มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2826 หอมิราจ
สะพานเซียนเชื่อมต่อไปยังอนัตตา นี่จึงทำให้ผู้คนที่อยู่บนสะพานเซียนต่างรู้แล้วว่าแดนเซียนนอกนภากำลังจะเปิดออกแล้ว
ตำนานเล่ากันว่าแดนเซียนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากเซียนนอกนภา ซึ่งมีความลับในการบรรลุเป็นเซียนคงอยู่ภายใน ตลอดจนการถ่ายทอดสืบสานของเซียนนอกนภา
แต่ทว่าดูเหมือนหลัวซิวและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนจะไม่มีท่าทีที่จะยั้งมือเลย หลัวซิวมองเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเป็นภัยคุกคามของตน เนื่องจากทันทีที่ปล่อยให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนมีชีวิตรอดออกไปจากพสุดารานอกนภาได้ละก็ เช่นนั้นเรื่องราวที่เขายึดกุมศิลาเทวชิงเทียนก็จะถูกวังชิงเทียนทราบแน่นอน
ถึงครานั้น เกรงว่าผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งทุกคนของวังชิงเทียนคงจะลงมือโจมตีเขาแล้ว อย่างไรเสียสมบัติอย่างอาวุธเทพธรรมเวชก็มีความเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นแกนกลาง ฝ่ายตรงข้ามจึงมิอาจปล่อยให้เขาที่เป็นคนนอกยึดกุมอยู่แล้ว
และเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นคือสำหรับเขาแล้ว โอกาสในแดนเซียนนอกนภายังเทียบเคียงกับหอคอยฮวงไม่ได้เลย ถ้าเกิดสามารถสังหารหลัวซิว อีกทั้งได้รับตราประทับที่ได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงจากตัวหลัวซิว ไม่แน่อนาคตเขาก็อาจจะสามารถบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งที่เทียบทัดบรรพโบราณทั้งแปดท่านนั้น
หลัวซิวรับรู้ได้ถึงจิตใจอันแน่วแน่ของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่จะสังหารตน ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่สิ้น จึงไม่มีพื้นที่ให้เจรจากันอยู่แล้ว เห็นเพียงในระหว่างที่เงาร่างเขากระพริบ ก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าวแล้วปรากฏตรงหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน ก่อนจะปะทะกันอย่างรุนแรงดุเดือดอีกครั้ง
ไร้ลักษณ์ของวิถีไร้ลักษณ์สามารถวิวัฒนาการสรรพวิชา เมื่ออยู่ในพสุดารานอกนภา เขาก็สามารถวิวัฒนาการสรรพเกณฑ์และพลังอมตะของฟ้าดินผืนนี้ได้เช่นกัน รัศมีของพลังอมตะทั้งหลายจึงแย้มบานอยู่ในมือเขา
การเข่นฆ่าในครั้งนี้ดุเดือดและรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้มาก ทั้งสองต่างโจมตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จุดประสงค์ของทุกกระบวนท่าล้วนจักทำให้คู่ต่อสู้ตายสถานเดียว
ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ลอยวนเวียนอยู่รอบกาย หลัวซิวก็ระเบิดกำลังรบทั้งหมดออกมาเช่นกัน ทุกครั้งที่โจมตีจะมีเลือดสีแดงสดสาดกระเด็น มีทั้งเลือดของเขา และมีเลือดของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน
ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ทำให้จอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่บนสะพานเซียนตะลึงงันอย่างยิ่ง เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนั่นก็แล้วไป แม้นศักยภาพที่อยู่ในพสุดารานอกนภาจะถูกกดอัด แต่พื้นฐานของเขากลับเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าคนหนึ่ง ส่วนหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดกลับสามารถต่อกรกับเขาได้ กำลังรบที่น่าทึ่งเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดมองเห็นก็ล้วนแต่ต้องตะลึงงันกันทั้งนั้นแหละ
ง้าวเทวทัณฑ์สวรรค์และศิลาเทวชิงเทียนยังคงคุมเชิงกันอยู่เช่นเคย ทั้งสองก็ไม่ได้ใช้ของขลังอาวุธเทพอื่น ๆ ด้วย แค่อาศัยร่างเนื้อที่เกะกะระรานเข่นฆ่าก็ในระยะประชิดอย่างเดียว เพียงพริบตาเดียว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนหรือหลัวซิว ร่างกายของทั้งสองก็ต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล แม้จะอาศัยชีวีดั้งเดิมที่มีชีวิตชีวามาฟื้นฟู สภาพอาการบาดเจ็บบนตัวก็ยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ
ทันใดนั้นเอง ก็มีจิตสังหารดวงหนึ่งจุติลงมา หลัวซิวและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนซัดหมัดใส่กันคนละที ร่างกายต่างถอยหลังกลับไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดึงระยะห่างออกไป ตัวสำนึกและแววตากวาดสำรวจบริเวณรอบ ๆ เพื่อตามหาต้นกำเนิดของจิตสังหารดวงนั้น
จิตสังหารในเมื่อครู่นี้ได้ผนึกพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ นี่จึงทำให้พวกเขาทั้งสองต่างตระหนักได้ถึงความอันตราย อย่างไรเสียที่นี่ก็คือบนสะพานเซียน บริเวณรอบ ๆ ยังมีผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ จ้องตาเป็นมัน หากพวกเขาทั้งสองต่างบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่นี่ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ สุดท้ายก็มีโอกาสถูกผู้อื่นรอฉกฉวยประโยชน์ทีหลังเช่นกัน
จิตสังหารในเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นเร็ว แต่ก็หายไปเร็วเช่นกัน หลัวซิวและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนต่างไม่พบเลยว่าตกลงจิตสังหารในเมื่อครู่นี้มาจากผู้ใดกันแน่
“จักไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราวก็แล้วกัน!”เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ
หลัวซิวก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน แม้นบัดนี้เขาจะอยากกำจัดคู่ต่อสู้ที่มีภัยคุกคามต่อตนทิ้งมาก ๆ แต่ก็ไม่อยากถูกผู้อื่นรอฉวยโอกาสทีหลัง
ทว่าก็เข้าใจมากเช่นกันว่าศึกการต่อสู้ระหว่างเขาและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนดูเหมือนจะจบลงแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ความสงบในตอนนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุมรสุมจะมาเยือน
ทั้งสองเพิ่งยั้งมือได้ไม่นาน จู่ ๆ สะพานเซียนที่เคลื่อนตัวอยู่ในอนัตตาก็หยุดกะทันหัน ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นเพียงบริเวณรอบ ๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยแสงเซียนที่ตลบฟุ้งไปทั้ว ตรงสุดปลายขอบเขตของสะพานเซียน มีเงาลวงของหอคอยหลังหนึ่งปรากฏในแสงเซียน เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
หอมิราจ!
จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยก้าวเท้าเดินออกไป มองดูหอคอยหลังนี้ที่มีแสงเซียนตลบฟุ้งด้วยสภาพอารมณ์ที่ตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย พลางพูดพึมพำคนเดียว
หอมิราจคืออะไร?
