่นี่เข้มข้นถึงขั้นที่สามารถกีดกันตัวสำนึก ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีพลังที่จำกัดตัวสำนึก แต่มันเกิดจากพลังงานเต๋าที่เข้มข้นมากเกินไป

การแย่งชิงภูเขาแหล่งเต๋าทั้ง 33 ลูกยังไม่จบ ยืนอยู่บนภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งแล้วเบิ่งมองไปทางภูเขาแหล่งเต๋าที่สอง หลัวซิวมองเห็นของขลังอาวุธเทพที่แข็งแกร่งอย่างวัฏจักรที่ใหญ่โตมโหฬารหนึ่งวง ตำหนักวัฏสงสารและกระบี่วัฏสงสาร

ท้ายที่สุดแล้วเมิ่งเชียนชางก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวอยู่ดี เขาสละสิทธิ์ในการแย่งชิงภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง ถอนตัวแล้วเลือกภูเขาแหล่งเต๋าที่สองที่อยู่รองลงมา เมื่อเผชิญหน้ากับการพูดฉอด ๆ ของสิงซา สุดท้ายเขาก็เปิดเผยศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมาอยู่ดี

ถึงแม้เมิ่งเชียนชางจะใช้พลังวัฏสงสารและอาวุธเทพที่กลายมาจากเศษกงล้อวัฏจักรธรรม จากระดับศักยภาพของสิงซา ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเขามากเท่าไหร่นัก ทว่าขณะที่ต่อสู้กับหลัวซิวทำให้สิงซาสูญเสียผลการฝึกตนไปไม่น้อยแล้ว เดิมทีคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเมิ่งเชียนชางที่ถอนตัวออกเอง ฝ่ายตรงข้ามจะยกภูเขาแหล่งเต๋าที่สองให้เขา แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่ปะทุ

สุดท้ายสิงซาก็เลือกที่จะถดถอยอีกครั้ง ออกจากภูเขาแหล่งเต๋าที่สองด้วยร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล แล้วมุ่งหน้าไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่สาม

โยว่เซียงเอ๋อร์ไม่กล้าแย่งชิงภูเขาแหล่งเต๋าที่สามกับสิงซา ดังนั้นจึงเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่สี่ แต่ศักยภาพของฮู๋ชิงชิงกลับอยู่เหนือการคาดหมายของนาง แผนการโยว่เซียงเอ๋อร์ล่ม ดังนั้นจึงทำได้เพียงหลบหนีไปยังภูเขาแหล่งเต๋าที่ห้าพร้อมกับบาดแผล

จากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป การแย่งชิงทุก ๆ ภูเขาแหล่งเต๋าก็ทยอยสิ้นสุดลงแล้ว สุดท้ายมีภูเขาพลังเต๋า 30 ลูกเท่านั้นที่มีเจ้าของ ซึ่งเหลืออีกสามลูกที่ยังว่าง

เหตุผลที่ว่างสามลูกนั้น ย่อมต้องเป็นเพราะมีคนดับสลายสูญสิ้นอยู่แล้ว คนหนึ่งคือเซียนตะปูกาฬที่ถูกหลัวซิวสังหาร ยังมีอีกสองคนที่ถูกกำจัดทิ้งขณะต่อสู้ช่วงชิงภูเขาพลังเต๋ากับผู้อื่น

แม้นภูเขาพลังเต๋าจะมีเจ้าของแล้ว แต่ก็ต้องคอยระมัดระวังผู้อื่นจู่โจมขณะเจ้าฝึกตนอยู่เช่นเคย หลัวซิวจัดวางค่ายกลต้องห้ามไว้รอบภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งอย่างหนาแน่น ซึ่งค่ายกลต้องเทพทุกค่ายล้วนเป็นราชาเทพระดับเก้า ทำการจัดแจงจนเกราะป้องกันรอบภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งแข็งแรงอย่างยิ่ง

เมื่อหลัวซิวเริ่มฝึกตน พลังงานเต๋าที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายเขาก็ผนึกรวมกันจนแทบจะกลายเป็นสภาวะของแข็ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในธรรมดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ที่สุด ราวกับที่นี่เป็นต้นตอของธรรมทั้งปวง เกณฑ์ที่นับไม่ถ้วนในหมื่นจักรวาลล้วนวิวัฒนาการจากที่นี่

