มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2839
คำพูดนี้ของชายหนุ่มชุดม่วงกล่าวได้ว่าหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปภายใต้ผลการฝึกตนในแดนเดียวกัน ความแตกต่างกันระหว่างพลังนั้นไม่ได้มากมายเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่อัจฉริยะอันดับต้น ๆ ช่องว่างของความแข็งแกร่งจะสั้นลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ตามคำพูดของชายหนุ่มชุดม่วง ดูเหมือนว่าหากคู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันอยู่ได้ไม่ถึงร้อยรอบ พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตรอด และจะถูกเขาสังหารอย่างไร้ความปราณี
เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้ที่สามารถอยู่ในมือของเขาได้ถึงร้อยกระบวนเท่านั้น ที่คุณสมบัติรักษาชีวิตของตนเอาได้
เมื่อครู่ก่อน ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ยังคงมีบุคลิกอ่อนโยนและสุขุม แต่เพียงพริบตาเดียวรังสีสังหารก็แผ่กระจาย หน้าตาดุดันโหดร้าย อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ ยากที่จะคาดเดาได้
“สงครามแดนเดียวกันงั้นหรือ?” ดวงตาของหลัวซิวรี่ลงเล็กน้อย ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย นับตั้งแต่ภพนี้ที่เขาก้าวเดินในเส้นทางนี้ เขาไม่ได้พบคู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันกับเขามานานแล้ว
บางทีประมุขเต๋าเฟิงเทียนแห่งแดนเซียนนอกนภาอาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งคนที่อยู่แดนเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าที่มีชีวิตอยู่มานานแสนนาน ไม่ใช่ชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน
ชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้าที่แงตัวว่ามาจากผู้นี้แข็งแกร่งและไร้ขีดจำกัด เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานแห่งห้วงดาราพื้นโลกเป็นแน่ เป็นคู่ต่อสู้แดนเดียวกันที่หาตัวจับได้ยาก
และเพราะเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อเขาได้เห็นว่าหลัวซิวก็เป็นเทพมารขั้นเก้าเช่นเดียวกัน จึงเห็นเป็นการล่าที่ถูกใจยิ่งนัก!
“ข้าจะลงมือแล้ว!”
ชายหนุ่มชุดม่วงคำรามเสียงต่ำ เขาพลิกมือครั้งหนึ่ง วิชาพลังอมตะก็ถูกปลดปล่อยออกมา เห็นเพียงแสงเทวะไร้ที่สิ้นสุดที่อยู่ในฝ่อมือของเขาปะทุขึ้นมา ราวกับกลายเป็นโลกาฟ้าดินแห่งหนึ่ง บดขยี้ตรงมายังหลัวซิว
“ปัง!”
หลัวซิวชกออกไปหนึ่งหมัด หมัดนี้ดูเหมือนว่าจะธรรมดาไม่มีพิษภัย แต่ความจริงกลับเต็มไปด้วยความเข้าใจและการตระหนักรู้ที่เขามีต่อธรรมเวชกาลร้าง
เห็นเพียงแสงเทวไร้ที่สิ้นสุดถูดหมัดของเขาโจมตีจนสลายไป ร่างเนื้ออันแข็งแกร่งดุดันได้รับผลกระทบอันยิ่งใหญ่ ฉีกกระชากสุญญากาศ ทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งส่งเสียงเฮือก ซวนเซถอยหลังไปหลายร้อยเมตร
“น่าสนใจ! เจ้ายิ่งแข็งแกร่ง การต่อสู้นี้ก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น!”
ชายหนุ่มชุดม่วงเงยหน้าหัวเราเสียงดัง ผมยาวสยายออก “เจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้รู้นามของข้า ข้ามีนามว่าหลงฉิงเทียน เจ้านามว่าอย่างไร?”
เผชิญหน้ากับความหยิ่งผยองของชายหนุ่มชุดม่วง หลัวซิวยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบดังเดิม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้านามว่าหลัวซิว”
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีใครใช้กำลังอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ แต่หลัวซิวกลับสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดม่วง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นอัจฉริยะแดนเดียวกันที่ครอบครองคุณสมบัติเป็นผู้สูงส่ง ก็ยังไม่สามารถต้านทานกสารโจมตีเมื่อครู่ของเขาได้
“ข้า หลงฉิงเทียนพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด หากเจ้าต่อสู้กับข้ารอบร้อยรอบแต่กลับยังไม่แพ้ ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า!”
ระหว่างที่พูด ร่างของหลงฉิงเทียนก็ขยับเล็กน้อย จากนั้นแสงเทวไร้ที่สิ้นสุดก็แผ่กระจายออกมาจากรอบตัวของเขา
ท่ามกลางแสงเทวเหล่านี้มีประกายของกฎธรรมเวชกระพริบอยู่ ธรรมเวชหลายสายเกี่ยวพันกันไปมา กลายเป็นมังกรเทพขนาดใหญ่มหาศาลนับร้อยตัวปรากฏขึ้น
“ทวยเทพมังกรคลั่ง!”
หลงฉิงเทียนคำรามเสียงดัง พลังเต๋าอันยิ่งใหญ่ มังกรเทพนับร้อยตัวบินวนไปมา ออร่าของมังกรเทพแต่ละตัวต่างเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งมหาศาล พลังนั้นเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับราชาเทพขั้นเก้าขั้นสูง!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอมตะเช่นนี้ หลัวซิวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพขั้นเก้าขั้นสูงนับร้อยล้อมโจมตี
“ผลการฝึกตนเทพมารขั้นเก้าแต่กลับสามารถสำแดงพลังอมตะที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นนี้ออกมาได้ ระดับของพลังอมตะวิชานี้ดูแล้วน่าจะสูงมาก เมื่อเทียบกับพลังอมตะระดับประมุขเต๋าแล้วยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่า!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลัวซิวคิดไปว่าพลังอมตะระดับประมุขเต๋า เป็นรองเพียงกระบวนท่าพลังอมตะวรยุทธเซียนเท่านั้น เขาเคยตระหนักรู้วรยุทธเซียนและพลังอมตะระดับประมุขเต๋า ย่อมรู้ถึงความแตกต่างของพลังอมตะระดับประมุขเต๋าและวรยุทธเซียนนั้นแตกต่างกันมากมายถึงเพียงใด
แต่พลังอมตะวิชานี้ที่หลงฉิงเทียนได้สำแดงออกมานั้น กลับมากยิ่งกว่าพลังอมตะระดับประมุขเต๋า แต่ก็ยังด้อยกว่าพลังอมตะวรยุทธเซียน สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวเข้าใจว่า ระหว่างพลังอมตะระดับประมุขเต๋าและพลังอมตะวรยุทธเซียน น่าจะยังมีอีกระดับหนึ่งดำรงอยู่
และระดับที่ว่านั้น ก็คือมกุฎเต๋า ก็เหมือนกับท่ามกลางแดนผู้สูงส่ง ผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้นก็คือขีดจำกัดของผู้สูงส่ง ส่วนแดนของมกุฎเต๋า ก็คือขีดจำกัดของแดนประมุขเต๋านี้
ดังนั้นเหนือพลังอมตะระดับประมุขเต๋า ก็คือพลังอมตะระดับมกุฎเต๋า เป็นรองแค่เพียงวรยุทธเซียน!
ภายใต้การล้อมโจมตีของมังกรเทพนับร้อย หลัวซิวโจมตีตนสลายไปทีละตัว ในชั่วพริบตา ทั้งสองปะทะกันนับพันครั้ง
หลัวซิวยังไม่ได้สำแดงพลังอมตะวรยุทธเซียน และไม่ได้สำแดงพลังอมตะที่ตนเองสร้างขึ้น แต่เป็นการกลั่นแปรพลังแห่งทวยเทพธรรมเวชชนิดต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง แม้จะเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่พลังอมตะทวยเทพสรรพสิทธิ์ที่เขาสำแดงนั้น ก็ยังคงทำให้คนที่เห็นรู้สึกถึงความตระการตา ทั้งประณีตและงดงาม
เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองสู้กันมากกว่าหกสิบกระบวน แต่ละรอบต้องปะทะกันไม่ต่ำกว่าพันครั้ง
คิ้วของหลงฉิงเทียนค่อย ๆ ขมวดลงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตลอดมาเขาจะสามารถกดหลัวซิวเอาไว้ได้ แต่กลับพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถจัดการเขาได้ภายในร้อยกระบวน
และในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ พลังอมตะกลั่นแปรมังกรเทพนับร้อยเพื่อช่วยในการต่อสู้มันได้เผาผลาญผลการฝึกตนของเขาไปเป็นจำนวนมหาศาล เกรงว่ายังไม่ทันฝืนไปถึงรอบที่หนึ่งร้อย ผลการฝึกตนของตัวเขาเองก็คงจะสูญสิ้นไปหมด
“มีผลการฝึกตนเทพมารขั้นเก้าเหมือนกัน แต่ผลการฝึกตนของเจ้าหนุ่มคนนี้มันหนายิ่งกว่าข้าเสียอีก!”
หลงฉิงเทียนสังเกตเห็นท่าทีของหลัวซิวไม่ได้มีความอ่อนแอลงเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว นั่นหมายความว่าผลการฝึกตนของคนผู้นี้ถูกเผาผลาญไปน้อยมาก
“โลกมหาศักดิ์แปดด้านมีอัจฉริยะเช่นนั้นด้วยหรือ?”
เพียงเสี้ยวความคิด มังกรหลายร้อยตัวได้กลายร่างเป็นแสงเทวและกลับคืนสู่ร่างของหลงฉิงเทียน และเมื่อเขากำจัดพลังอมตะวิชานี้แล้ว ผลการฝึกตนที่เกือบจะว่างเปล่าก็ฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมหาศาล
“ผู้เพื่อนยุทธ์เหตุใดจึงหยุดเสียล่ะ?”
หลัวซิวมองหลงฉิงเทียนด้วยความสงสัย เขาใช้ความบีบคั้นของวิกฤตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กฎพลังอมตะของทวยเทพสรรพสิทธิ์ของตนสมบูรณ์ เห็นว่าการตระหนักรู้ทวยเทพสรรพสิทธิ์ของตนลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ การผันแปรก็ยิ่งราบรื่นขึ้นดังใจหวัง แต่หลงฉิงเทียนกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
“ผู้เพื่อนยุทธ์ เจ้าเพียงป้องกันไม่โจมตี เช่นนี้ช่างไร้ความหมายเสียเหลือเกิน ข้าคิดว่าการโจมตีภายในร้อยกระบวนก็ยังยากแก่การทำลายค่ายคุ้มกันของเจ้า” หลงฉิงเทียนพูดพร้อมขมวดคิ้ว
เป็นดั่งที่หลงฉิงเทียนได้พูดออกมา ก่อนนี้หลัวซิวกลั่นแปรพลังอมตะเกณฑ์สรรพสิทธิ์ทวยเทพ สิ่งที่กลั่นแปรออกมานั้นทั้งหมดเป็นพลังอมตะประเภทค่ายคุ้มกันทั้งสิ้น แม้จะเผชิญกับการโจมตีของมังกรเทพนับร้อยที่เทียบได้กับราชาเทพขั้นเก้าขั้นสูง ก็ยังเป็นค่ายคุ้มกันที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ อยู่ยงคงกระพันอย่างมั่นคง
หลงฉิงเทียนเชี่ยวชาญด้านการโจมตี ด้วยวิชาพลังอมตะนี้ยากที่จะพบคู่ต่อสู้ในแดนเดียวกัน ไม่มีการต่อสู้ใดที่พ่ายแพ้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวอย่างมากนั่นคือผู้ที่เชี่ยวชาญด้านค่ายคุ้มกัน เพราะพลังอมตะวิชานี้ของเขาใช้พลังงานมหาศาล และไม่สามารถต่อสู้เป็นเวลานานได้
ดังนั้นในสายตาของหลงฉิงเทียน หลัวซิวบังเอิญมีความสามารถที่จะยับยั้งเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้ในศึกนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็เป็นตาของผู้เพื่อนยุทธ์แล้ว เจ้ามาคุ้มกันการโจมตีของข้า หากเจ้าสามารถต้านข้าไว้ได้ภายในการต่อสู้สิบครั้ง ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของ หลงฉิงเทียน หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบาง ๆ และพูดเอ่ยออกไปอย่างจริงจัง
“หา?”
เพียงพริบตาสีหน้าของหลงฉิงเทียนก็พลันแดงเถือกขึ้นมา นัยน์ตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ “ช่างอวดดีเหลือเกิน ในใต้หล้าภายใต้แดนเดียวกันนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถล้มข้าได้ภายในสิบกระบวน!”
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว ข้ายอมรับว่าพลังอมตะค่ายคุ้มกันของเจ้าแข็งแกร่งมา แต่เจ้าอย่าได้อวดดีเกินไปเลย ต่อให้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋ากดผลการฝึกตนลงมาอยู่ในแดนเดียวกับข้า ก็ยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้ภายในร้อยครั้ง เจ้าเอาอะไรมาพูดคำพูดเช่นนี้?”
“ความจริงชนะการโอ้อวดเสมอ เจ้าเตรียมรับกระบวนแรกของข้า!”
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไร แต่กลับลงมือทันทีแทน ครั้งแรกที่เขาลงมือก็เป็นตราต้าฮวง หมัดถูกล่อยออกไป พลังงานมหาศาล ราวกับจะโจมตีฟเดินให้แหลกสลาย มลายเป็นตรีภพว่างเปล่า
ตราต้าฮวง พลังอมตะวิชานี้หลอมรวมการตระหนักรูทั้งหมดที่หลัวซิวมีต่อธรรมเวชกาลร้าง ทำให้พลังของร่างเนื้อแข็งแกร่งสามารถปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มที่
ไม่เพียงเท่านั้น พลังอมตะวิชานี้ยังถูกเขาเพิ่มเติมและปรับแต่ง ผสานรวมพลังแห่งพลังเต๋าเวลา รวมถึงพลังเต๋าฉีกชั้นฟ้าที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีอีกด้วย
เมื่อเห็นหลัวซิวสำแดงพลังอมตะวิชานี้ หลงฉิงเทียนก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาย่อมรู้สึกได้ว่าพลังของพลังอมตะนี้น่าทึ่งเพียงใด
“ที่แท้เขาไม่ได้สำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาเลย หากว่าเมื่อครู่เขาสำแดงพลังอมตะวิชานี้……”
หมัดของหลัวซิวมาถึงตัวเพียงช่วงอึดใจ ไม่ได้หลงเหลือโอกาสให้หลงฉิงเทียนได้คิดมาก ห้วงจักรหยั่งรู้กระพริบหนึ่งครั้ง ของขลังชิ้นหนึ่งก็ลอยออกมา นั่นคือโล่ชิ้นหนึ่ง ด้านบนสลักเป็นตรามังกรเทพที่ดุดันเอาไว้ แสงเทวแผ่กระจายออกมา
“ปัง!”
วินาที่ต่อมา หมัดของหลัวซิวก็ปะทะเข้ากับโล่มังกรเทพ สามารถเป็นของขลังที่หลงฉิงเทียนพกติดตัวตลอดเวลาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ของขลังธรรมดา ถึงแม้ว่าโล่ชิ้นนี้จะเป็นของที่ตนกลั่นสมบัติขึ้นมา แต่พลังนั้นกลับสามารถเทียบเท่าได้กับภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้าชั้นยอด
ถึงจะเป็นการคุ้มกันระดับภัณฑ์ราชาเทพ แต่ก็ยังถูกหมัดของหลัวซิวโจมตีจนทะลุได้ในหมัดเดียว เห็นได้ชัดว่าพลังของตราต้าฮวงนี้มันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด
สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลว่า หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารขั้นเก้าแล้ว พลังรบของหลัวซิวก็ดูเหมือนจะสามารถเทียบเคียงได้กับมกุฎเทพขั้นเก้า!
เมื่อเห็นโล่มังกรเทพถูกโจมตีจนทะลุ สีหน้าของหลงฉิงเทียนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขารับรู้ได้ว่าตัวเองไม่สามารถต้านกระบวนนี้เอาไว้ได้ จึงได้ตัดสินใจอัญเชิญของขลังเรือโบราณในทันที รีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถอยออกมาได้หมื่นลี้!
เขาจากโลกามังกรเทพไท่ซูมายังโลกมหาศักดิ์แปดด้าน เพราะได้ยินจากบรรพอาจารย์มาว่าที่ห้วงดาราพื้นโลกจะมีโอกาสจุติเซียนปรากฏขึ้น ดังนั้นจึงได้เข้ามาเพื่อสำรวจดู ในเวลาเดียวกันก็คิดจะพบปะกับเหล่าอัจฉริยะชั้นยอดแห่งห้วงดาราพื้นโลกดูเสียหน่อย
เพียงว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าหลังจากมาถึงได้ไม่นาน เขาจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้
“ผู้เพื่อนยุทธ์ ก่อนหน้านี้ยังมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เลยมิใช่หรือ? นี่เพิ่งจะเป็นเพียงกระบวนแรก เหตุใดจึงจะหนีเสียแล้วเล่า?”
หลัวซิวสีหน้าเย็นชา กฎปริภูมิและความเร็วรวมเข้าด้วยกัน เพียงพริบตาก็สามารถไล่ตามได้ทัน
ถึงแม้ว่าระหว่างเขากับหลงฉิงเทียนจะไม่ได้มีบุญคุณความแค้นกัน แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าหากพลังของเขาไม่มากเพียงพอ ไม่สามารถต้านทานหนึ่งร้อยกระบวนนั้นได้ หลงฉิงเทียนผู้นี้ก็จะสังหารเขาจริง ๆ
เผชิญหน้ากับผู้ที่มีเจตนาฆ่าต่อตนเอง ในเมื่อหลัวซิวได้ลงมือแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางปราณีแต่อย่างใด
“ตราประทับหงฮวง(ล้นร้าง)!”
มือของหลัวซิวเปลี่ยนตราประทับ วินาทีที่ตราประทับหงฮวงสำแดงออกมา อนัตตาฟ้าดินนับหมื่นลี้ก็พลันถูกปกคลุม เตาเพลิงธรรมเตาหนึ่งปรากฏขึ้น กลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง
ในขณะเดียวกัน ยังมีหอคอยฮวงปรากฏขึ้น พุ่งตรงไปบดขยี้หลงฉิงเทียน
การกลั่นแปรของเต๋าอหังการและการกดทับของเต๋าร้าง เรียกได้ว่าเป็นการผสานที่ลงตัวที่สุด ภายใต้การกดทับของออร่าหอคอยฮวง หลงฉิงเทียนรู้สึกได้ทันทีว่าความเร็วของตนช้าลงหลายสิบเท่า วิกฏฤติความเป็นตายปะทุขึ้นในหัวใจ
“หากข้าไม่หนี จะให้รอถึงสิบกระบวนหรือ? เกรงว่าแม้แต่กระบวนเดียวของคนผู้นี้ข้าก็คงต้านไว้ไม่ได้!”
หลงฉิงเทียนไม่อยากตายอยู่ที่นี่ เห็นเพียงเขาคำรามออกมาด้วยความโกรธ บริเวณจุดตันเถียนของเขารัศมีเทวะลอยออกมา กลายเป็นหอกมังกรที่ทรงพลังและดุร้าย
“หอกเทพมังกรคลั่ง ทำลายมัน!”
ในมือของเขาถือหอกมังกร หอกรบแทงออกไป แสงหอกราวกับมังกร ประกอบด้วยศรัทธาและความกล้าหาญของเขาที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ
ท่ามกลางเสียงอึกทึกคึกโครม หอกมังกรชนเข้ากับหอคอยฮวงที่กดทับลงมา กลับทำให้หลัวซิว หอคอยฮวงที่หลัวซิวใช้ธรรมเวชกาลร้างกลั่นแปรออกมาถูกโจมจีจนแหลกสลายเป็นแสงสีทองไปทั่วทั้งฟ้า
ทำลายหอคอยฮวงแล้ว ตราประทับหงฮวงก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ความเร็วที่ถูกกดเอาไว้นั้นหายสาปสูญไปในชั่วพริบตา หลงฉิงเทียนรนลานหาทางหนีอย่างเร่งรีบ ไม่สนใจอาการที่ถูกแรงกระแทกจนกระอักเลือด
หลงฉิงเทียนไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึง จะมีวันที่ตนต้องหนีสุดชีวิตด้วยความอับอายเช่นนี้