คนจำนวนมากต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ใบหน้าล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย อย่างไรเสียจำนวนคนส่วนมากก็เพิ่งขึ้นมาบนสะพานเซียนเป็นครั้งแรก ผู้ที่รอคอยมานานสามหมื่นล้านปีอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยนั้น สามารถพูดได้เลยว่ามีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย
อย่างไรก็จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยกลับไม่ได้อธิบายอะไร เห็นเพียงเขาหกระเหินเดินฟ้า มุ่งหน้าเดินตรงไปยังหอคอยแสงเซียนหลังนั้น มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากตัว ทำให้จอมยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถูกบีบอัดจนต้องถอยหลังกลับไป
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยเดินเข้าไปแล้ว จอมยุทธ์คนอื่น ๆ จึงพากันเดินตามไป ทว่าต่างรักษาระยะห่างกับจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
พื้นที่ภายในหอมิราจไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก ทันทีที่เข้าไปก็สามารถสัมผัสได้ถึงอนุภาพเซียนที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ ภายใต้การแผ่คลุมจากอนุภาพเซียนประเภทนี้ ทุกคนล้วนสัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนศักยภาพของตนถูกกดอัด
ผู้แข็งแกร่งที่เดินขึ้นสะพานเซียนมีหลักพันคน แม้พื้นที่ภายในหอมิราจหลังนี้จะไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่เมื่อคนนับพันมาถึงที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกเบียดและอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
หอมิราจหลังนี้เหมือนดั่งสถานที่พักของเซียน การตกแต่งภายในประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง เรียบง่ายและโบราณแต่ก็ดูหรูหราในเวลาเดียวกัน พร้อมกับออร่าที่ผ่านพ้นกาลเวลามาอย่างยาวนาน บนผนังห้องมีภาพวาดภูเขาแม่น้ำและผู้คนต่าง ๆ ของตกแต่งส่วนมากดูเหมือนจะธรรมดา แต่ล้วนมีอนุภาพเซียนตลบฟุ้งอยู่
แต่ว่าสายตาของทุกคนกลับมองไปที่เบาะนั่งทรงกลมใบหนึ่ง ข้าง ๆ ของเบาะนั่งทรงกลมใบนั้นมีโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีหนังสือโบราณวางอยู่สองม้วน
“การถ่ายทอดสืบสานของเซียนนอกนภาหรือ!”
เมื่อเห็นหนังสือโบราณทั้งสองม้วนนั้น ก็มีรัศมีแห่งความร้อนผ่าวทะลุออกมาจากแววตาของทุกคน มีคนบางส่วนยิ่งหายใจถี่ขึ้นมาด้วย
สถานที่แห่งนี้เหมือนจะเป็นสถานที่พักของเซียน เช่นนั้นที่นี่ก็มีโอกาสมีการถ่ายทอดสืบสานของเซียนคงอยู่สูงมาก ต่อให้ไม่ใช่การถ่ายทอดสืบสาน สิ่งของที่เซียนทิ้งไว้ก็ไม่ธรรมดาแน่นอน
เงาร่างของยอดฝีมือราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่งกระพริบแล้วพุ่งตรงไป ยกมือขึ้นมาแล้วคว้าจับไปทางหนังสือโบราณสองม้วนที่วางอยู่บนโต๊ะ
ทว่าฝ่ามือของเขายังไม่ทันได้สัมผัสกับหนังสือโบราณ จู่ ๆ ก็มีแสงเซียนเลื่อนขึ้นมารอบโต๊ะ แสงเซียนดั่งกระบี่ ตัดสลับไปมา แล้วทำการแผ่คลุมยอดฝีมือราชาเทพระดับเก้าคนนี้ภายในพริบตา ร่างกายของคนดังกล่าวถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้ทำให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุตกใจแต่อย่างใด เพราะในจำนวนคนนับพันที่อยู่ในนี้ สามารถพูดได้เลยว่ายอดฝีมือระดับราชาเทพระดับเก้าเป็นศักยภาพที่ค่อนข้างธรรมดาทั่วไป
อีกทั้งในเมื่อรอบหนังสือโบราณสองม้วนนั้นมีตัวต้องห้ามคอยปกป้องรักษา เช่นนั้นก็แสดงว่าหนังสือโบราณสองม้วนนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
จู่ ๆ ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งระเบิด ผู้แข็งแกร่งทุกคนแทบจะลงมือพร้อมกันในเวลานี้ เงาร่างทั้งหลายพุ่งตรงไปยังโต๊ะที่มีหนังสือโบราณวางอยู่อย่างบ้าระห่ำ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็มียอดฝีมือสิบกว่าคนดับสลายสูญสิ้น ร่างตายธรรมสูญ
ปริภูมิภายในหอมิราจหลังนี้มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง ต่อให้พลังอมตะและพลานุภาพของของขลังของเหล่าผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจะทรงพลังมากเพียงใด มากสุดก็แค่สามารถทำให้พื้นที่ปริภูมิของที่นี่สั่นกระเพื่อม มาตรแม้นว่าเป็นจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยนั่นก็ไม่สามารถทลายปริภูมิของที่นี่ ยิ่งกว่านั้นคือควันหลงจากพลังอมตะยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ของประดับตกแต่งที่อยู่ภายในนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
หลัวซิวไม่ได้พุ่งตรงเข้าไปแต่อย่างใด เพราะผู้แข็งแกร่งที่อยากแก่งแย่งหนังสือโบราณมีมากเกินไป ซึ่งในจำนวนคนทั้งหมดไม่ขาดแคลนมกุฎเทพระดับเก้า ยิ่งกว่านั้นคือยังมีผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยร่วมแก่งแย่งด้วย
ไม่เพียงแค่หลัวซิวคนเดียวเท่านั้น ก็มีผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงความอันตรายเช่นกัน ต่างพากันถอยหลัง ไม่อยากพลัดหลงเข้าไปในการแย่งชิงในครั้งนี้
เพียงครู่เดียว ก็มีผู้แข็งแกร่งนับร้อยคนดับสลายสูญสิ้นแล้ว จำนวนราชาเทพระดับเก้าที่ตายยิ่งอยู่ยิ่งมาก ถูกฆ่าจนกลัวสุดขีด จึงต้องถอนตัวถอยกลับมาอย่างอดไม่ได้ ไม่กล้ามุ่งหวังหนังสือโบราณสองม้วนนั้นอีก
ต่อมาไม่นานนัก ผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าหลายคนก็ต่างพากันถอยออกมาจากการช่วงชิงเช่นกัน ร่างกายของแต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล สภาพดูจนตรอกมาก เหลือมกุฎเทพระดับเก้าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งไม่กี่คน ลงมือเข่นฆ่ากับจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยอย่างดุเดือด
ในบรรดามกุฎเทพระดับเก้าเหล่านั้น ทุกคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กงล้อเทพที่ผนึกรวมออกมาหลังศีรษะก็ล้วนเป็นกงล้อเทพสมบูรณ์แบบหกวง ในจำนวนคนทั้งหมด ผู้ที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากที่สุดก็คือมกุฎเทพหยุนเซวียน รูปร่างลักษณะภายนอกของนางดูเหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สภาวะขณะต่อสู้กลับแข็งกร้าวจนน่ากลัว ยิ่งกว่านั้นคือนางสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยโดยตรงได้โดยที่ไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย
จากแดนผลการฝึกตนมกุฎเทพระดับเก้า ศักยภาพของนางใกล้เคียงกับจักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว ศักยภาพของมกุฎเทพระดับเก้าอีกสองคนที่เหลือก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน คนหนึ่งคือมกุฎเทพทวนแสง ส่วนอีกคนหนึ่งคือมกุฎเทพเนตรกาฬ
การเคลื่อนไหวของเงาดำทั้งสี่ร่างรวดเร็วอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวสำนึกก็จับร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ล้วนหลบหนีออกไปจากที่นี่ เกรงจะได้รับผลกระทบจากพลังอมตะของพวกเขา
“การถ่ายทอดสืบสานของเซียนนอกนภาจะมีทางวางอยู่ในสถานที่เช่นนี้อย่างเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ได้ยินเสียงแว่วเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง หากไม่ใช่เพราะตัวสำนึกของเขามีการปลุกเสกจากพลังญาณเทว เขาอาจจะไม่มีทางได้ยินด้วยซ้ำ
เขาหันหลังกลับไป จากนั้นก็มองเห็นแววตาที่ลึกซึ้งของผู้อาวุโสผมขาวเทาคนหนึ่ง เขาใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
ตัวสำนึกวิญญาณของหลัวซิวแตกต่างจากผู้อื่น หากมองข้ามระดับความแข็งแกร่งของตัวสำนักวิญญาณ แล้วพูดถึงความว่องไวและเฉียบแหลมของกระแสสัมผัสละก็ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า ก็ใช่ว่าจะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้เสมอไป
อย่างไรก็ตามแม้นจักเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็ยังมองผู้อาวุโสผมเทาคนนี้ไม่ทะลุปรุโปร่งอยู่ดี ราวกับบนตัวฝ่ายตรงข้ามมีหมอกที่ขมุกขมัวปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น เจ้ายิ่งอยากมองทะลุเขามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งถลำลึกลงไปมากเท่านั้น
“เหตุใดท่านอาวุโสจึงต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยขอรับ?”หลัวซิวเดินตรงไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“คนหนุ่มนี่เจ้าดูไม่ออกหรือ? หากเจ้าเป็นเซียนนอกนภา เจ้าจะนำวรยุทธ์ที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของตนวางไว้ที่นี่อย่างเรื่อยเปื่อยหรือ? หากหอมิราจหลังนี้มีการถ่ายทอดสืบสานของเซียน เช่นนั้นการคงอยู่ของแดนเซียนนอกนภาจะมีความหมายอะไรเล่า?”ผู้อาวุโสผมเทาใช้มือลูบหนวดเครา พลางยิ้มพลางตอบกลับ
ในขณะที่ผู้อาวุโสคนดังกล่าวกำลังพูดอยู่นั้น ศึกการแย่งชิงหนังสือโบราณสองม้วนนั้นก็ดำเนินการถึงช่วงท้ายแล้ว มกุฎเทพทวนแสงถอยออกมาจากการต่อสู้ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยึดกุมเกณฑ์เวลา มาตรแม้นว่าพลังของเกณฑ์ประเภทนี้จะแข็งแกร่ง แต่ขณะที่ควบคุมปลดปล่อยพลังอมตะ ก็จะสูญเสียผลการฝึกตนเยอะมากเช่นกัน
ถัดจากนั้นผู้ที่ถอยออกมาจากการต่อสู้คือมกุฎเทพเนตรกาฬ พลังอมตะที่ผู้แข็งแกร่งคนนี้ฝึกคือมหาฤทธิ์เวทย์เนตรประเภทหนึ่งที่หาพบได้ยาก พลังอมตะประเภทนี้สามารถมองทะลุร่องรอยในการโคจรของผลการฝึกตนของคนคนหนึ่ง สามารถอ้างอิงร่องรอยการโคจรของผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้าม แล้วอนุมานคาดการณ์ท่าทางการเคลื่อนไหวถัดไปของคู่ต่อสู้
ทว่ามกุฎเทพเนตรกาฬคนนี้กลับถูกจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยและมกุฎเทพหยุนเซวียนโจมตีคนละฝ่ามือ จนกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกมา
ท้ายที่สุดมกุฎเทพหยุนเซวียนก็สละสิทธิ์แย่งชิง ดูเหมือนผลการฝึกตนของนางจะอยู่ในจุดวิกฤตที่ใกล้บรรลุแล้ว จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยไม่มีท่าทีที่จะถดถอยเลยแม้แต่น้อย ส่วนนางย่อมไม่อยากเอาเป็นเอาตายกับจักรพรรดิเทพแก่หงำเหงือกคนหนึ่งอยู่แล้ว
ศึกการต่อสู้เข่นฆ่าสิ้นสุดลง จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยยกมือคว้าจับไปทางหนังสือโบราณสองม้วนที่อยู่บนโต๊ะ เห็นเพียงมีแสงเซียนตลบฟุ้งออกมา ทำการต้านทานฝ่ามือของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยเอาไว้ ต่อให้เขาจะทุ่มสุดกำลังสามารถแล้ว ระยะห่างที่นิ้วมือจะสัมผัสกับหนังสือโบราณก็ยังคงห่างกันครึ่งนิ้วอยู่ดี!