มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2845
เมื่อดูจากด้านนอก ตำหนักหวูจี๋เป็นเพียงพระราชวังหลังหนึ่งที่ดูธรรมดาและเรียบง่ายมาก ทว่าหลังจากที่เข้าไปแล้วถึงจะพบว่าภายในเป็นอีกโลกหนึ่งที่สุดยอดมาก
ภายในตำหนักหวูจี๋ได้ประกอบเป็นฟ้าดินผืนหนึ่ง มีพลังออร่าอันแข็งแกร่งของอสูรยักษ์กลายพันธุ์เก่าแก่ที่มีสายเลือดแข็งแกร่งหลากหลายประเภท ซึ่งในจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ ไม่ขาดแคลนจักรพรรดิเทพระดับเก้า ตลอดจนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
อย่างไรก็ตามอสูรยักษ์สุดน่าสยดสยองเหล่านั้นที่อยู่ในนี้กลับเชื่องมาก ๆ พลังออร่าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวก็ไม่มีความดุร้ายเหี้ยมโหดเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับสงบสุขและเป็นมงคลอย่างยิ่ง มาตรแม้นว่าเดินผ่านอสูรเสือตัวหนึ่งที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า อสูรเสือตัวนั้นก็แค่ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย มองแวบเดียวก่อนจะหลับตาแล้วนอนหลับต่อ
“ไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักหวูจี๋หรือเขาเซียนหวูจี๋นี่ ล้วนห้ามไม่ให้เข่นฆ่าและต่อสู้กัน ซึ่งนี่เป็นกฎเกณฑ์ที่อาจารย์ท่านกำหนดไว้ หากผู้ใดกล้าขัดขืน ผลที่ตามมาก็มีเพียงวิญญาณดับสลายสูญสิ้น ร่างตายธรรมสูญ ไม่อาจมีความปราณีแม้แต่น้อย”
จากการที่เดินไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าของหุบเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในฟ้าดินแห่งตำหนักหวูจี๋
“ศิษย์ตู๋กูน้อมรับคำสั่งนำพาศิษย์น้องกลับมาแล้ว ขอเข้าพบอาจารย์ด้วยขอรับ”ตู๋กูยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าของหุบเขา ก้มคำนับแล้วพูดอย่างเคารพนอบน้อม
วินาทีนี้ สภาพจิตใจของหลัวซิวตื่นเต้นไม่แน่วแน่มาก ในที่สุดเขาก็สามารถพบใบหน้าที่แท้จริงของอาจารย์ในอดีตชาติของตนสักที
“เวิ่ง!”
มีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากหุบเขา ร่วงลงบนพื้นแล้วกลายเป็นสะพานพระแสงหนึ่งสะพาน ตู๋กูรีบย่างเท้าเดินขึ้นไปบนสะพาน ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งซิกทางสายตาให้หลัวซิว เพื่อบอกให้เขาเดินตามมาเช่นกัน
หลัวซิวก็เดินขึ้นบนสะพานพระแสงด้วย จากนั้นภายใต้การนำพาของสะพานแสงเซียนดังกล่าว พวกเขาก็มาถึงภายในหุบเขา
ภายในหุบเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพืชไม้ใบหญ้า มีทะเลสาบแห่งหนึ่งที่คลื่นแสงบนผิวน้ำใสแจ๋ว มีปลากระโดดโลดเต้นอยู่เป็นระยะ ๆ แล้วร่วงตกลงไปในน้ำจนเกิดเป็นละอองน้ำ
บนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบแห่งนี้ มีเงาร่างชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดสีเขียวกำลังนั่งท่าขัดสมาธิ ใบหน้าดูอ่อนโยนและสงบสุข
“กราบคารวะอาจารย์ขอรับ”ตู๋กูเดินขึ้นไป แล้วก้มคำนับทำความเคารพ
ชายวัยกลางคนชุดเขียวพยักหน้า “เจ้าลงไปก่อนเถิด ให้หลัวซิวอยู่ต่อก็พอ”
“ขอรับ”เมื่อเผชิญหน้ากับมกุฎเต๋า ตู๋กูเคารพและรอบคอบอย่างยิ่ง ก่อนจะก้มคำนับแล้วถอยออกไป
ข้างทะเลสาบที่เงียบสงบจึงเหลือแค่เพียงมกุฎเต๋าหวูจี๋และหลัวซิว
เห็นเพียงมกุฎเต๋าหวูจี๋ขบขำเบา ๆ “อดีตชาติของเจ้าเคยมีบุพเพสันนิวาสเป็นศิษย์อาจารย์กับข้า ทว่าจากการดับสลายสูญสิ้นในอดีตชาติของเจ้า ทำให้บุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์นี้ก็สิ้นสุดลงเช่นกัน”
“ดังนั้นเมื่อข้าพบเจ้าจึงไม่ได้เรียกเจ้าว่าไท่ซ่างฉิง แต่เป็นหลัวซิว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตได้ผ่านพ้นไปแล้ว บุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์ของเจ้าและข้าจักเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่วินาทีนี้”
เมื่อได้พบมกุฎเต๋าที่แท้จริงท่านนี้ สภาพจิตใจของหลัวซิวกลับสงบนิ่งลง และคำพูดที่มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวมาในเมื่อครู่นี้ แท้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดในใจเช่นกัน ดังนั้นสีหน้าอารมณ์ของเขาจึงเรียบนิ่งปกติ แล้วรับฟังด้วยจิตใจที่สงบ
มกุฎเต๋าหวูจี๋สังเกตเห็นปฏิกิริยาของหลัวซิว เมื่อเห็นว่าลักษณะท่าทางของเขาดูเรียบนิ่งปกติ จึงแอบพยักหน้าเบา ๆ ผู้แข็งแกร่งส่วนมากหลังจากกลับชาติมาเกิดแล้ว ล้วนแต่จะปล่อยวางเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้ และเมื่อยิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ตัวเองยากที่จะอยู่เหนืออดีต เช่นนั้นการกลับชาติมาเกิดแล้วแสวงหาธรรมใหม่อีกครั้งจึงไม่มีความหมายใด ๆ อีก
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมาย บัดนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ามีคำถามอะไรก็สามารถถามข้าได้เลย”มกุฎเต๋าหวูจี๋อมยิ้มแล้วพูด
“ขออนุญาตถามมกุฎเต๋าอย่างบุ่มบ่ามหน่อยนะขอรับ ด้วยแดนมกุฎเต๋า ท่านถูกชิงเทียนผนึกได้อย่างไรขอรับ?”ทันทีที่ถาม หลัวซิวก็ยิงคำถามเช่นนี้เลย
เขาในตอนนี้รู้แล้วว่ามกุฎเต๋าคือขั้นสูงสุดของแดนประมุขเต๋า คือแดงกึ่งเซียน ซึ่งเป็นการคงอยู่ที่เป็นรองเพียงเซียนที่แท้จริง
ส่วนชิงเทียนกลับเป็นเพียงประมุขเต๋าคนหนึ่งในยุคไท่ชู แม้นต่างจะอยู่ในแดนมกุฎเต๋าเหมือนกัน แล้วมกุฎเต๋าหวูจี๋จะมีทางถูกผนึกง่าย ๆ ได้อย่างไร?
สำหรับคำถามนี้ของหลัวซิวนั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่นัก ก่อนจะอมยิ้มแล้วตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน: “แม้นชิงเทียนในยุคไท่ชูก็ถือเป็นอัจฉริยะที่ล้ำเลิศเช่นกัน แต่ถ้าเกิดพูดถึงเรื่องผนึกข้า ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้เสมอไป เมื่อปีนั้นผู้ที่ถูกผนึกสยบอยู่ในหุบเขาผนึกปีศาจ เป็นเพียงร่างแยกหนึ่งของข้าเท่านั้นแหละ”
มกุฎเต๋าหวูจี๋พูดถึงความลับช่วงหนึ่งในอดีต ซึ่งเอ่ยถึงแค่เรื่องราวที่ว่าเหตุใดร่างแยกของตนจึงถูกสยบ และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้เลย
“ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง ในเมื่อบุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์ของมกุฎเต๋าและข้าได้สิ้นสุดลงตั้งแต่อดีตชาติแล้ว เช่นนั้นไม่ทราบว่าหากข้าในภพชาตินี้กราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์ ท่านจะสามารถพร่ำสอนอะไรข้าได้บ้างขอรับ?”สายตาของหลัวซิวเพ่งมองมกุฎเต๋าหวูจี๋พลางถาม
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว มาตรแม้นว่าเป็นมกุฎเต๋าหวูจี๋ สีหน้าเขาก็ดูตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าหลัวซิวจะถามคำถามเช่นนี้
เขาคือมกุฎเต๋า แดนมกุฎเต๋านั้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับใด? หรือเจ้าหมอนี่คิดว่าตนที่เป็นมกุฎเต๋าผู้สง่าผ่าเผยจะสั่งสอนชี้แนะเจ้าไม่ได้อย่างนั้นรึ?
อย่างไรก็ตามเมื่อมกุฎเต๋าหวูจี๋ได้สบตากับหลัวซิว เขาก็สัมผัสความมั่นใจศรัทธาอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจเทียบเคียงได้จากส่วนลึกในสายตาหลัวซิวทันที
ชั่วชีวิตของมกุฎเต๋าหวูจี๋ยาวนานมาก ๆ เขาก็ถือว่าได้พบเห็นรู้จักกับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์มามากจนนับไม่ถ้วนแล้ว ทว่ากลับเป็นครั้งแรกที่สัมผัสความเชื่อมั่นศรัทธาที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้จากตัวจอมยุทธ์คนหนึ่ง
“เจ้าเคยไปแดนเซียนนอกนภามาแล้วหรือ?”จู่ ๆ มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็เอ่ยปากสอบถาม
หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ “ข้าฝ่าฟันทั้งเก้าด่านในแดนเซียนนอกนภามาแล้ว มกุฎเต๋านอกนภามีเจตนาที่จะรับข้าเป็นศิษย์ ทว่าข้าปฏิเสธไปแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง……”
มกุฎเต๋าหวูจี๋มองหลัวซิวด้วยความตะลึงเล็กน้อย เขาย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าการที่จะฝ่าฟันทั้งเก้าด่านในแดนเซียนนอกนภาได้นั้น มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากเพียงใด อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่มีปัญญามกุฎเต๋าเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้ และในอนาคต อัจฉริยะที่มีปัญญามกุฎเต๋านั้น มีศักยภาพที่สามารถนั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวเองได้ ซึ่งอัจฉริยะเช่นนี้หาพบได้ยากมากเพียงใด?