พลังงานเต๋าที่เข้มข้นเริ่มผนึกรวมกันอยู่รอบกายเขาจนกลายเป็นรูปร่างลักษณะของขนมสายไหมปุยเมฆ จากการที่ผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง มันก็ถึงขั้นกลายเป็นสภาวะของเหลว เหมือนดังม่านน้ำที่ห่อหุ้มหลัวซิวอยู่ภายใน

ระยะเวลาที่สถานแหล่งเต๋าเปิดออกคือสิบปี เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองใกล้จะบรรลุแล้ว

……

สถานแหล่งเต๋าได้เปิดออกสามปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว เรื่องราวครั้นเมื่อบรรพจารย์จูโหวถูกผู้แข็งแกร่งลึกลับตบจนกระเด็นออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน ยังคงถูกกองกำลังใหญ่จำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมีอรรถรส

เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวคราวแพร่งพรายออกมาจากตระกูลจูโหวว่าบรรพอาจารย์ของพวกเขากลับมาแล้ว!

สามารถพูดได้เลยว่าข่าวคราวนี้ทำเอาคนทั้งโลกหล้ารู้สึกช็อกเลย บรรพจารย์จูโหวคือผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้า เขาถูกฝ่ามือหนึ่งตบจนกระเด็นออกไป ถึงกับต้องใช้เวลาสามปีถึงจะย้อนกลับมาได้ แล้วผู้แข็งแกร่งที่ลงมือเมื่อครั้นนั้นจักน่าสยดสยองมากเพียงใดกันนะ?

ในมุมมองของคนจำนวนมากต่างคิดว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับนั่น มีศักยภาพที่สามารถสังหารบรรพจารย์จูโหวได้โดยสมบูรณ์เลย และสาเหตุที่ไม่ได้สังหารบรรพจารย์จูโหวนั้น อาจเป็นเพราะไม่อยากลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับเขา!

เพราะผู้แข็งแกร่งล้วนมีความหยิ่งยโสที่เป็นของผู้แข็งแกร่ง ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับเทพมารจะมีระดับความคิดของเทพมาร จึงย่อมรังเกียจที่จะไปสังหารปุถุชนทั่วไปที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงอยู่แล้ว

บนภูเขาแหล่งเต๋าที่เจ็ด มีสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ รอบกายมีพลังงานเต๋าที่เข้มข้นบริสุทธิ์ลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป จากการที่เวลาล่วงเลยไปสามปี หลังศีรษะนางก็ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้สองวงแล้ว ซึ่งกงล้อเทพทุกวงล้วนราวกับประกอบจากแสงดาบที่นับไม่ถ้วน ในระหว่างที่กงล้อค่อย ๆ หมุนอยู่นั้น ก็จะมีห้วงดาบที่เฉียบคมอย่างยิ่งไหลเวียนออกมา

กงล้อเทพทั้งสองวงที่ผนึกรวมออกมาได้นี้ อยู่ในสภาวะที่เป็นแก่นแท้โดยสมบูรณ์เลย ซึ่งสภาวะประเภทนี้ก็หมายความว่านางได้ผนึกรวมกงล้อเทพที่สมบูรณ์แบบออกมาสองวง!

ณ วินาทีนี้ กงล้อเทพวงที่สามที่อยู่หลังศีรษะนางเริ่มมีแนวโน้มที่จะผนึกรวมออกมาได้แล้ว ทว่าจากการที่ระยะเวลาในการฝึกตนค่อย ๆ ล่วงเลยไป พลังงานเต๋าบนภูเขาแหล่งเต๋าที่เจ็ดเริ่มค่อย ๆ ไม่เป็นอย่างที่นางต้องการแล้ว ใช่ว่ากงล้อเทพวงที่สามนี้จะมีคุณภาพสมบูรณ์แบบเสมอไป

ทว่าจากการที่ผลการฝึกตนได้รับการยกระดับ ความทรงจำบางส่วนที่ถูกกลบอยู่ในฝุ่นละอองก็ปรากฏในส่วนลึกของความคิดนางอยู่เป็นระยะ ๆ เช่นกัน ซึ่งความทรงจำเหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับโลกาดาราระดับล่างที่มีนามว่าโลกแสงดาว

……

ภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งเป็นสถานฝึกตนที่ดีเลิศที่สุดในสถานแหล่งเต๋า มาตรแม้นว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าขั้นสูงมาถึงที่นี่ ก็จะได้รับดอกผลที่สูงลิ่วมาก และยิ่งสามารถผนึกรวมกงล้อเทพวงที่สี่ที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ด้วย

แต่หลัวซิวกลับมาถึงที่นี่ด้วยผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ผลการฝึกตนของเขาทลายพันธนาการจุดตีบตันได้อย่างง่ายดาย มาถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง!

อีกทั้งเขายังค้นพบด้วยว่าหากใช้ยาเซียนนภาเต๋าที่นี่ละก็ จะสามารถทำให้ความเร็วในการฝึกตนของเขารวดเร็วมากยิ่งขึ้น การตระหนักรู้ในเกณฑ์พลังเต๋าต่าง ๆ ก็รวดเร็วมากเช่นกัน การข้ามขั้นเกริกก้อง

เวลาล่วงเลยไปสามปีแล้ว ผลการฝึกตนของหลัวซิวยังคงหยุดอยู่ที่เทพมารระดับแปดขั้นสูงอยู่เช่นเคย ไม่ได้บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าแต่อย่างใด

แม้นจักมีการพัฒนาเพียงก้าวเล็ก ๆ ก้าวเดียว แต่ศักยภาพของเขากลับได้รับการยกระดับอย่างสังเกตเห็นได้ชัด เขาบรรลุไม่ถึงแดนเทพมารระดับเก้า แต่หลังศรีษะเขากลับผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้หนึ่งวงแล้ว

ซึ่งแตกต่างจากกงล้อเทพที่สมบูรณ์แบบโดยสิ้นเชิงเลย กงล้อเทพของหลัวซิวราวกับภาพมายา เลือนลางไม่ชัดเจน ยิ่งกว่านั้นคือลักษณะภายนอกดูเทียบเคียงกับกงล้อเทพคุณภาพชั้นล่างที่ธรรมดาที่สุดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

และกงล้อเทพวงนี้ก็ถูกหลัวซิวเรียกว่ากงล้อเทพไร้ลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาผนึกรวมออกมาโดยการตระหนักรู้ในวิถีไร้ลักษณ์ของเขา

ในระบบการฝึกตนดั้งเดิม สามารถผนึกรวมกงล้อเทพวงแรกได้ตั้งแต่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ เทพมารระดับเก้าขั้นสูงจะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพได้สี่วง ราชาเทพระดับเก้าจะผนึกรวมได้ห้าวง มกุฎเทพผนึกรวมได้หกวง จักรพรรดิเทพผนึกรวมได้เจ็ดวง มหาจักรพรรดิยุทธ์ผนึกรวมได้แปดวง รวมไปถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้าวงที่แข็งแกร่งกว่า ตลอดจนผู้สูงส่งสิบกงล้อเทพที่สูงส่ง!

ทว่าวิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวกลับเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กงล้อเทพของเขาจะมีเพียงวงเดียวเท่านั้น เนื่องจากไร้ลักษณ์สามารถวิวัฒนาการเป็นสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกได้ สามารถแปรเปลี่ยนจากวัตถุไร้รูปเป็นวัตถุมีรูป เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว กงล้อเทพหนึ่งวงของเขาก็สามารถทดแทนความล้ำลึกที่กงล้อเทพวงอื่น ๆ หลอมรวมกันได้แล้ว

ความล้ำลึกทั้งปวงผนึกรวมอยู่ในกงล้อเทพวงเดียว ในมุมมองของหลัวซิว แนวคิดการฝึกตนประเภทนี้สมบูรณ์แบบและประณีตสวยวิจิตรกว่าระบบที่ตัดสินระดับสูงต่ำโดยจำนวนกงล้อเทพเสียอีก

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท