มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2827 สตรีผู้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2827 สตรีผู้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2827 สตรีผู้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่

ทุกคนล้วนยืนมองมาจากที่ไกล ๆ เห็นเพียงจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยคนนั้นพยายามอยู่หลายรอบมาก สูญเสียผลการฝึกตนอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถเอาหนังสือโบราณทั้งสองม้วนนั้นไปได้อยู่ดี

สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ภายในหอมิราจหลังนี้ล้วนมีแสงเซียนเฝ้าดูแลรักษา ซึ่งมีคนพยายามลองเก็บของประดับตกแต่งไปเช่นกัน แต่แค่สัมผัสก็ยังสัมผัสไม่ได้

ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญา ทุกคนจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิด ก่อนจะพากันเดินออกมาจากหอมิราจ

“จักรพรรดิอย่างข้าต้องตามหาโชคโอกาสที่สามารถยืดชีวิตข้าให้ได้!”

ไม่ได้ครอบครองสมบัติที่อยู่ภายในหอมิราจ นี่จึงทำให้เงาร่างของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยหม่นหมองลงไปเล็กน้อย แต่ว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้เลย หลังจากเดินออกมาจากหอมิราจ ก็มุ่งหน้าเดินไปยังสถานที่อื่น ๆ ที่มีแสงเซียนตลบฟุ้งอยู่ต่อ

การที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งมีชีวิตคงอยู่ได้สามหมื่นล้านปีนั้น ถือเป็นอุบายที่แหกกฎสวรรค์แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อายุขัยของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยคงเหลือไม่ถึงหมื่นปี นอกเสียจากเขาสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า

เขาแก่ชรามากแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากมีผู้ใดแก่งแย่งโชคโอกาสในการยืดชีวิตกับเขา จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยกล้าเอาเป็นเอาตายกับทุกคนอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง พวกมกุฎเทพหยุนเซวียนถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะแก่งแย่งหนังสือโบราณทั้งสองม้วนที่อยู่ในหอมิราจกับเขา

อันที่จริงขณะที่ทุกคนมาถึงสุดปลายขอบเขตของสะพานเซียน ก็มาถึงแดนเซียนนอกนภาที่กล่าวถึงแล้ว ส่วนหอมิราจที่ผู้คนเพิ่งเข้าไปในเมื่อครู่นี้ ก็เป็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่งของแดนเซียนนอกนภาเท่านั้น

จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยเดินจากไปไกลแล้ว แต่หลัวซิวก็ยังคงได้ยินเสียงพึมพำของเขาอยู่เช่นเคย ดูเหมือนครั้นเมื่อจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยมาแดนเซียนนอกนภาครั้งก่อนก็เคยเข้าไปในหอมิราจแล้ว เดิมทีคิดว่าผลการฝึกตนของตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้า สามารถเอาสมบัติในหอมิราจออกไปได้แล้ว แต่เฝ้ารอมาสามหมื่นล้านปี สุดท้ายสิ่งที่ได้รับมาก็ยังคงเป็นความว่างเปล่าอยู่เช่นเคย

หลังจากจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยจากไป คนอื่น ๆ ก็ต่างเดินกลับเข้าไปในหอมิราจอีกครั้งอย่างไม่ยอมใจ เพื่อพยายามดูว่าจะสามารถเอาหนังสือโบราณสองม้วนนั้นไปได้หรือไม่

เพราะมีคนคาดคะเนว่าการที่จะสามารถครอบครองหนังสือโบราณสองม้วนนี้ได้หรือไม่นั้น บางทีมันอาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผลการฝึกตน แต่ต้องดูที่มีวาสนาหรือไม่

คนจำนวนมากต่างคิดว่าตัวเองดวงดี ทว่าหลังจากแต่ละคนทำล้มเหลวแล้ว ก็ไม่มีคนสนใจหอมิราจหลังนี้อีกเลย

หลังจากทุกคนจากไปแล้ว หลัวซิวไม่ได้จากไปแต่อย่างใด แต่เป็นการมาถึงหน้าโต๊ะที่มีหนังสือโบราณสองม้วนนั้นวางอยู่

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพยายามลองดูเหมือนกัน ทันทีที่มีคนอยากเอาหนังสือโบราณไป ก็จะมีแสงเซียนเลื่อนขึ้นมา แสงเซียนนั่นดูเหมือนจะนุ่มนวล แท้จริงแล้วกลับมีจิตสังหารแฝงซ่อนอยู่ มีราชาเทพระดับเก้าหลายคนเนื่องจากศักยภาพแข็งแกร่งไม่มากพอ จึงถูกแสงเซียนทำให้บาดเจ็บสาหัสตลอดจนถูกสังหาร

อุบายทั่วไปไม่สามารถเอาหนังสือโบราณไปได้ หลัวซิวจึงพิจารณาคิดหาวิธีอื่นเอง เพราะในมุมมองของเขา คนอย่างเซียนนอกนภาไม่มีทางทำเรื่องที่ไร้ความหมายแน่นอน ในเมื่อเขาวางหนังสือโบราณไว้ที่นี่สองม้วน เช่นนั้นเขาก็ต้องมีเจตนาแฝงอยู่แน่นอน

สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนเบาะนั่งทรงกลมที่อยู่ข้างโต๊ะ เมื่อครู่ก็มีคนพยายามเอาเบาะนั่งทรงกลมใบนี้ไปเช่นกัน เบาะนั่งทรงกลมใบนี้ดูเหมือนจะธรรมดาเรียบง่าย แต่ภายในแสงเซียนที่ตลบฟุ้งไปทั่วกลับมีความล้ำลึกประเภทหนึ่งที่มากมายมหาศาลแฝงซ่อนอยู่ ในระหว่างที่ใจลอย หลัวซิวราวกับมองเห็นเงาหลังหนึ่งกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมใบนี้

“หรือจะเป็นสถานที่ที่เซียนเคยฝึกฝนตระหนักวิชาเซียน?”

หลัวซิวหรี่ตาลง แม้นจะไม่ได้ครอบครองหนังสือโบราณสองม้วนนั้น แต่ถ้าเกิดสามารถตระหนักวิชาล้ำเลิศของเซียนได้ที่นี่ มันต้องมีประโยชน์ต่อการปรับวิถีไร้ลักษณ์ของตนให้สมบูรณ์แบบขึ้นได้แน่นอน

“เจ้าหนู เจ้ายังไม่ไปจริง ๆ ด้วย”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไพเราะสะท้อนมา หลัวซิวมองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะมองเห็นเงาร่างที่เล็กและอ่อนช้อยร่างหนึ่งเดินเข้ามาในหอมิราจ แล้วมุ่งหน้าตรงมาทางเขา

ซึ่งคนดังกล่าวย่อมต้องเป็นมกุฎเทพหยุนเซวียนอยู่แล้ว เมื่อถูกนางเรียกว่าเจ้าหนู ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจจริง ๆ

หลัวซิวที่อยู่ในพสุดารานอกนภาไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาอำพรางตัวตนแต่อย่างใด ดังนั้นครั้นเมื่อสะพานเซียนบังเกิดขึ้น ขณะที่เขาจำมกุฎเทพหยุนเซวียนได้ นางก็จำตัวเองได้เช่นกัน

“น้องหนูมีคำชี้แนะอันใดหรือ?”หลัวซิวอมยิ้มแล้วตอบกลับประโยคหนึ่ง

“เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”เมื่อมกุฎเทพหยุนเซวียนได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงเอามือเท้าสะเอวทันที แล้วใช้แววตาที่ดุดันอย่างยิ่งจ้องมองหลัวซิว แต่ว่าจากลักษณะที่น่าเกลียดน่าชังนั่นของนาง แววตาที่ดูดุร้ายนั่นมองยังไงก็รู้สึกน่ารักมาก

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว? เจ้าบังอาจเรียกข้าว่าน้องหนูอย่างนั้นหรือ?”มกุฎเทพหยุนเซวียนไม่พูดก็แล้วไป ทันทีที่พูดก็ทำให้ผู้คนตะลึงจนตาค้างเลยทีเดียว

“ถ้าเกิดเริ่มนับตั้งแต่อดีตชาติละก็ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นบุคคลที่มีชีวิตมานานหนึ่งยุคตรีภพแล้ว”หลัวซิวเบ้ปากพลางตอบกลับ

ก่อนหน้านี้เขาหลบหน้าฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด ก็เพื่อกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาหาเรื่องตนเพราะเศษฮู้เทวชิงเทียนเมื่อครั้งนั้น แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามหาหาตัวเองถึงที่แล้ว หลัวซิวควรตอบสนองอย่างไร ก็ควรตอบสนองอย่างนั้นอยู่แล้ว

“หึ แค่หนึ่งยุคตรีภพกระจอก ๆ เอง ข้านั้นมีชีวิตตั้งแต่ไท่ชูกระทั่งปัจจุบันเชียวนะ!”มกุฎเทพหยุนเซวียนมองหลัวซิวด้วยแววตาที่ดูหมิ่นรอบหนึ่งพลางพูด

“เจ้าโม้หรือเปล่า? ตั้งแต่ไท่ชูกระทั่งปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยไปไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้”

หลัวซิวหมวดคิ้วลงเล็กน้อย ขณะที่มกุฎเทพหยุนเซวียนพูดคำพูดดังกล่าวออกมาในเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกแรกของหลัวซิวก็คือเพ้อเจ้อ แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนจะมีความเป็นไปได้นี้จริง ๆ

“จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างมากที่เจ้าไม่ทราบ ครั้นไท่ชู แม้นประมุขเต๋าชิงเทียนพบข้าก็ต้องเดินอ้อมไปจากข้า หากไม่ใช่เพราะถูกจ้าววัฏสงสารยุคหนึ่งวางแผนลอบทำร้าย แล้วข้าจักตกอยู่ในสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?”

เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงจ้าววัฏสงสารยุคหนึ่ง ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นของมกุฎเทพหยุนเซวียนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่น่าสยดสยอง

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไรดี ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าความเป็นมาของมกุฎเทพหยุนเซวียนนี่เป็นอย่างไรกันแน่

“เจ้าหนู หากข้าจำไม่ผิดละก็ ในอดีตชาติเจ้ามีนามว่าไท่ซ่างฉิงสินะ? ที่ข้ามาหาเจ้าไม่ได้จะมาแย่งฮู้เทวชิงเทียนของเจ้า แต่ทว่าการที่เจ้าสามารถซ่อมแซมฮู้เทวชิงเทียนได้นั้น เพราะเจ้าได้รับเศษชิ้นสุดท้ายไปจากข้า ดังนั้นเจ้าจึงเป็นหนี้บุญคุณข้า”จู่ ๆ น้ำเสียงของมกุฎเทพหยุนเซวียนก็เปลี่ยนไป แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เข้มงวด

สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูจริงจังขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้าพลางพูด: “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสวางแผนที่จะให้ข้าตอบแทนบุญคุณนี้ของท่านอย่างไรขอรับ?”

เรื่องบุญคุณเป็นเรื่องที่พูดยากมาก หากเงื่อนไขที่ฝ่ายตรงข้ามเสนอมาอยู่เหนือขอบเขตที่เขายอมรับได้ หลัวซิวก็ยินดีที่จะมอบฮู้เทวชิงเทียนให้นางเช่นกัน

“เรื่องหนี้บุญคุณเจ้ายังไม่ต้องตอบแทนข้าบัดนี้ เพราะเจ้าในตอนนี้อ่อนแอมากเกินไป ที่นี่คือสถานที่ที่ท่านพรตนอกนภาเคยฝึกตนปิดขัง จะเกิดการตระหนักรู้ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคโอกาสของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”มกุฎเทพหยุนเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของนางก็ค่อย ๆ เลือนลาง แล้วหายไปจากหน้าหลัวซิว

เมื่อเห็นมกุฎเทพหยุนเซวียนหายไป สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูตึงเครียดขึ้นมา ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อแล้วว่ามกุฎเทพหยุนเซวียนเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เก่าแก่มากจนน่ากลัว มหันตภัยของยุคนี้ใกล้จะมาเยือนแล้ว ผู้แข็งแกร่งโบราณแต่ละคนเริ่มพากันปรากฏตัว นี่จึงทำให้วิกฤตการณ์ที่อยู่ในใจหลัวซิวยิ่งอยู่ยิ่งหนักแน่นขึ้น

สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง หลัวซิวสงบสติอารมณ์ ก่อนจะนั่งท่าขัดสมาธิลงเบาะนั่งทรงกลมใบนั้น

ถ้าเกิดแค่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมใบนี้ จะไม่ถูกแสงเซียนกีดกัน หลังจากนั่งลงแล้ว ก็มีพลังออร่าที่ล้ำลึกกระตุ้น ทำให้เขาหลัวซิวรู้สึกว่ารอบกายลอยวนไปด้วยพลังเต๋าที่ลึกซึ้งและล้ำลึกถึงขีดสุด

ตั้งแต่มาถึงพสุดารานอกนภาเป็นต้นมา หลัวซิวก็ตระหนักรู้เกณฑ์พลังเต๋าของที่นี่มาหลายปี สาเหตุที่ที่นี่ชื่อนอกนภา สาเหตุที่เซียนนอกนภาใช้คำว่านอกนภา ว่าตั้งชื่อสถานที่พักของตน ก็เป็นเพราะวิถีของเขาเป็นวิถีที่ถือกำเนิดจากเทียนเต้าหรือวิถีสวรรค์ และสามารถเรียกว่าเต๋านอกนภา ซึ่งความหมายแฝงก็คือวิถีนอกวิถีสวรรค์

เมื่อเป็นวิถีที่อยู่นอกวิถีสวรรค์ ก็จะไม่ถูกวิถีสวรรค์หรือเท้าเต้าพันธนาการ และมีโอกาสอยู่เหนือวิถีสวรรค์ ซึ่งมีเพียงอยู่เหนือวิถีสวรรค์และธรรมฟ้าดิน ถึงจะมีโอกาสบรรลุสู่แดนเซียน

กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏหลังศีรษะ หลัวซิววิวัฒนาการเต๋านอกนภา เพียงพริบตาเดียวแสงเซียนพลังเต๋าที่ตลบฟุ้งอยู่ในหอมิราจหลังนี้ก็เริ่มประสานหลอมรวมเข้ากับร่างกายเขาลาง ๆ

ภายใต้สภาวะที่พลังออร่าประเภทนี้เชื่อมประสานกัน หลัวซิวรู้สึกว่าร่างกายและหัวใจของตนราวกับผ่านการแปรเปลี่ยนและชะล้าง ทำให้เขาอยู่ในสภาวะที่ขมุกขมัว ดั่งมีการตระหนักรู้ ข้างหูก็เหมือนมีเสียงแห่งความล้ำลึกของธรรมสะท้อนมาเช่นกัน

เพียงชั่วพริบตาเดียว หลัวซิวก็นั่งอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ผลการฝึกตนของเขาไม่มีการพัฒนามากเท่าไหร่นัก แต่ภูมิฐานกลับลึกซึ้งกว่าอดีตมาก

ต้องท้าวความก่อนว่าภูมิฐานในอดีตของเขาก็ลึกซึ้งจนน่ากลัวมากแล้ว จากผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดก็สามารถต่อกรกับเทพมารระดับเก้า และเป็นเพราะภูมิฐานประเภทนี้นี่เอง ถึงได้ทำให้การบรรลุของเขายากลำบากมากขึ้น

ปัจจุบันภูมิฐานแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ศักยภาพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันระดับความยากในการบรรลุก็เพิ่มขึ้นอีกแล้ว!

สำหรับหลัวซิวแล้ว การบรรบุจากเทพมารระดับแปดขั้นสูงสู่เทพมารระดับเก้าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ถ้าเกิดเขาต้องการบรรลุ โชคโอกาสทั่วไปไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบรรลุได้เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับมีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง เขารู้สึกว่าการเดินทางมาแดนเซียนนอกนภาในครั้งนี้ ก็คือโอกาสครั้งหนึ่งที่จะสามารถทำให้เขาบรรลุสู่เทพมารระดับเก้า!

เทพมารระดับเก้าเป็นอุปสรรคครั้งหนึ่ง หากแบ่งระดับตามการฝึกยุทธ์ เช่นนั้นจากแดนกลั่นร่างสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คือระดับแรก ซึ่งระดับนี้ก็ถูกเรียกว่าระดับปฐม

หลังจากบรรลุจากแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สู่เทพมารก็จะเป็นระดับที่สอง จากเทพมารระดับหนึ่งตลอดจนเทพมารระดับแปด เมื่อการฝึกยุทธ์บรรลุถึงระดับที่สอง ก็ถือเป็นการลอกคราบใหม่แล้ว แปรเปลี่ยนจากมนุษย์ทั่วไปเป็นเทพมาร อีกทั้งวิญญาณดั้งเดิมก็จะวิวัฒนาการตามด้วย กลายเป็นช่องจิต

แต่ถ้าเกิดอยากกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ก็มีเพียงบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าเท่านั้น เพราะเมื่อบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าก็จะผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้หนึ่งวง การปรากฏของกงล้อเทพเป็นสัญลักษณ์ว่าคนคนนั้นได้ตระหนักเกณฑ์พลังเต๋าถึงแดนที่สูงลึกมาก ๆ และเริ่มตั้งแต่เทพมารระดับเก้าเป็นต้นไป ก็จะเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับสามของการฝึกยุทธ์

เมื่อมีกงล้อเทพสิบวงแสดงว่าบริบูรณ์แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าแดนผู้สูงส่งจะเป็นปลายทางของระดับสาม แต่หลัวซิวกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้สึกว่าแดนประมุขเต๋าถึงจะเป็นปลายทางของระดับสามต่างหาก

และการฝึกยุทธ์ก็ต้องมีระดับสี่แน่นอน ซึ่งนั่นก็คือแดนบรรพเทพและเซียนในตำนาน

ทันทีที่บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้า ก็หมายความว่าหลัวซิวจะก้าวจากระดับสองของการฝึกยุทธ์สู่ระดับสาม นี่เป็นการแปรเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่ง และวิถีไร้ลักษณ์ของเขาก็จะได้รับการยกระดับอย่างใหม่เอี่ยมเช่นกัน

“เช่นนั้นก็ถึงเวลาไปตามหาโอกาสที่เป็นของข้าแล้วล่ะ”

หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว ก่อนจะเดินออกไปจากหอมิราจโดยไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย จากนั้นเงาร่างของเขาก็ค่อย ๆ หายไปจากส่วนลึกที่มีแสงเซียนลอยขึ้น

หากเขาทลายพันธนาการของแดนใหญ่บรรลุถึงเทพมารระดับเก้า เช่นนั้นเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่ศักยภาพยังไม่ฟื้นฟูกลับไปถึงมกุฎเทพระดับเก้า ก็ไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป เขาจะทำให้พสุดารานอกนภากลายเป็นสถานสิ้นชีพของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน!

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท