มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2844
ผลักเปิดประตูหอคอยหลังนี้ หลัวซิวก็เคยจินตนาการภาพฉากภายในหอคอยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองเห็นภายในหอคอย สีหน้ากลับผงะเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่เขามองเห็นแตกต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการในก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเลย
ภายในหอคอยที่โบราณและเรียบง่าย มีแสงเทียนสลัว ๆ มีเพียงชายผมหงอกคนหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมหนึ่งใบ
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
ชายผมหงอกที่อยู่ภายในหอคอยลืมตาขึ้นมาช้า ๆ กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปทางหลัวซิวที่กำลังยืนอยู่หน้าหอคอย
เมื่อเพ่งมองฝ่ายตรงข้าม รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลง ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ปลดปล่อยคลื่นออร่าผลการฝึกตนออกมาจากร่างกายเลยแม้แต่น้อย แต่สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เขา ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถต่อกรได้ด้วยอย่างแน่นอน
“ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์มาแล้ว ไยจึงยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่เข้ามานั่งก่อนหรือ?”ชายผมหงอกยิ้มพลางเอ่ยปากพูด
“การเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง”
หลัวซิวก้าวเท้าเดินเข้าไป จากนั้นเขาก็พบว่าฝั่งตรงข้ามของชายผมหงอกมีเบาะนั่งทรงกลมปรากฏอีกหนึ่งใบ เขาจึงเดินลงไปนั่งลงในท่าขัดสมาธิ
“ผู้อาวุโสใช่เจ้าแห่งอาณากระบี่หวูจี๋หรือไม่ขอรับ? ไยจึงต้องให้ข้าเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่ด้วยเล่า?”หลังจากที่หลัวซิวนั่งลงแล้ว เขาก็ถามคำถามในใจออกมา
“เหอะ ๆ ผู้เพื่อนยุทธ์เฉลียวฉลาดมาก ข้าเป็นเจ้าแดนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋จริง ๆ แต่ทว่ากลับไม่ใช่เจ้านายอาณากระบี่หวูจี๋ที่แท้จริงแต่อย่างใด”ชายผมหงอกยิ้มพลางตอบกลับ
เจ้าแดนและเจ้านาย ฟังดูตะหงิดมาก แต่กลับมีความหมายลึกซึ้งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแฝงซ่อนอยู่ภายใน
จิตใจหลัวซิวเข้มงวดขึ้นมาเล็กน้อย เท่าที่เขาทราบมา เจ้าแดนในปัจจุบันของอาณากระบี่หวูจี๋เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าแล้ว และดูเหมือนเบื้องหลังอาณากระบี่หวูจี๋ยังมีเจ้านายที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง และนี่ก็คือข่าวคราวที่เขาได้รับจากคำพูดของชายผมหงอก
“ผู้น้อยไม่ค่อยเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสขอรับ”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้ เขาหวังว่าจะสามารถได้รับข่าวกรองที่มีมูลค่ามากกว่าจากปากฝ่ายตรงข้าม
“ผู้อาวุโส? เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าตั้งแต่ที่เจ้ามาถึงที่นี่เป็นต้นมา ข้าก็เรียกแทนเจ้าว่าผู้เพื่อนยุทธ์มาโดยตลอด ไยเจ้าจึงต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสด้วยเล่า?”
ชายผมหงอกส่ายหน้า “บางทีผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของข้าอาจสูงกว่าเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในอดีตชาติหรือปัจจุบัน ล้วนถูกลิขิตไว้แล้วว่าอนาคตเจ้าต้องอยู่เหนือข้าแน่นอน”
“ขอแนะนำตัวก่อน ข้ามีนามว่าตู๋กู และเป็นผู้บุกเบิกอาณากระบี่หวูจี๋ หากเจ้าไม่รังเกียจละก็ สามารถเรียกข้าว่าผู้เพื่อนยุทธ์ตู๋กู”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกสงสัยมาก ในเมื่อตัวเองเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแดน ไม่นึกเลยว่าจะได้เรียกแทนฝั่งตรงข้ามดั่งคนรุ่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก สำนักน้อยอาณากระบี่ก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้นแหละ ข้าก็ปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ ให้พาเจ้ามาอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน”ชายผมหงอกตอบกลับ
“แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์ของผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้ใดรึ?”หลัวซิวเพ่งมองฝ่ายตรงข้ามพลางถาม
“ฉายาบนวิถียุทธ์ของอาจารย์ท่านคือหวูจี๋ คงอยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่อย่างยิ่ง และเป็นผู้แข็งแกร่งที่เกือบจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว……”
ชายผมหงอกอมยิ้มพลางตอบกลับ สายตาร่วงลงบนตัวหลัวซิว “เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน แม้นจักกราบไหว้อาจารย์ช้ากว่าข้าเล็กน้อย แต่ผลสำเร็จในอนาคตกลับถูกลิขิตไว้แล้วว่าจักสูงกว่าข้า”
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา หลัวซิวก็งงงันไปภายในพริบตา แล้วนึกโยงถึงเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเสี้ยววินาที
ตู๋กูที่บุกเบิกอาณากระบี่หวูจี๋ด้วยตนเอง? นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่คงอยู่ในยุควัฏสงสารมิใช่หรือ? เมื่อครู่ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามแนะนำตัวเขาก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก บัดนี้เมื่อลองมานึกดูดี ๆ เขาถึงจะเข้าใจได้อย่างฉับพลัน
หากเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าคนหนึ่งจริง ๆ แล้วจะมีทางมีชีวิตคงอยู่มาตั้งแต่ยุควัฏสงสารจวบจนปัจจุบันได้อย่างไร?
ส่วนตู๋กูกลับบอกว่าตัวเองก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน ในภพชาตินี้ของตัวเอง หลังจากมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว ยังไม่เคยกราบไหว้ผู้ใดเป็นอาจารย์มาก่อนเลย สำหรับผู้แข็งแกร่งที่สามารถอยู่เบื้องหลังเจ้าแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ได้นั้น ผู้ที่หลัวซิวนึกถึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ซึ่งคนดังกล่าวก็คืออาจารย์ในอดีตชาติของเขา!
อย่างไรก็ตามในอดีตชาติเขาเคยเข้าไปบำเพ็ญตนในหุบเขาผนึกปีศาจพร้อมกับอาจารย์ ทว่ากลับไม่เคยทราบชื่อของอาจารย์เลย
“เจ้าเองก็น่าจะนึกได้แล้วสินะ ในภพชาติของไท่ซ่างฉิง เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว เนื่องจากอาจารย์เมื่อครั้นนั้นอยู่ในสภาวะถูกกดอัดผนึก ทั้งคาดการณ์ได้ล่วงหน้าด้วยว่าเจ้าในภพชาตินั้นต้องดับสลายสูญสิ้นแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจ้าทราบเยอะมากนัก คอยเจ้ากลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสารแล้วกำเนิดในภพชาตินี้ ท่านถึงได้ให้เจ้ากลับสำนักอีกครั้ง”
ตู๋กูพูดอย่างเชื่องช้า “ความเป็นมาของอาจารย์เราเก่าแก่อย่างยิ่ง ครั้นโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดยังไม่มีวิวัฒนาการออกมา อาจารย์ท่านก็คงอยู่มาตั้งแต่บัดนั้นแล้ว ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าที่ใกล้จะบรรลุเป็นเซียน”
“อาจารย์ท่านสัมผัสได้ว่ามีมหันตภัยจะมาเยือน ซึ่งมหันตภัยในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นเซียน แต่กลับเกี่ยวโยงกับสรรพสิ่ง เมื่อเจ้ามีตัวตนเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว หากเคลื่อนไหวในโลกต่าง ๆ ก็จะสะดวกสบายหน่อย”
“ในส่วนของการประเมินของเจ้าสำนักน้อยนั้น น่าจะไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเจ้าในตอนนี้เลย ในบรรดาวัยรุ่นยุคใหม่ของอาณากระบี่ ไม่มีคนใดที่สามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของตู๋กู หลัวซิวก็ยากที่จะระงับความตื่นเต้นในใจ “อาจารย์ยังสบายดีหรือไม่?”
เขานึกถึงอดีตชาติของตัวเอง ในภพชาตินั้นตัวเองมีนามว่าไท่ซ่างฉิง ฝึกตนอย่างสุดกำลังสามารถก็เพื่อสามารถช่วยให้อาจารย์หลุดพ้นออกมาจากหุบเขาผนึกปีศาจ
“อาจารย์สบายดีมาก ท่านเคยบอกว่าเจ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงาม น่าเสียดายที่ชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปสรรค”
ตู๋กูพูดอย่างทอดถอนใจหนึ่งประโยค “เจ้าตามข้ามา ข้าจักพาเจ้าไปพบอาจารย์”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เห็นเพียงตู๋กูหยิบฮู๋ออกมาหนึ่งชิ้น หลังจากเขากระตุ้นฮู๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากฮู๋ ร่วงลงบนพื้น แล้วกลายเป็นลักษณะของค่ายกลหนึ่งค่าย มีคลื่นปริภูมิที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้งไปทั่ว
หลัวซิวเดินเข้าไปในค่ายกลพร้อมกับตู๋กู จากนั้นก็มองเห็นเส้นทางเส้นหนึ่งที่มีแสงสีมากมายหลากหลายพิลึกกึกกือปรากฏในอนัตตา บริเวณรอบ ๆ คือมิติห้วงเวลาที่บิดเบียว
หลังจากเคลื่อนที่อยู่ในเส้นทางอนัตตานี้มาไม่รู้นานเท่าไหร่ เมื่อภาพฉากบริเวณรอบ ๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลัวซิวก็พบว่าตัวเองมาถึงกลางห้วงดาราแห่งหนึ่ง
ส่วนด้านหน้าของเขา มีแผ่นดินที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตผืนหนึ่งลอยอยู่ในส่วนลึกของห้วงดารา ในขณะเดียวกัน เขายังสัมผัสได้ด้วยว่าบนพสุธาห้วงดาราที่อยู่ตรงหน้านี้มีเกณฑ์พลังเต๋าซัดสาด มีธรรมที่แตกต่างของหมื่นจักรวาล
“นะ นี่คือ……”หลัวซิวรู้สึกช็อกมาก หากไม่ใช่เพราะออร่าเกณฑ์พลังเต๋าของที่นี่แตกต่างจากพสุดารานอกนภา เขาคงคิดว่าตัวเองมาถึงพสุดารานอกนภาแล้ว
“ไม่มีอะไรน่าตะลึงหรอก เจ้าเคยไปพสุดารานอกนภา ก็น่าจะทราบแล้วว่าเซียนนอกนภาที่กล่าวถึงนั้นก็อยู่ในแดนมกุฎเต๋าเช่นกัน ส่วนอาจารย์ของเราก็อยู่ในระดับมกุฎเต๋ากึ่งเซียนเช่นกัน การที่จะบุกเบิกพสุธาห้วงดาราที่มีเกณฑ์ฟ้าดินนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว”ตู๋กูยิ้มแล้วพูด
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลัวซิวก็พยักหน้าหงึก ๆ ที่นี่คล้ายคลึงกับพสุดารานอกนภาจริง ๆ แต่ทว่าออร่าเกณฑ์พลังเต๋าแตกต่างกัน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าธรรมที่อาจารย์ของพวกเขาฝึกแตกต่างจากมกุฎเต๋านอกนภา
“พสุดาราแห่งนี้มีนามว่าโลกาอนัตตาหวูจี๋”ตู๋กูยิ้มพลางพูด ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สัมผัสออร่าของจอมยุทธ์จำนวนมากได้จากพสุดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้เช่นกัน
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเกณฑ์ฟ้าดินในโลกาอนัตตาหวูจี๋ก็สมบูรณ์ครบถ้วนมาก มีอสูรจิตถูกหล่อเลี้ยงออกมาที่นี่ และยิ่งแพร่พันธุ์จนมีอารยธรรมวิถียุทธ์
“ตามข้ามา”ตู๋กูเดินนำอยู่ด้านหน้า ในขณะเดียวกันเขาก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโลกาอนัตตาหวูจี๋ให้หลัวซิวฟังด้วย อ้างอิงจากคำพูดของตู๋กู ยังมีอีกจุดหนึ่งที่โลกาอนัตตาหวูจี๋แตกต่างจากพสุดารานอกนภา นั่นก็คือผู้คนโลกาภายนอกไม่ทราบการคงอยู่ของโลกาอนัตตาหวูจี๋ และมันก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในโลกาดาราใด ๆ ของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดด้วย
ภายใต้การนำพาของตู๋กู หลัวซิวมาถึงจุดศูนย์กลางของโลกาอนัตตาหวูจี๋ ที่นี่มีเขาเซียนที่โบราณและเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งลูก บริเวณกลางเขาเซียนมีเมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป ซึ่งจะมีอสูรพิลึกล้ำค่าต่าง ๆ นานาบินผ่านไป คำรามและส่งเสียงร้อง ซึ่งในบรรดาอสูรพิลึกทั้งหมดนั้น ไม่ขาดแคลนอสูรกลายพันธุ์โบราณที่มีพลังแห่งสายเลือดแข็งแกร่ง
ตรงเมฆหมอกบริเวณกลางเขามีแท่นหินหนึ่งแท่นลอยอยู่กลางนภา และตู๋กูก็พาหลัวซิวร่วงลงบนแท่นหินดังกล่าวนี่แหละ
“แท่นหินนี่มีนามว่าแท่นเหวิ้นเต้า หากอสูรจิตที่คงอยู่ในโลกาอนัตตาหวูจี๋ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้า ก็จะมีสิทธิ์มาที่นี่เช่นกัน ขอแค่ผ่านการประเมินต่าง ๆ ก็จะสามารถกลายเป็นลูกศิษย์ในนามอาจารย์ท่านได้”
ตู๋กูแนะนำให้หลัวซิวฟัง “แต่ทว่าศิษย์น้องเจ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ตั้งนานแล้ว จึงไม่ต้องไปเข้าร่วมการประเมินพวกนั้น”
เดินอยู่บนขั้นบันไดบริเวณกลางเขา หลัวซิวปีนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมกับตู๋กู ทั้งสองที่อยู่ในนี้ไม่ได้โบยบินแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการเคารพและมารยาทที่แสดงต่ออาจารย์
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็มองเห็นกระท่อมฟางหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเขาเซียน ด้านหน้าของกระท่อมฟางมีปัญญาชนที่อยู่ในชุดขาว ซึ่งดูอ่อนแอและเปราะบางมาก ๆ ในมือเขากำลังถือหนังสือเล่มหนึ่งที่เก่าจนเหลือง พลางอ่านมันอย่างได้อรรถรส
ตู๋กูก็มองเห็นปัญญาชนคนดังกล่าวเช่นกัน ก่อนที่เขาจะรีบย่างเท้าเดินตรงไป “ศิษย์พี่หยุน ท่านออกจากการปิดขังตั้งแต่เมื่อใดขอรับ?”
“ศิษย์พี่?”เมื่อได้ยินสรรพนามที่ตู๋กูเรียก หลัวซิวก็รู้แล้วว่าปัญญาชนคนนี้ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋เช่นกัน ก่อนหน้านี้ตู๋กูเคยบอกกับเขาแล้วว่าศิษย์เต็มตัวของอาจารย์นั้นมีไม่น้อยเลย
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคือ ไม่ว่าเขาจะดูยังไงก็รู้สึกว่าปัญญาชนคนนี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เขามองตู๋กูไม่ทะลุ แต่กลับทราบอยู่ว่าตู๋กูลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ปัญญาชนคนนี้มอบให้เขานั้น กลับไม่มีความรู้สึกที่พิเศษเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเพราะความรู้สึกที่ธรรมดาเรียบง่ายเช่นนี้นี่แหละ กลับทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของปัญญาชนคนนี้
ปัญญาชนวางหนังสือในมือลง มองไปทางตู๋กูด้วยใบหน้าที่อมยิ้ม แล้วมองไปทางหลัวซิวรอบหนึ่ง “ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องเล็กกลับสำนัก ย่อมต้องออกจากการปิดขังเพื่อมาต้อนรับอยู่แล้ว”
“หลัวซิวกราบคารวะศิษย์พี่ขอรับ”หลัวซิวเดินเข้าไปก้มคำนับ
“หลัวซิว? ศิษย์น้องเล็กมิใช่ไท่ซ่างฉิงหรือ? ใช่สิ เจ้ากลับชาติมาเกิดแล้ว ดูท่าคงปล่อยวางอดีตไปได้โดยสิ้นเชิงแล้ว สภาพจิตใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากเลยนะ”
ปัญญาชนอมยิ้ม “ข้ามีนามว่าหยุนอี้ แม้นจักเข้าสำนักอาจารย์เร็วกว่าเจ้าเล็กน้อย แต่หากพูดถึงความสามารถและพรสวรรค์แล้ว ในบรรดาศิษย์พี่น้องทั้งหลาย เจ้ากลับเป็นผู้ที่อาจารย์ท่านให้ความสำคัญมากที่สุด”
“ได้พบหน้าแล้ว พวกเจ้าไปเข้าเฝ้าอาจารย์เถิด ข้าขออ่านหนังสือสักครู่”หยุนอี้ยิ้มพลางพูด
“ไปกันเถอะ”
ตู๋กูพยักหน้า ก่อนจะพาหลัวซิวมุ่งหน้าเดินไปยังยอดเขาต่อ
ระหว่างที่เดินอยู่บนขั้นบันได หลัวซิวอดถามตู๋กูไม่ได้ “ผลการฝึกตนของศิษย์พี่หยุนอี้ท่านนั้นบรรลุถึงแดนใดแล้วหรือ?”
“ข้าก็มิทราบเช่นกัน”ตู๋กูส่ายหน้า “ครั้นข้ากราบไหว้อาจารย์เป็นศิษย์เต็มตัว ศิษย์พี่หยุนอี้ในตอนนั้นก็เป็นอย่างปัจจุบันแล้ว แดนของท่านบรรลุถึงแดนที่เป็นแก่นแท้อย่างแท้จริง อาจารย์เคยบอกว่าในบรรดาศิษย์พี่น้องทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถในการตระหนักรู้สูงที่สุด”
“ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งช่วงปลาย แต่กลับยังมองศิษย์พี่หยุนอี้ไม่ทะลุอยู่เช่นเคย บางทีแดนของศิษย์พี่หยุนคงบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าแล้ว”ตู๋กูกล่าวเช่นนี้
“แดนประมุขเต๋า!?”
หลัวซิวตกตะลึงหนักมาก อ้างอิงจากคำพูดของลู่ยู่จื่อ หากในยุคปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคงอยู่ 12 คน เช่นนั้นมกุฎเต๋านอกนภาและมกุฎเต๋าหวูจี๋ต่างต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน ศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋านอกนภาอย่างนักพรตเฟิงเทียนก็อยู่ในแดนประมุขเต๋าเช่นกัน มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็มีศิษย์ที่เป็นประมุขเต๋าด้วย อย่างน้อยนี่ก็มีประมุขเต๋าสี่คนแล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวและตู๋กูก็มาถึงบนยอดเขา แล้วมองเห็นพระราชวังหลังหนึ่ง ด้านบนของพระราชวังมีป้ายทองแขวนอยู่หนึ่งชิ้น ซึ่งด้านบนมีคำว่าตำหนักหวูจี๋เขียนอยู่
หน้าประตูตำหนักหวูจี๋มีชายหนุ่มสองคน ผู้ที่มีคุณสมบัติมาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ และมีตัวตนเป็นศิษย์ในนามมกุฎเต๋าหวูจี๋ ซึ่งไม่ใช่ศิษย์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
“กราบคารวะศิษย์พี่ขอรับ”ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินมาด้านหน้าตู๋กู ก่อนจะก้มคำนับอย่างเคารพนอบน้อม
ตู๋กูผงกหัวแล้วพูดกับหลัวซิวที่อยู่ข้างกาย “แม้นเจ้าสองคนนี้เหมือนดั่งเด็กหนุ่ม แท้จริงแล้วต่างเป็นอสูรยักษ์ที่ฝึกตนมาหลายร้อยล้านปีแล้ว ต่างอยู่ในแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้า”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็ไม่รู้สึกแปลกใจมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวสำนึกของเขาพิเศษ จึงสัมผัสคลื่นผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิเทพที่แพร่กระจายออกมาจากตัวชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ตั้งนานแล้ว
เป็นถึงจักรพรรดิเทพระดับเก้า แต่ก็เป็นได้เพียงคนเฝ้าประตูของที่นี่ ท่าทางอำนาจของอาจารย์ในอดีตชาติของตนก็ไม่เล็กน้อยเลยนี่