มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2824 สะพานเซียนบังเกิด
ในระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเทพนอกนภา หลัวซิวไม่ได้พบเจอเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนอีกแต่อย่างใด บางทีอาจเป็นเพราะสภาพอาการบาดเจ็บของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนมา หรืออาจเป็นเพราะเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็ทราบเช่นกันว่าหากเขาอยู่พร้อมอี้หยูละก็ คงลงมือไม่ได้ด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หลัวซิวยังพบเจอจอมยุทธ์คนอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย นี่จึงทำให้เขาเข้าใจว่าวัฒนธรรมวิถียุทธ์ของพสุดารานอกนภาก็รุ่งเรืองมากเช่นกัน ไม่ขาดแคลนมกุฎเทพระดับเก้า ตลอดจนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ยิ่งกว่านั้นคือยังมีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งด้วย
หลังจากเข้าไปในเมืองเทพนอกนภาแล้ว หลัวซิวก็แยกจากกับอี้หยู เขาทำการเช่าถ้ำที่ใช้สำหรับฝึกตนในเมืองหนึ่งแห่ง ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกห้าปีสะพานเทวนอกนภาถึงจะปรากฏ เขาจึงใช้ระยะเวลานี้มาตระหนักรู้ธรรมเกณฑ์บนพสุดารานอกนภาเสียเลย ทำให้ศักยภาพของตัวเองฟื้นฟูกลับคืนมาโดยสิ้นเชิง
ระยะเวลาห้าปีนี้เงียบสงบมาก และตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวก็ไม่เคยก้าวเท้าเดินออกไปจากถ้ำเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ภายในห้องลับของถ้ำ รอบกายเขามีรัศมีเทวที่งดงามลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป กงล้อเทพไร้ลักษณ์ที่อยู่หลังศีรษะแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง วิวัฒนาการปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งหลายออกมา จากเกณฑ์เบญจธาตุที่พื้นฐานที่สุด วิวัฒนาการเป็นเกณฑ์หยินหยาง และวิวัฒนาการจากหยินหยยางเป็นตรีภพ บุกเบิกฟ้าดินในตรีภพ จนวิวัฒนาการการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา ตลอดจนวัฏสงสาร……
ใช้เวลาสี่ปีกว่า ในที่สุดเขาก็อาศัยวิถีไร้ลักษณ์ทำให้ตัวเองเข้ากับเกณฑ์ฟ้าดินในพสุดารานอกนภาได้โดยสมบูรณ์สักที ถึงแม้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผลการฝึกตนของเขาจะไม่มีการเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าได้ตระหนักรู้ธรรมเกณฑ์ของพสุดารานอกนภา ทำให้การตระหนักรู้ในกฎทวยเทพธรรมของเขาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น วิถีไร้ลักษณ์ดูดซับการตระหนักรู้ของเขา ทำให้มันสมบูรณ์และทรงพลังมากยิ่งขึ้นด้วย
ผลการฝึกตนไม่มีการยกระดับ แต่แดนกลับยกระดับสูงขึ้นแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมต้องเป็นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
วันนี้ เมื่อหลัวซิวเดินออกมาจากถ้ำปิดขังฝึกตน ถึงแม้คลื่นผลการฝึกตนที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขาจะยังคงเป็นเทพมารระดับแปดขั้นสูงอยู่เช่นเคย แต่ศักยภาพกลับฟื้นฟูกลับไปถึงราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงแล้ว
และในขณะเดียวกัน ทั้งแดนเซียนนอกนภาก็คึกคักกันเป็นแถบ เพราะในที่สุดสะพานเทวนอกนภาที่ผู้คนตั้งตารอคอยมาอย่างยาวนานก็บังเกิดขึ้นสักที!
เหนือนภาเมืองเทพนอกนภา ท้องฟ้าราวกับถูกโจมตีจนเกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งหลุมยังไงอย่างนั้น มีลำรัศมีเทวที่ใหญ่ยาวสาดส่องลงมา มีออร่าที่เก่าแก่โบราณแพร่กระจายออกมาจากรัศมีเทว พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ภายในลึกซึ้งอย่างยิ่ง มากกว่านั้นคือมันอยู่เหนือกฎทวยเทพธรรม บรรลุถึงระดับและแดนที่สูงกว่า
“หรือว่านี่จะเป็นแสงเซียนในตำนาน?”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เขาไม่เคยได้สัมผัสกับผู้ที่อยู่ในแดนเซียนมาก่อนเลย แต่กลับรู้อยู่ว่าแดนของประมุขเต๋าอยู่ระดับเดียวกันกับกฎทวยเทพธรรม แดนประมุขเต๋าที่กล่าวถึงนั้นก็ถูกเรียกว่าแดนธรรมเวชเช่นกัน ซึ่งยังคงอยู่ในขอบข่ายของกฎทวยเทพธรรมอยู่
และถ้าเกิดอยู่เหนือขอบข่ายนี้ ก็จะไม่ใช่กฎทวยเทพธรรมอีกต่อไป แต่เป็นวิถีเซียน วิถีแห่งเซียน!
หลัวซิวยืนอยู่ในเมืองเทพนอกนภา ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างจอมยุทธ์เยอะมาก ๆ ก่อนจะทราบว่าสะพานเทวนอกนภานี่ก็คือเส้นทางที่เชื่อมต่อกับแดนเซียนนอกนภานั่นเอง
เห็นเพียงแสงเซียนผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นผนึกรวมกันจนกลายเป็นลักษณะของสะพานโค้งหนึ่งสะพานจริง ๆ ปลายสะพานฝั่งหนึ่งอยู่ที่กลางสนามจัตุรัสของเมืองเทพนอกนภา ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของสะพานกลับอำพรางอยู่ในส่วนลึกของอนัตตา ซึ่งไม่รู้ว่าเชื่อมต่อไปยังสถานที่ใด
“ภัณฑ์เซียน อัญแห่งบรรลุของเซียนหรือ?”
หลัวซิวยิ่งมองยิ่งรู้สึกตะลึง เห็นเพียงมีรัศมีที่ตระการตาลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบสะพานดังกล่าว มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่นับไม่ถ้วนวิวัฒนาการอยู่ในรัศมีอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะเดียวกันก็มีอำนาจอันน่าเกรงขามที่มโหฬาพันลึกและลึกซึ้งแผ่กระจายออกมา ราวกับมีเซียนองค์หนึ่งที่สูงส่งอย่างยิ่งกำลังกราดมองอสูรจิตทั้งปวงที่อยู่บนพสุดารานอกนภา
นี่ไม่ใช่สะพานเทวนอกนภา หากพูดให้แม่นยำหน่อยมันคือสะพานเซียน และการปรากฏของมันก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนในเมืองเทพแห่งนี้ต่างตื่นตกใจ
แสงกลทั้งหลายบินตรงมา ร่วงลงในละแวกใกล้เคียงของสนามจัตุรัสกลางเมืองเทพนอกนภา ในแสงกลทุกดวงล้วนมีผู้แข็งแกร่งที่ถูกปกคลุมอยู่ในรัศมีเทว พลังออร่าที่มากมายมหาศาลสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพที่แผ่กระจายออกมาจากสะพานเซียน พลังออร่าเหล่านั้นกลับเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หลัวซิวก็มองเห็นผู้แข็งแกร่งนับร้อย ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนอยู่สูงกว่าเทพมารระดับเก้า อีกทั้งยังมีจำนวนคนที่มากกว่าเร่งเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสายด้วย
“มกุฎเทพระดับเก้า!”
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังออร่าหนึ่งที่แข็งแกร่ง เห็นเพียงกลางอากาศที่ว่างเปล่าของเมืองเทพนอกนภาถูกฉีกกระชากจนเกิดเป็นรอยเล็ก ๆ หนึ่งจุด ถัดจากนั้นก็มีเด็กหญิงที่ดูมีอายุประมาณเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งเดินออกมา ก่อนจะใช้มือเล็ก ๆ นั่นไขว้ไว้ด้านหลังอย่างเป็นงานเป็นการ หลังศีรษะมีกงล้อเทพลอยอยู่หกวง ไม่นึกเลยว่ากงล้อเทพทุกวงล้วนจะมีคุณภาพสมบูรณ์แบบ!
เด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง ทว่ากลับมีออร่าของผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าแพร่กระจายออกมาจากตัว นี่จึงทำให้คนจำนวนมากต่างแสดงสีหน้าตะลึงงัน
แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีผู้ใดมองว่านางเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งจริง ๆ มีผู้แข็งแกร่งบางส่วน เนื่องจากฝึกวรยุทธ์ที่พิเศษ ซึ่งมีโอกาสที่วรยุทธ์ที่ตนฝึกเกิดปัญหา ดังนั้นจึงทำให้ตัวเองฝึกจนรูปร่างลักษณะกลายเป็นเช่นนี้
ทว่าเมื่อหลัวซิวมองเห็นเด็กหญิงคนนั้น เขากลับเบิกตากว้างกะทันหัน เนื่องจากเขาคุ้นเคยต่อใบหน้าของเด็กหญิงคนนั้นอยู่ ซึ่งนางก็คือเด็กผู้หญิงที่เขามองเห็นในโลงศพแก้วครั้นเมื่ออยู่ในวิมานเทวอัสนีชิงเสวียนนั่นเอง!
เขาจำได้แม่นยำมาก ๆ ว่าได้รับชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายของฮู้เทวชิงเทียนมาจากมือเด็กผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ
“นางไม่มีทางใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปแน่นอน ครั้นเมื่อนางเดินออกมาจากโลงศพแก้ว ผลการฝึกตนยังไม่แข็งแกร่งปานมกุฎเทพระดับเก้า นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเอง เกรงว่าใช้เวลาอีกไม่นาน นางก็สามารถบรรลุสู่แดนจักรพรรดิเทพระดับเก้าได้แล้ว”
หลัวซิวเก็บซ่อนพลังออร่าของตนเองอย่างระมัดระวัง ถ้าเกิดถูกฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็น ไม่แน่ฝ่ายตรงข้ามก็อาจขอฮู้เทวชิงเทียนกับเขา และยิ่งมีโอกาสลงมือกำจัดตัวเองทิ้ง เพื่อแก่งแย่งสมบัติ
หลัวซิวได้ยินมีคนเรียกขานเด็กผู้หญิงคนนั้นว่ามกุฎเทพหยุนเซวียน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่านางน่าจะมาถึงพสุดารานอกนภานานมาก ๆ แล้ว อีกทั้งทำให้ร่างกายตัวเองเข้ากับเกณฑ์ของพสุดารานอกนภา ผลการฝึกตนศักยภาพทั้งตัวจึงไม่ถูกกดอัดและกีดกันใด ๆ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าปรากฏอีกหลายดวง แต่ทว่าพลังออร่าของมกุฎเทพระดับเก้าเหล่านั้น กลับอ่อนกว่ามกุฎเทพหยุนเซวียนไม่น้อยเลย
นางผนึกรวมกงล้อเทพสมบูรณ์แบบออกมาได้หกวง สามารถพูดได้เลยว่าอนาคตผลการฝึกตนนางจักบรรลุถึงจักรพรรดิเทพระดับเก้าได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีพลังออร่าที่ล้นฟ้าจุติมา ซึ่งพลังออร่าดังกล่าวแข็งแกร่งกว่ามกุฎเทพหยุนเซวียนมาก เป็นจักรพรรดิเทพระดับเก้าที่โดดเด่นคนหนึ่ง ทันทีที่พลังออร่าของเขาปรากฏ ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่กลางสนามจัตุรัสต่างพากันถดถอย
“ในที่สุดสะพานเซียนนอกนภาก็เปิดออกแล้ว……”
จักรพรรดิเทพระดับเก้าคนนั้นพูดพึมพำคนเดียว ดูเหมือนเขารอให้สะพานเซียนปรากฏมายาวนานมาก ๆ แล้ว เขาไม่ได้สนใจคนใดในที่เกิดเหตุเลย ในระหว่างที่ย่างเท้า ร่างกายก็เดินขึ้นไปบนสะพานเซียน ก่อนจะหายวับไป
เมื่อเห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าเดินขึ้นสะพานเซียน เหล่าผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ที่อยู่กลางสนามจัตุรัสก็เริ่มอดกลั้นต่อไปไม่ไหว
“เล่ากันว่าสะพานเซียนนอกนภาจะบังเกิดทุก ๆ สามหมื่นล้านปี ทุกครั้งที่บังเกิดจะปรากฏเพียงสามวันเท่านั้น หากพลาดโอกาสนี้ ก็ต้องรอคอยอีกสามหมื่นล้านปีแล้วล่ะ!”
“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าจักรพรรดิเทพที่เพิ่งเดินเข้าไปในเมื่อครู่นี้คือผู้ใด?! ท่านคือจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ย! เมื่อสามหมื่นล้านปีก่อนท่านเป็นมกุฎเทพระดับเก้า และเคยไปแดนเซียนนอกนภาหนหนึ่งแล้ว หลังจากออกมาได้ไม่นานก็บรรลุเป็นจักรพรรดิเทพระดับเก้าเลย”
“……”
ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคนที่อยู่รอบกาย ทำให้หลัวซิวสามารถเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแดนเซียนนอกนภาและสะพานเซียนนอกนภาได้มากขึ้น
อายุขัยหนึ่งยุคตรีภพเป็นขีดจำกัดที่จอมยุทธ์ต้องเผชิญหน้า มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งก็มีชีวิตนานกว่านี้ยากมาก นอกเสียจากใช้อุบายที่แหกกฎสวรรค์มายืดอายุขัยตัวเอง มีเพียงบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าถึงจะมีอายุยืนยาว แต่ก็แค่สามารถมีอายุยืนยาวเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นอมตะอย่างแท้จริง
เล่ากันว่ามีเพียงบรรลุถึงแดนบรรพเทพและเซียน ถึงจะกลายเป็นอมตะ เช่นนั้นถึงจะเป็นการคงอยู่ชั่วนิรันดร์โดยไม่ตายอย่างแท้จริง มีชีวิตที่ไร้ขอบเขตแล้วแสวงหาจุดสูงสุดและขีดสูงสุดของวิถียุทธ์
แม้นสะพานเซียนนอกนภานี่จะหายไปหลังจากเวลาล่วงเลยไปสามวัน หลัวซิวก็ไม่ได้รีบเดินขึ้นไปแต่อย่างใด เขาศึกษาสังเกตสะพานเซียนนี้ดี ๆ ตระหนักรู้พลังเต๋าที่แพร่กระจายออกมาจากแสงเซียน กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏหลังศีรษะ แล้วพยายามอนุมานความลึกลับและมหัศจรรย์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็ล้มเลิกความคิดนี้ ระดับของพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในแสงเซียนสูงเกินไป จากแดน ณ ปัจจุบันของเขา ไม่สามารถเข้าใจได้เลยด้วยซ้ำ
ในอดีตเขาเคยพบเห็นรู้จักเกณฑ์พลังเต๋าของประมุขเต๋าปรโลกและเกณฑ์พลังเต๋าของประมุขเต๋าเลี่ยเทียน แต่ทว่าเกณฑ์พลังเต๋าของประมุขเต๋าสวรรค์ทั้งสองคนนี้กลับด้อยกว่าพลังเต๋าของสะพานเซียนนี้มาก ๆ
“เซียนนอกนภามีโอกาสเป็นเซียนองค์หนึ่งจริง ๆ พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในแสงเซียนของเขาอยู่เหนือแดนประมุขเต๋าโดยสิ้นเชิงเลย”
หลัวซิวไม่เข้าใจว่าแดนเซียนมันเป็นอะไรยังไงกันแน่ เขาจึงทำได้เพียงใช้เกณฑ์ประมุขเต๋าที่ตนเคยสัมผัสมาเปรียบเทียบ
ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเช่นกันว่าสาเหตุที่แดนเซียนนอกนภาดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากขนาดนี้นั้น ก็เป็นเพราะบางทีภายในอาจจะมีโอกาสที่สามารถกลายเป็นเซียนแฝงอยู่ก็เป็นได้ แม้จะไม่ได้รับโอกาสที่สามารถกลายเป็นเซียนอยู่ภายใน แต่ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากได้รับการตระหนักรู้ จนทำให้ตนเองบรรลุถึงแดนที่สูงกว่า เหมือนดั่งจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยคนนั้น
ในส่วนของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยนั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหลังจากเขาบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้าเมื่อสามหมื่นล้านปีก่อน เขาก็ไม่มีการบรรลุอีกเลย ดังนั้นเขาถึงได้รอคอยให้สะพานเซียนนอกนภาบังเกิดขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากลำบาก เพียงเพราะจะสามารถเข้าไปภายใน แล้วแสวงหาช่วงจังหวะที่สามารถบรรลุสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
เงาดำทั้งหลายทยอยบินขึ้นไปบนสะพานเซียน และเสี้ยววินาทีที่ร่วงลงบนสะพานเซียน เงาร่างเหล่านั้นก็จะหายวับไปทันที
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะออกตัวอยู่นั้น จู่ ๆ จิตใจเขาก็ตึงเครียดขึ้นมา พบว่าตนอยู่ภายใต้การผนึกของสีมาแสงอัสนีแล้ว
เขาถูกแสงอัสนีสีทองผนึกจากทั่วทุกสารทิศ เมื่อครู่ความสนใจของเขาถูกสะพานเซียนนอกนภาดึงดูดไป ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตลาดเลาที่เกิดขึ้นรอบกายแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงถูกลอบกัด เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนลงมือในสถานที่เช่นนี้
สายตาของหลัวซิวกวาดมองทั่วทุกสารทิศ ใช้หัวแม่เท้าคิดยังคิดได้เลยว่าผู้ที่ลงมือต่อตัวเองคือผู้ใด
“เป็นถึงเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนผู้สง่าผ่าเผย ไม่นึกเลยว่าจักยังใช้อุบายต่ำทรามอย่างการจู่โจม การทำเช่นนี้มันเป็นการลดตัวตนผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าของเจ้าให้ต่ำลงนะ”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด
“เจ้าเป็นร่างที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด ไม่ว่าข้าจะใช้อุบายใดมาจัดการเจ้า มันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องติเตียนมากมายนักหนา!”
มีเสียงหึที่เยือกเย็นสะท้อนออกมาจากแสงอัสนี แสงอัสนีสีทองที่ไร้ขอบเขตผนึกรวมกัน แล้วเผยให้เห็นใบหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่กำลังแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
ใจกลางสนามจัตุรัส ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างพากันบินขึ้นสะพานเซียน ผู้ที่ยังหยุดอยู่ที่นี่ล้วนเป็นเทพมารระดับเก้าและราชาเทพระดับเก้า
เมื่อเห็นว่ามีคนลงไม้ลงมือในละแวกใกล้เคียงของใจกลางสนามจัตุรัส ก็มีคนส่วนหนึ่งมองมาด้วยสายตาที่น่าสนใจเช่นกัน อย่างไรเสียสะพานเซียนก็จะปรากฏต่อเนื่องสามวัน คนจำนวนมากจึงไม่รีบร้อนที่จะขึ้นไปบนสะพานเซียนแต่อย่างใด
ภายในสีมาแสงอัสนีทัณฑ์สวรรค์ สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนตัวเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน พบว่าสิ่งที่ลอยอยู่หลังศีรษะเขาก็ยังคงเป็นกงล้อเทพที่เป็นแก่นแท้ห้าวงอยู่เช่นเคย กงล้อเทพสี่วงที่เหลือยังคงอยู่ในสภาวะเงาลวง แต่ทว่าลักษณะเงาลวงของกงล้อเทพวงที่หกแข็งขันมากกว่าเก่า
นี่จึงทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดเยาะเย้ย: “ไม่ได้เจอกันมาห้าปีกว่า ไม่นึกเลยว่าศักยภาพของเจ้าศักดิ์สิทธิ์จักยังคงหยุดอยู่ที่แดนราชาเทพระดับเก้าเหมือนเคยรึ?”
“มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ มันก็เพียงพอที่จะสามารถสังหารเจ้าได้แล้ว!”เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น สำหรับเรื่องนี้เขาก็รู้สึกจนปัญญามากเช่นกัน ผู้แข็งแกร่งในจักรวาลทั้งปวงที่เข้ามาในพสุดารานอกนภาล้วนต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี เพื่อทำให้ตัวเองคุ้นเคยและเข้ากับเกณฑ์ของฟ้าดินผืนนี้
เขามาถึงที่นี่ยังไม่ถึงสิบปี การที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ถ้าเกิดให้เวลาเขาอีกสิบปี เขาน่าจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่เทียบเท่ามกุฎเทพระดับเก้าออกมาได้แล้วล่ะ
แม้ศักยภาพจะฟื้นฟูกลับคืนมาช้า แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็ยังไม่ได้นำหลัวซิวมาไว้ในสายตาอยู่เช่นเคย เพราะหลัวซิวในภพชาตินี้อยู่แค่แดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง ต่อให้ศักยภาพของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาโดยสิ้นเชิง แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของตัวเองได้หรือ?