ตั้งแต่โบราณกาลมา ตั้งแต่วิวัฒนาการโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดจวบจนปัจจุบัน ผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่แดนมกุฎเต๋าได้นั้น สุดท้ายแล้วก็มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นแหละ
“ข้าแตกต่างจากนอกนภา สาเหตุที่นอกนภารับศิษย์นั้น เป็นเพราะอยากสืบสานวิถีเซียนตรีภพของตัวเอง และถ้าเกิดข้าเป็นอาจารย์เจ้า ข้าจักไม่จำกัดวิถีเส้นทางของเจ้า แต่จะทำให้เจ้าพัฒนาได้อย่างอิสระ”
มกุฎเต๋าหวูจี๋ตอบกลับอย่างผ่อนคลาย “วิถีเซียนของข้าคือวิถีแห่งหวูจี๋ หวูจี๋กำเนิดไท่จี๋ ไท่จี๋กำเนิดวิถี วิถีกำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สามกำเนิดสรรพสิ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นใช่ว่าวิถีเซียนของข้าจะเหมาะสมกับเจ้าเสมอไป ดังนั้นข้าแค่จะชี้นำเจ้า อนาคตเจ้าจะเดินบนวิถีเส้นทางอย่างไรนั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งพาตัวเจ้าเอง”
“ข้าสามารถดูออกอยู่ว่าเจ้าได้ริเริ่มวิถีเส้นทางที่เป็นของตัวเองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือแม้แต่ตัวข้าเองก็รู้สึกตะลึงในวิถียุทธ์ของเจ้ามาก เจ้ามีศักยภาพที่สูงส่งอย่างยิ่ง”
มกุฎเต๋าหวูจี๋ยิ้มอ่อน “จากตัวตนของข้า เมื่อพูดตามหลักการแล้วยังไม่ถึงขั้นที่ต้องรับคนคนหนึ่งเป็นศิษย์ แต่ถ้าเกิดพลาดอัจฉริยะเพชรเม็ดงามอย่างเจ้าไปแล้ว มันกลับเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง หลัวซิวก็สัมผัสได้ทันทีว่าภาพฉากบริเวณรอบ ๆ ปรวนแปรไปกะทันหัน เขากำลังอยู่ในพื้นที่ที่ขาวโพลนแห่งหนึ่ง
มีแสงมันวาวที่ไร้ขอบเขตกำลังวิวัฒนาการอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ก่อนจะปรากฏเป็นพื้นผิวธรรมเวชที่นับไม่ถ้วน
ภายในพื้นผิวธรรมเวชเหล่านี้ครอบจักรวาล มีห้วงเวลาการเวียนว่ายตายเกิด มีหยินหยางเบญจธาตุ และมีลมอัสนีตรีภพ แสงสว่างความมืดเปลี่ยนแปลงเป็นร้อยแปดพันเก้า และมีสวรรค์ ใต้ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นและร้าง……
พื้นผิวธรรมเวชเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน เริ่มจากตื้นเขินสู่สูงลึก ทำให้หลัวซิวดื่มด่ำอยู่ภายในโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตระหนักความล้ำลึกของธรรม
เดิมทีในอดีตหลัวซิวจะอาศัยการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์หลอมรวมเข้ากับความรู้ต่าง ๆ จนการตระหนักรู้ในกฎทวยเทพธรรมยกระดับถึงแดนมกุฎเทพระดับเก้า แต่ทว่าธรรมที่ถูกวิวัฒนาการออกมาในพื้นที่ที่ขาวโพลนแห่งนี้กลับพิถีพิถันกว่ามาก ทำให้เขาเติมเต็มส่วนที่ขาดตกบกพร่องในการตระหนักรู้ของตัวเอง ทำให้การตระหนักรู้ในรากฐานธรรมของเขาถูกปรับให้สมบูรณ์แบบขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การฝึกยุทธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นวิญญาณหรือกลั่นร่าง ต่างก็มีรากฐานเหมือนกัน ซึ่งรากฐานนั้นมีความสำคัญต่อจอมยุทธ์มากถึงมากที่สุดเลย
ส่วนการตระหนักธรรมก็มีรากฐานเช่นกัน มีเพียงรากฐานแข็งขันแล้ว ถึงจะสามารถอาศัยรากฐานที่มีอยู่ไปสัมผัสตระหนักธรรมที่มีระดับขั้นเหนือกว่า
เพราะถูกพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตัวเอง หลัวซิวจึงตระหนักธรรมที่เหนือชั้นกว่าได้ยากมาก เมื่อการตระหนักรู้ของเขาบรรลุถึงมกุฎเทพระดับเก้าช่วงกลาง เขาก็สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้า แม้นจะใช้ไร้ลักษณ์อนุมาน อัตราความก้าวหน้าก็เชื่องช้าอย่างยิ่ง
เขาสัมผัสเวลาที่ล่วงเลยไปไม่ได้เลย แม้นอัตราการก้าวหน้าจะเชื่องช้ามาก ๆ แต่ทว่าธรรมต่าง ๆ นานากำลังวิวัฒนาการอย่างพิถีพิถัน ทำให้การตระหนักรู้ของเขายังคงลึกซึ้งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ค่อย ๆ ยกระดับขึ้นไปถึงมกุฎเทพระดับเก้าช่วงปลาย
เมื่อยกระดับถึงแดนนี้ ก็เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว เขาไม่สามารถตระหนักความล้ำลึกของธรรมที่เหนือชั้นไปมากกว่านี้ได้แล้ว แต่ทว่าพื้นผิวของธรรมที่นับไม่ถ้วนกลับกลายสัญลักษณ์ทั้งหลายซึมหายเข้าไปในร่างกายเขา แม้นเขาจะไม่สามารถตระหนักความล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน แต่กลับได้บันทึกความล้ำลึกเหล่านั้นไว้ในร่างกาย เมื่อแดนของเขาได้รับการยกระดับแล้ว ความล้ำลึกเหล่านี้ก็จะปรากฏเองโดยปริยาย
หลัวซิวรู้สึกว่ากาลเวลาในพื้นที่ที่ขาวโพลนแห่งนี้ได้ผ่านพ้นไปสิบล้านปีแล้ว
ทันใดนั้นเอง เมื่อเขาฟื้นตื่นขึ้นมา พื้นที่สีขาวโพลนก็สลายหายไป เขามองเห็นใบหน้าที่กำลังอมยิ้มของมกุฎเต๋าหวูจี๋
“อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ สิ่งที่เจ้าพบเห็นและผ่านพ้นมา ก็คือการตระหนักรู้ในกฎทวยเทพธรรมของข้า ไม่ว่าธรรมที่เจ้าฝึกจะเป็นประเภทใด หากต้องการยกระดับอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วก็ต้องดูดซับแก่นสารที่อยู่ในกฎทวยเทพธรรมแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายตัวเองอยู่ดี อีกทั้งยกระดับแปรเปลี่ยนมันอีกขั้น ข้าจะไม่ถ่ายทอดวิธีการเดินบนวิถียุทธ์ให้เจ้า แต่ข้าสามารถถ่ายทอดความล้ำลึกของกฎทวยเทพธรรมให้เจ้า แล้วให้เจ้าไปหลอมรวมและแปรเปลี่ยนเอง”
“นอกจากนี้แล้วยังมีวรยุทธ์ของเจ้าด้วย วรยุทธ์กลั่นวิญญาณของเจ้าเป็นวรยุทธ์ที่ไท่ซ่างฉิงทิ้งไว้ ซึ่งถือเป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่ค่อนข้างสุดยอดเลย หากต้องการบรรลุเป็นเซียน การแปรเปลี่ยนจากช่องจิตเป็นภูตเซียนนั้นทำได้ยากมาก แต่ถ้าเกิดแปรเปลี่ยนจากช่องจิตเป็นญาณเทว แล้วเปลี่ยนจากญาณเทวเป็นภูตเซียนอีกที เมื่อเปรียบเทียบกันมันก็จะง่ายกว่าเยอะเลย ทว่าน่าเสียดายที่ไท่ชิงในยุคต้าเหยียนก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วก็ร่างตายธรรมสูญอยู่ในมหันตภัยอยู่ดี”
“หากต้องการบรรลุเป็นเซียน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือฝึกตนให้บรรลุสู่แดนประมุขเต๋า อนาคตไม่ว่าจะเดินบนเส้นทางร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์หรือวิญญาณกลายเซียน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้วล่ะว่าจะตัดสินใจอย่างไร”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มทีหนึ่ง ก่อนจะมีลำแสงดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเขา แล้วหายเข้าไปกลางหว่างคิ้วหลัวซิว
ทันใดนั้นเอง ข้อมูลจำนวนมากก็พรั่งพรูเข้าไปในสมองหลัวซิว หลอมรวมเข้าไปในความทรงจำของเขา ซึ่งมันก็คือวรยุทธ์วิชาหนึ่งนั่นเอง
วรยุทธ์ดังกล่าวมีนามว่าเคล็ดเซียนแปรเก้า
“ในส่วนของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณนั้น เจ้าฝึกเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณต่อได้เลย แม้แต่วรยุทธ์กลั่นวิญญาณทั้งหมดที่ข้ารู้จัก ก็ไม่มีวรยุทธ์ใดที่ประณีตสวยวิจิตรกว่าเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณแล้ว”
“ในส่วนของวรยุทธ์กลั่นร่างนั้น เจ้าสามารถเปลี่ยนมาฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าได้ เคล็ดเซียนดังกล่าวเป็นวรยุทธ์ที่ข้าริเริ่ม หากพูดถึงการตระหนักรู้ในธรรมเวชกลั่นร่างร้าง ข้าก็ลึกซึ้งกว่าผู้น้อยที่ริเริ่มหนังสือยุทธภัณฑ์นั่นมาก”มกุฎเต๋าหวูจี๋พูดอย่างเรียบนิ่ง
“ขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งที่ประทานวรยุทธ์ให้”หลัวซิวพูดอย่างเคารพนอบน้อม
เขาบอกว่าอาจารย์ ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขายินดีกราบไหว้มกุฎเต๋าหวูจี๋เป็นอาจารย์ ประคองบุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์ที่สิ้นสุดไปแล้วในอดีตชาติให้ต่อเนื่องออกไป
“ดีมาก ภพชาตินี้เจ้าก็ยังคงยินดีที่จะกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ ข้ารู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่ง มหันตภัยที่ไม่ด้อยกว่ายุคต้าเหยียนกำลังจะมาเยือนแล้ว เจ้าตั้งใจฝึกตนดี ๆ พยายามช่วงชิงความสามารถในการยืนหยัดและรักษาชีวิตตัวเองก่อนมหันตภัยจะมาเยือน”มกุฎเต๋าหวูจี๋ยิ้มอย่างชื่นใจพลางพูด
“มหันตภัย? ตกลงมหันตภัยเกิดเพราะเหตุใดกันแน่ขอรับ?”หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถามอย่างรู้สึกสงสัย
“มหันตภัยของหมื่นจักรวาล ล้วนเกิดจากพรหมเซียน ผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นโลกดาราของหมื่นจักรวาลล้วนอยากบรรลุเป็นเซียน เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องช่วงชิงพรหมเซียน จึงส่งผลให้มหันตภัยปะทุอย่างฉับพลัน”
มกุฎเต๋าหวูจี๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ซึ่งแตกต่างจากมหันตภัยที่ต่อต้านประมุขเต๋าสวรรค์และประมุขเต๋าวัฏสงสารที่ควบคุมกฎระเบียบเทียนเต้าในยุคไท่ชูและยุควัฏสงสารที่เจ้ารู้จัก มหันตภัยที่แท้จริงเป็นศึกสงครามระหว่างพื้นโลกดารา”
“เจ้าก็น่าจะทราบเช่นกันว่าก่อนยุคไท่ชูมียุคต้าเหยียน รวมไปถึงยุคสมัยที่เก่าแก่ยิ่งกว่า แต่ทว่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยนั้นตกทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันน้อยมาก ๆ ซึ่งมันก็เป็นเพราะความเวทนาของมหันตภัยนี่แหละ ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นจึงแทบจะถูกลบล้างทิ้งไปแล้ว”