มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2854
กลางสถานที่รกร้างว่างเปล่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ด้านหลังมีกงล้อเทพปรากฏเจ็ดวง กงล้อเทพวงที่แปดก็กำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในทัณฑ์สายฟ้าพิโรธเช่นกัน ค่อย ๆ ผนึกรวมกันเป็นแก่นแท้
แม้คุณวุฒิของตู๋กูเจี้ยนเฉินที่อยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋จะค่อนข้างเก่าแก่ แต่อย่างไรเสียเขาก็พิการมายาวนานมาก ๆ ส่วนปัจจุบันก็ใกล้จะบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ซึ่งไม่มีทางบรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อได้อย่างง่ายดายแน่นอน แต่ต้องเริ่มจากมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ
ขั้นตอนในการข้ามผ่านทัณฑ์ค่อนข้างราบรื่น ศักยภาพของตู๋กูเจี้ยนเฉินเกะกะระรานอย่างยิ่ง ทัณฑ์สายฟ้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าไม่สามารถต้านทานฝีเท้าที่รากฐานแน่นลึกของเขาได้ด้วยซ้ำ
ณ บัดนี้วินาทีนี้ ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธดำเนินการถึงช่วงท้ายแล้ว ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธแข็งแกร่งและน่าสยดสยองที่สุดเช่นกัน
ขอแค่สามารถต้านทานการโจมตีในช่วงสุดท้ายของอัสนีเทว การบรรลุของตู๋กูเจี้ยนเฉินก็จะสำเร็จ
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง หลัวซิวที่กำลังมองดูการข้ามผ่านทัณฑ์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลก็ขมวดคิ้วลงกะทันหัน เนื่องจากเมื่อครู่นี้ มีแรงสั่นสะเทือนสะท้อนออกมาจากญาณเทวดั้งเดิมที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา
เนื่องจากตัวสำนึกของเขาแปรเปลี่ยนถึงระดับญาณเทวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสสัมผัสหรือด้านความเฉียบไว ก็ล้วนอยู่เหนือตัวสำนึกของจอมยุทธ์ทั่วไป ดังนั้นบางครั้งหลัวซิวจึงสามารถสัมผัสสิ่งที่ผู้อื่นสัมพันธ์ไม่ได้ล่วงหน้า
ส่วนสิ่งที่เขาในวินาทีนี้สัมผัสได้คือมีวิกฤตการณ์ที่รุนแรงอย่างยิ่งกำลังพุ่งจู่โจมเข้ามาทางนี้!
“ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามระวัง มีภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กำลังประชิดใกล้เข้ามาทางนี้!”
หลัวซิวรีบตะคอกเสียงดังลั่น เอ่ยปากเตือนผู้อาวุโสมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามคนที่คอยคุ้มกันให้ตู๋กูเจี้ยนเฉิน ในมุมมองของเขา วิกฤตการณ์ที่ตัวเองสัมผัสได้นี้ น่าจะมีคนคิดจะทำลายการข้ามผ่านทัณฑ์ของตู๋กูเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินเสียงของหลัวซิว สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน แม้นผลการฝึกตนของพวกเขาจะสูงกว่าหลัวซิว แต่ในด้านความเฉียบคมของกระแสสัมผัสกลับเทียบเคียงกับญาณเทวตัวสำนึกของหลัวซิวไม่ได้
อีกทั้งพวกเขาไม่เคยมีจิตใจที่ดูหมิ่นเพียงเพราะหลัวซิวยังเป็นวัยรุ่น เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหลัวซิวมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่มาก ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ แสดงว่าต้องไม่มีผิดแน่นอน
ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการย้ำเตือนของหลัวซิว มหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามก็เริ่มสัมผัสภัยคุกคามที่กำลังประชิดใกล้เข้ามาได้ลาง ๆ เช่นกัน
มหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามสบตากันครั้งหนึ่ง มีความตึงเครียดทะลุออกมาจากแววตาของทั้งสาม
“ผู้ใดกันแน่ที่คิดจะทำลายการข้ามผ่านทัณฑ์ของผู้อาวุโสเจี้ยนเฉิน? ไม่นึกเลยว่าจะสามารถทำให้เราทั้งสามสัมผัสภัยคุกคามที่รุนแรงเช่นนี้ได้?”
ตู๋กูเฉิน ผู้อาวุโสระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อที่เป็นผู้นำพูดด้วยสีหน้าที่ดูตะลึงงัน
พวกเขาทั้งสามต่างเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของอาณากระบี่หวูจี๋ เมื่อพูดตามหลักแล้วในโลกร้างนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามได้นั้น ต้องมีน้อยมากถึงมากที่สุดแน่นอน
“ตู้มม!”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาจากอนัตตา มีศีรษะสีดำขลับที่ดูดุร้ายอย่างยิ่งฉีกกระชากปริภูมิ แล้วยื่นออกมาจากอนัตตา
ศีรษะสีดำนั่นดำปานหมึก ใหญ่โตปานภูเขา ดวงตาทั้งสองข้างตั้งอยู่ในแนวตั้ง มีเพลิงอัคคีสีเลือดที่ทำให้วิญญาณผู้คนสั่นคลอนเป็นประกาย เหมือนดั่งไฟเทียนที่กำลังลุกโชน
ถัดจากนั้น ปริภูมิของอนัตตาก็พังทลายแตกสลายเป็นวงกว้าง ตรีภพที่ซัดสาดแผ่กระจายออกมา มังกรอสูรตัวหนึ่งที่ยาวหลายพันเมตรส่ายหัวสะบัดหาง เริ่มเผยให้เห็นความดุร้าย
นี่คือมังกรจู๋หยินตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นพรายโหดไร้เทียมทานที่มีพลังแห่งสายเลือดแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทันทีที่มันปรากฏ ก็มีพลังออร่าที่ดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วฟ้าทันที
หลัวซิวเพ่งตามองไป เมื่ออยู่ในสายตาเขา การขวางกั้นของปริภูมิก็กลายเป็นระยะห่างที่ใกล้แค่เอื้อม เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าบนศีรษะของมังกรจู๋หยินตัวนั้นมีเงาดำยืนอยู่ห้าร่าง
ในบรรดาเงาดำทั้งห้าร่างนั้น คนที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มรูปงามที่ใบหน้าดูชั่วร้ายคนหนึ่ง ผมดำชุดคลุมยาวดำ รอบกายมีพลังออร่าที่ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้ง
“จ้าวปีศาจเสวียนหยิน!”
ตู๋กูเฉินตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี ผู้คนในโลกหล้ามีน้อยคนมากที่รู้ว่าวิถีปีศาจแบ่งออกเป็นหยินหยางสองสำนัก แต่ทว่าในฐานะที่เป็นระดับสูงของอาณากระบี่หวูจี๋กลับทราบเรื่องเหล่านี้อยู่ จึงย่อมต้องทราบการคงอยู่ของ จ้าวปีศาจเสวียนหยินคนนี้อยู่แล้ว
ต่างอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดพูดถึงศักยภาพในการต่อสู้แล้ว จ้าวปีศาจเสวียนหยินเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสุดยอดอย่างแน่นอน!
ในขณะเดียวกันตู๋กูเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดภัยคุกคามที่ตนสัมผัสได้ถึงรุนแรงเช่นนี้ ซึ่งภัยคุกคามดังกล่าวก็มาจาก จ้าวปีศาจเสวียนหยินที่อยู่ตรงหน้านี้นี่แหละ!
“ผู้เพื่อนยุทธ์ทั้งสองระวังตัวด้วยล่ะ ผู้นำของฝ่ายตรงข้ามคือ จ้าวปีศาจเสวียนหยินศักยภาพของมันน่าทึ่ง แทบจะสามารถเทียบทัดผู้สูงส่งเลย”ตู๋กูเฉินพูดกับผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสองคนที่อยู่ข้างกาย
“แข็งแกร่งเช่นนี้เลยรึ? แล้วเราควรจะต้านทานอย่างไร?”เมื่อผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกสองคนได้ยินคำพูดดังกล่าว ต่างก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที
มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อและผู้สูงส่งนั้นแตกต่างกันเยอะมาก หากเป็นอย่างที่ตู๋กูเฉินกล่าวมาจริง ๆ ศักยภาพของ จ้าวปีศาจเสวียนหยินนั่นเทียบทัดผู้สูงส่ง เช่นนั้นต่อให้พวกเขาทั้งสามคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวปีศาจเสวียนหยินแน่นอน
ผู้สูงส่งคนหนึ่งสามารถสยบมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อได้อย่างง่ายได้เลย มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้สูงส่งหรอก!
“ควรต้านทานอย่างไรก็ต้านทานอย่างนั้น นอกเสียจากเราทั้งสามจะตาย มิเช่นนั้นจะปล่อยให้ใครคนใดเข้าไปรบกวนการข้ามผ่านทัณฑ์ของผู้อาวุโสเจี้ยนเฉินไม่ได้เด็ดขาด”
ตู๋กูเฉินพูดด้วยแววตาที่แน่วแน่อย่างยิ่ง ตู๋กูเจี้ยนเฉินในวินาทีนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายของการข้ามผ่านทัณฑ์แล้ว ขอแค่สามารถยืนหยัดจนถึงวินาทีที่ทัณฑ์สายฟ้าสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายที่ชนะในศึกการต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว!
“ก็คงทำได้แค่นี้แล้วล่ะ!”ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกสองคนเห็นตู๋กูเฉินแสดงลักษณะท่าทีแล้ว จึงค่อย ๆ ระงับความรู้สึกหวาดหวั่นในใจลงไป มีความศรัทธาที่จะสู้สุดชีวิตทะลุออกมาจากแววตา
“จ้าวปีศาจเสวียนหยิน เจ้าสำนักหยินวิถีปีศาจหรือ?”
หลัวซิวยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกล เขาต้องได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนี้อยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ เขามีอำนาจเด็ดขาดในการตรวจสอบการบันทึกจำนวนมากในอาณากระบี่ ซึ่งในข้อมูลทั้งหมดที่เขาตรวจสอบ ก็มีการบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหยินหยางสองสำนักแห่งวิถีปีศาจเช่นกัน
แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ สำนักหยางอยู่ในที่สว่าง สำนักหยินอยู่ในที่ลับ ซ่อนเร้นอยู่ในความมืด ใช้ชีวิตอยู่ในการต่อสู้เข่นฆ่าตลอดทั้งวัน เมื่อมองจากคุณค่าบางอย่าง อันที่จริงสำนักหยินน่ากลัวกว่าสำนักหยางที่เปิดตัวสู่โลกภายนอกมาก ๆ
“ตายซะเถอะ!”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินไม่พูดอะไรสักคำ เห็นเพียงเขาก้าวเดินอยู่บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เดินลงมาจากศีรษะมังกรจู๋หยิน รอบกายมีจิตสังหารโอบล้อม พลางกระโจนไปทางผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายจ้าวปีศาจเสวียนหยินในตอนแรกก็ผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง พุ่งตรงไปยังตู๋กูเจี้ยนเฉินที่กำลังต้านทานทัณฑ์สายฟ้า และกำลังผนึกรวมกงล้อเทพวงที่แปดอยู่
ภายในเสี้ยววินาทีเดียว ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ได้ปะทุขึ้น ระดับของการต่อสู้หลักอยู่ที่จักรพรรดิเทพระดับเก้าตลอดจนมหาจักรพรรดิยุทธ์ จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิว เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นว่ามีจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งกระโจนเข้าไปสังหารตู๋กูเจี้ยนเฉินที่กำลังข้ามผ่านทัณฑ์ กิริยาท่าทางของหลัวซิวไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย หายวับไปกับที่ภายในพริบตา พลางควบคุมเกณฑ์ปริภูมิและความเร็วพร้อมกัน ในระหว่างที่เงาร่างกระพริบทีเดียว เขาก็ปรากฏข้างกายตู๋กูเจี้ยนเฉินแล้ว
“หลัวซิว เจ้า……”
เมื่อเห็นหลัวซิวปรากฏข้างกายตน สีหน้าของตู๋กูเจี้ยนเฉินจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้นเขาจะกำลังข้ามผ่านทัณฑ์อยู่ แต่กลับมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นรอบกายได้ชัดเจนมาก วินาทีนี้กำลังมีจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งกระโจรพุ่งสังหารเข้ามา
หากผลการฝึกตนของหลัวซิวยังเป็นอย่างในอดีตชาติ เขาต้องไม่มีความกังวลใจใด ๆ อยู่แล้ว ทว่าเขาในปัจจุบันเป็นเพียงเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย แล้วจะต้านทานจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งไหวได้อย่างไร?
“เจี้ยนเฉิน เจ้ากำลังข้ามผ่านทัณฑ์ จิตใจอย่าวอกแวกเด็ดขาด ปัญหาทางนี้ฝากให้ข้าจัดการเอง”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
ตู๋กูเจี้ยนเฉินอ้าปาก แต่หลัวซิวกลับหันหลังกลับไปแล้ว สายตาและตัวสำนึกผนึกไปที่จักรพรรดิเทพระดับเก้าที่พุ่งสังหารเข้ามานั่นพร้อมกัน
เพ่งมองเงาหลังของหลัวซิว ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงสภาพจิตใจ ณ วินาทีนี้ของตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่ ภาพเหตุการณ์นี้คล้ายคลึงกับเมื่อปีนั้นมากเพียงใดนะ? เมื่อปีนั้นเขาเกือบถูกเมิ่งเชียนชางสังหาร และก็เป็นเพราะการปรากฏตัวของหลัวซิวนี่แหละ ถึงได้ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้
“ไม่นึกเลยว่ามึงจะรนหาที่ตายเองอย่างนั้นหรือ?”
จักรพรรดิเทพระดับเก้าที่พุ่งสังหารเข้ามาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักหยิน เดิมทีจ้าวปีศาจเสวียนหยินได้จัดแจงให้ผู้คุมกฎมกุฎเทพระดับเก้าสามคนไปจัดการหลัวซิว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะมาปรากฏต่อหน้าเขาที่เป็นจักรพรรดิเทพระดับเก้าด้วยตนเอง
“ตายซะเถอะ!”
ผู้อาวุโสสำนักหยินหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะง้างมือพลังปล่อยฝ่ามือออกมา ปราณปีศาจที่ซัดสาดผนึกรวมกันเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่
“ตราต้าฮวง!”
หลัวซิวไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย มือประสานอินแล้วต้านรับเข้าไป ตราต้าฮวงและมือใหญ่ปราณปีศาจพุ่งชนเข้าด้วยกัน ทำให้ระเบิดแตกกะทันหันแล้วมีคลื่นอันน่าสยดสยองที่มโหฬารพันลึกม้วนซัดออกไป
มีเงาดำร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากคลื่นพลัง แน่นอนอยู่แล้วว่าเงาร่างที่กระเด็นออกไปต้องเป็นหลัวซิวอยู่แล้ว
ต่อให้ตราต้าฮวงของเขาจะประณีตสวยวิจิตรและแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นจากช่วงระยะความต่างที่มากล้นของผลการฝึกตน จากการปะทะในเมื่อครู่นี้ พลานุภาพของตราต้าฮวงจึงถูกทลาย
“หลัวซิว!”
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี หากหลัวซิวต้องดับสลายสูญสิ้นเพราะคุ้มกันตน เช่นนั้นคาดว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้แล้วล่ะ
“เป็นเพียงมดตัวจ้อยกระจอก ๆ ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลยรึ?”
เงาร่างของผู้อาวุโสสำนักหยินปรากฏกลางนภาสูง มีความเยาะเย้ยปรากฏในแววตา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับใดที่กลับชาติมาเกิด ทว่าในภพชาตินี้ขอแค่ผลการฝึกตนไม่สูง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยอยู่ดี
ในขณะเดียวกัน มกุฎเทพระดับเก้าทั้งสามคนที่มีหน้าที่สังหารหลัวซิวในตอนแรกก็ปรากฏข้างกายผู้อาวุโสสำนักหยินนั่นเช่นกัน
“หลัวซิวนั่นช่างกล้าหาญยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะกล้าต้านทานพลังอมตะของผู้อาวุโส แต่นี่ก็ทำให้เราประหยัดแรงได้ไม่น้อยเลย”ผู้คุมกฎมกุฎเทพคนหนึ่งหัวเราะแล้วพูด
“ตู้มม!”
ร่างกายของหลัวซิวเหมือนดั่งอุกกาบาตที่ตกลงมาจากชั้นบรรยากาศ ทำให้ยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไกลแตกสลาย แล้วเกิดเป็นฝุ่นละอองที่ตลบฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า
“ท่านผู้อาวุโส ตู๋กูเจี้ยนเฉินนั่นยังคงข้ามผ่านทัณฑ์อยู่ บัดนี้มันไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้เลยด้วยซ้ำ ให้เราทั้งสามลงมือช่วยผู้อาวุโสสังหารมันแทนดีไหมขอรับ?”
“ใช่ขอรับ ท่านผู้อาวุโส หากเราสามคนสามารถสังหารจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งที่ใกล้จะบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แค่คิดก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นดีใจแล้วขอรับ!”
ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามต่างพากันพูดคนละประโยค ราวกับความเป็นความตายของตู๋กูเจี้ยนเฉินล้วนถูกยึดกุมอยู่ในกำมือของพวกเขายังไงอย่างนั้น
“ก็ดี ข้าจักมอบโอกาสนั้นให้พวกเจ้าทั้งสามเอง!”ผู้อาวุโสสำนักหยินยิ้มพลางผงกหัว
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ผันร่างเป็นแสงกลภายในชั่วลมหายใจเดียว แล้วพุ่งสังหารเข้าไปทางตู๋กูเจี้ยนเฉิน
รอยยิ้มบนใบหน้าผู้อาวุโสสำนักหยินหายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือรอยยิ้มที่เยือกเย็นและหม่นหมอง เนื่องจากแม้นจะอยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการข้ามผ่านทัณฑ์ หากตู๋กูเจี้ยนเฉินนั่นยอมข้ามผ่านทัณฑ์ล้มเหลวแต่ก็จะสู้สุดชีวิตละก็ แม้แต่เขาเองก็มีโอกาสถูกการเอาเป็นเอาตายของฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ตลอดจนดับสลายสูญสิ้นได้เช่นกัน
ถึงแม้ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามคนนั้นจะไม่มาร้องขอตนเอง เขาก็จะออกคำสั่งให้พวกเขาลงมือเช่นกัน
ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามคนหารู้ไม่ว่าตัวเองติดกับโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังคิดไปเองอยู่เลยว่าตัวเองได้รับโอกาสที่จะได้ลงมือสังหารยอดฝีมือไร้เทียมทานคนหนึ่งด้วยน้ำมือตน
“พวกมึงล้วนสมควรตาย!”
ดวงตาทั้งสองข้างของตู๋กูเจี้ยนเฉินแดงเถือก จิตสังหารที่ไร้ขอบเขตได้ผุดขึ้นมาในหัวใจเขา เขาเห็นแล้วว่าผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามที่คอยคุ้มกันตนถูกจ้าวปีศาจเสวียนหยินถ่วงเวลาเอาไว้ ซึ่งวินาทีนี้พวกเขาไม่สามารถมาช่วยตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ
“ต่อให้กูตู๋กูเจี้ยนเฉินต้องตาย กูก็จะลากพวกมึงไปลงนรกด้วย……”
เมื่อเห็นว่ามกุฎเทพระดับเก้าสามคนนั้นยิ่งอยู่ยิ่งประชิดใกล้เข้ามา ในขณะที่ตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังจะลุกขึ้นอยู่นั้น กลับมีฝ่ามือข้างหนึ่งกดไหล่เขาเอาไว้ก่อน
วินาทีนี้ ตู๋กูเจี้ยนเฉินรู้สึกแปลกใจอย่างไร้เหตุผล เขาหันขวับกลับไป จากนั้นก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“หลัวซิว! เจ้า……”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินทั้งรู้สึกตะลึงทั้งรู้สึกมีความสุข เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะยังมีชีวิตอยู่ ฝืนต้านทานพลังอมตะของจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง เทพมารระดับเก้าช่วงปลายคนหนึ่งจะมีทางมีชีวิตรอดอีกได้อย่างไร?
แน่นอนอยู่แล้วว่าตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่อยากให้หลัวซิวตาย การที่หลัวซิวยังมีชีวิตอยู่นั้น เขาควรรู้สึกมีความสุขสิ แต่ทว่าจิตใจเขากลับรู้สึกช็อกอย่างยิ่ง เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยด้วยซ้ำ
“เจี้ยนเฉิน ข้าบอกแล้วว่าเจ้าข้ามผ่านทัณฑ์อย่างสบายใจได้เลย เรื่องที่เหลือเดี๋ยวฝากให้ข้าจัดการเอง!”
หลัวซิวยังคงยิ้มอย่างสุขุมอยู่เช่นเคย แต่น้ำเสียงที่เรียบนิ่งกลับทำให้เขารู้สึกมั่นใจในแบบที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ซึ่งความมั่นใจประเภทนี้ สามารถทำให้ผู้คนยินดีฝากความเป็นความตายไว้ในเงื้อมมือผู้อื่น