มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2857 วังเซียนศักดิ์สิทธิ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2857 วังเซียนศักดิ์สิทธิ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2857

มหาทัณฑ์อยู่แค่เอื้อม ทำให้หลัวซิวรู้ซึ้งถึงความตัวเล็กของตนได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าต่อให้เขามีพลังและผลการฝึกตนของชาติก่อน แต่ท่ามกลางมหาทัณฑ์นั้น ก็ยังสามารถมีบทบาทได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตู๋กูเมื่อเห็นสีหน้าของหลัวซิวค่อนข้างเป็นกังวล สีหน้าของความเข้มขรึมของเขาก็พลันหายไปในพริบตา หัวเราะออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป ในภพชาติก่อนอาจารย์ก็รับเจ้าเป็นศิษย์ เห็นได้ชัดว่าท่านให้ความสำคัญกับเจ้าถึงเพียงใด หลังจากการตบะดิ้นรนและสิ้นชีพของชาติก่อน ครั้งนี้เจ้าสามารถเกิดใหม่ได้สำเร็จ ย่อมต้องได้รับผลสำเร็จที่ใหญ่หลวงเป็นแน่”

“ขอบคุณศิษย์พี่” หลัวซิวไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงคิดว่าตู๋กู ศิษย์พี่ของเขาผู้นี้กำลังปลอบใจเขาอยู่เท่านั้น

ตู๋กูยิ้มและไม่พูดอะไรมาก บางเรื่องเขาก็ยังไม่รู้ชัด เขาเพียงได้ฟังในสิ่งที่อาจารย์ของเขาพูด แต่จากคำพูดไม่กี่คำของอาจารย์ ตู๋กูก็รู้ว่า ในภพก่อนที่อาจารย์รับไท่ซ่างฉิงเป็นศิษย์ ก็เพราะเห็นศักยภาพมหาศาลในตัวของเขา

ศักยภาพมหาศาลนี้ เรียกได้ว่าอาจส่งผลกระทบไปถึงมหาทัณฑ์ในชาตินี้!

เดินตามตู๋กูอยู่ด้านหลัง หลัวซิวก็ได้มาถึงโลกาอนัตตาอู๋จี๋อีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ตู๋กูกลับไม่ได้พาเขาไปเข้าพบกับมกุฎเต๋า แต่กลับพาเขาไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยซากกำแพงพังทลาย

นี่คือวังที่เสียหายอย่างมาก กำแพงได้พังทลายลงหลายแห่ง ทำให้รู้สึกถึงออร่าของสมัยโบราณ

หน้าประตูพระราชวังมีแผ่นศิลาหักตั้งอยู่ ซึ่งด้านบนนั้นสลักไว้เหลือเพียงคำว่า “วังเซียน”

“วังเซียน? ”

แม้ว่าภาพตรงหน้าเขาจะดูทรุดโทรม แต่คำว่า “วังเซียน” ก็ยังทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงความไม่ธรรมดา

เมื่อตู๋กูเห็นสีหน้าตกตะลึงของหลัวซิว ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว ที่แห่งนี้เคยเป็นวังเซียนจริง ๆ ชื่อของวังเซียนแห่งนี้ นามว่าวังเซียนศักดิ์สิทธิ์”

“เซียนศักดิ์สิทธิ์? ” หลัวซิวจ้องมองไปเบื้องหน้า “เซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์? มันเป็นโบราณสถานที่ชาวเซียนทิ้งไว้จริง ๆ หรือ? ”

“สิ่งนี้ยังเป็นของปลอมไปได้อีกหรือไร? นี่เป็นถึงครั้งนั้นมหาทัณฑ์ในสมัยสมัยต้าเหยียน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่อาจารย์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฉกฉวยมาได้ ข้าเคยพูดกับเจ้าเอาไว้นานแล้ว มหาทัณฑ์ที่แท้จริงคือพรหมเซียน มหาทัณฑ์ในครั้งนี้ก็จะเกิดขึ้นเพราะพรหมเซียน ในสมัยต้าเหยียนเรียกได้ว่าเป็นมหาทัณฑ์ทพลายโลกา ก็มีที่มามาจากการแย่งชิงพรหมเซียน”

ตู๋กูค่อย ๆ พูดต่อ “วังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีพรหมเซียนอยู่ เพียงแต่พรหมเซียนนี้ยังไม่สามารถทำให้กลายคนเป็นเซียนได้ แต่ก็สามารถทำให้อาจารย์ตระหนักรู้จนสามารถสร้างเคล็ดเซียนแปรเก้า วรยุทธ์กลั่นร่างวรยุทธ์ระดับสูงเช่นนี้ได้”

“บรรดาศิษย์พี่อย่างพวกข้าที่ฝากตัวเป็นศิษย์ก่อนเจ้าต่างก็เคยเข้าไปในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่พรสวรรค์การตระหนักรู้ของพวกเราไม่อาจเทียบท่านอาจารย์ได้ ไม่สามารถตระหนักรู้เคล็ดเซียนแปรเก้า วรยุทธ์พลังอมตะระดับนี้ได้ แต่ทุกคนต่างได้รับโชคดีมหาศาล รวมถึงความแข็งแกร่งก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก”

ตู๋กูเหยียดนิ้วออกและชี้ไปที่พระราชวังที่ทรุดโทรมตรงหน้าเขา “ภายในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังมีบททดสอบที่ชาวเซียนโบราณเหลือทิ้งไว้ ภายในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งที่ผ่านด่าน ก็จะได้รับรางวัล ตามที่อาจารย์เคยบอก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีสามสิบสามชั้น ข้าฝ่าฟันได้มากที่สุดแค่เพียงสิบชั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ ก็ยังฝ่าด่านได้เพียงชั้นที่สิบเก้าเท่านั้น”

“อาจารย์ฝ่าได้ถึงเพียงชั้นที่สิบเก้า? ” หลัวซิวตื่นตระหนก มกุฎเต๋าสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดที่เขารู้จัก ด้วยผลการฝึกตนระดับนี้ยังฝ่าไปได้เพียงชั้นที่สิบเก้า ต้องใช้พลังพิสดารชนิดใดจึงจะผ่านชั้นที่สามสิบสามได้ทั้งหมด?

“ภายในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ การฝ่าแต่ละด่านไม่เกี่ยวข้องกับผลการฝึกตน เนื่องจากคู่ต่อสู้ที่เจ้าจะพบในแต่ละชั้น ต่างก็เป็นคนที่ผลการฝึกตนเทียบเท่ากับเจ้า”

“เอาล่ะ ศิษย์น้อง เรื่องที่ไม่จำเป็นศิษย์พี่ก็ไม่พูดให้มากความแล้ว เจ้าเข้าไปสัมผัสด้วยตนเองเถอะ” ตู๋กูพูดไว้เช่นนี้

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็พยักหน้ารับ ความจริงตอนที่เขาได้ยินว่าวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีทั้งหมดสามสิบสามชั้น เขาก็คิดไปถึงหอคอยนภากาศแห่งนั้นที่โลกสวรรค์อย่างอดไม่ได้ เพราะลู่ยู่จื่อได้เรียนรู้จากต้นฉบับโบราณที่ได้รับมา หอคอยนภากาศก็มีสามสิบสามชั้น เทียบได้กับธรรมเวชดั้งเดิมสามสิบสามชนิด

เขาเคยเข้าไปในหอคอยนภากาศด้วยตนเอง ภายในหอคอยนภากาศสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับของธรรมเวชดั้งเดิมมากมาย สำหรับคำอธิบายดั้งเดิมสามสิบสามชนิดนั้นก็ค่อนข้างได้รับการยอมรับ

ท่ามกลางทวยเทพ ธรรมเวชไร้ที่สิ้นสุด แต่สิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นธรรมเวชดั้งเดิมอย่างแท้จริงนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงสามสิบสามชนิดเท่านั้นจริง ๆ

สามสิบสามชนิดนี้ ก็เป็นธรรมเวชที่แข็งแกร่งที่สุด ฟ้า ดิน ดำ เหลือง จักรวาลหิวโหย ต่างก็รวมอยู่ด้วย ทั้งหมดต่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเวชดั้งเดิม

หลัวซิวสาวเท้าก้าวเข้าไปยังวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ตู๋กูจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเขา พลางคิดในใจ “ชาติก่อนของศิษย์น้องเล็กเป็นเพียงผู้สูงส่ง เขาจะสามารถฝ่าด่านวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ? ”

ตู๋กูอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่อาจารย์พูดขึ้นในใจ ตามคำบอกเล่าของอาจารย์ ถ้าจะมีคนที่ผ่านด่านในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์นี้ไปได้ เช่นนั้นหลัวซิวก็ครอบครองความหวังความเป็นไปได้ที่มากที่สุด!

ฝ่าด่านวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นอาจารย์ที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋ายังคงไม่สามารถทำได้ พูดจากใจจริง ตู๋กูไม่ได้คิดว่าหลัวซิวจะสามารถทำได้

เมื่อดูจากด้านนอก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ทรุดโทรมเกินบรรยาย แต่เมื่อเดินเข้ามาแล้ว ปริภูมิทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

นี่คือพื้นที่ของแสงเซียนที่แผ่กระจายปริภูมิ แสงเซียน ประสานในปริภูมิและบนพื้นดิน กลายเป็นพื้นผิวธรรมเวชพิเศษก่อตัวขึ้น และพื้นผิวธรรมเวชจำนวนนับไม่ถ้วนมาบรรจบกัน กลั่นแปรและหลอมรวมเป็นสัญลักษณ์แสงเซียนซึ่งมีความลึกลับไม่รู้จบ

หลัวซิวยืนอยู่ที่แห่งนี้ เพียงพริบตาก็ถูกสัญลักษณ์แสงเซียนเหล่านั้นดึงดูด เขาจ้องมองเข้าไป มีแม้กระทั่งวิวัฒนาการของไร้ลักษณ์เกิดขึ้นในสายตา รู้สึกเพียงว่าธรรมเวชที่อยู่ในสัญลักษณ์แสงเซียนเหล่านี้เต็มไปด้วยความลึกลับซ้อนในความลึกลับ ข้อมูลที่อยู่ในนั้นใหญ่และซับซ้อนเกินไป แม้แต่วิชาไร้ลักษณ์ที่ไม่เคยทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก ก็ยังไม่สามารถอนุมานที่มาจากมันได้แม้แต่น้อย

“หรือนี่จะเป็นวิถีเซียนที่ร่ำลือกันมา!? ”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา วิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวต่างก็ไม่เคยทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก แม้ว่ากฎเกณฑ์ของแดนผลการฝึกตนของเขาเองจะทำให้เขาเข้าใจความลึกลับของธรรมเวชในระดับที่สูงขึ้นได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถอนุมานได้เลยแม้เพียงเล็กน้อย

หากมีบางอย่างในโลกนี้ที่แม้แต่วิถีไร้ลักษณ์ก็ไม่สามารถสรุปได้ เช่นนั้นก็มีเพียงสิ่งเดียวที่เกินขอบเขตของกฎทวยเทพธรรมดาราจักรวาล นั่นก็คือวิถีเซียน!

วิถีเซียนประเภทนี้ คือวิถีเซียนที่แท้จริง ไม่ใช่วิถีกึ่งเซียนที่มกุฎเต๋านอกนภาและมกุฎเต๋าหวูจี๋ครอบครองไว้

กึ่งเซียนกับเซียนนั้นห่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายนั้นกลับห่างออกไปหลายพันลี้

เพียงแค่ยังไม่ได้จุติเซียน เช่นนั้นก็ยังอยู่ภายในขอบเขตกฎทวยเทพธรรม แต่ชาวเซียนได้อยู่ในระดับที่เกินกว่านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างเนื้อหรือวิญญาณดั้งเดิม ต่างก็บรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นของรูปแบบชีวิตแล้ว

และในตอนที่หลัวซิวกำลังรู้สึกตกใจและสับสนอยู่นั้น ทันใดนั้นสัญลักษณ์แสงเซียนจำนวนมากที่แทรกซึมอยู่ในชิ้นส่วนของปริภูมินี้ก็เปล่งประกาย รัศมีของแสงที่ผลิบานจากสัญลักษณ์แสงเซียนก็รวมตัวกัน จากนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางแสงเซียน

เป็นชายคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนเด็กหนุ่ม ผมยาวสลวย สีขาวราวกับหิมะ มีรอยดอกบัวสีแดงที่กึ่งกลางคิ้ว ดวงตาของเขาดูเหมือนจะสามารถมองทะลุอดีตและปัจจุบันได้

“ตึง!”

ดูเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป แต่ออร่ากลับน่าหวาดกลัวมาก รอบกายแผ่กระจายไปด้วยผลการฝึกตนระดับเทพมารขั้นเก้า ในอกของเขามีการเต้นของหัวใจที่แข็งแกร่งดังราวกับเสียงของฟ้าร้อง

หลัวซิวยังไม่ทันได้ตกใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มผมขาวที่อยู่ตรงข้ามก็พลันพุ่งตรงเข้ามาหาเขา พร้อมกับปล่อยหมัดพิฆาต

หมัดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยแสงเซียนที่ส่องประกายระยิบระยับ คลื่นผลการฝึกตนบนร่างของเขาแสดงให้เห็นว่าเป็นเทพมารขั้นเก้า แต่รอบกายหลอมรวมไปด้วยแสงเซียนที่คอยเสริม ทำให้พลังของเขากลับกลายเป็นแข็งแกร่งถึงขีดสุด เรียกได้ว่าเกินกว่าราชาเทพขั้นเก้า!

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของศิษย์พี่ตู๋กูที่เคยพูดไว้ ตู๋กูเคยพูดว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่พบคู่ต่อสู้ในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ต่างก็เป็นคู่ต่อสู้ที่มีผลการฝึกตนในระดับเดียวกันกับตนเอง

ผลการฝึกตนของหลัวซิวคือเทพมารขั้นเก้าช่วงปลาย เช่นนั้นคู่ต่อสู้ที่เขาได้พบเจอในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์คนนี้ ผลการฝึกตนก็คือเทพมารขั้นเก้า

“คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกตนวิถีเซียนหรือ? ”

แววตาของหลัวซิวสั่นไหว ในขณะที่ในใจตื่นตกใจอยู่นั้น กลับรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้น!

วิถีเซียน คือพลังที่เกินขอบเขตของกฎทวยเทพธรรม นักยุทธ์ที่ฝึกตนวิถีเซียนก็เหมือนกับในมือมีศัสตราวุธอันไร้เทียมทาน แต่นักยุทธ์ทวยเทพที่ไม่ได้กตนวิถีเซียนเปรียบเสมือนมือเปล่าเท่านั้น ช่องว่างในความแข็งแกร่งย่อมแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

ไม่เพียงเท่านั้น สถานที่แห่งนี้นามว่าวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ มีคำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ เช่นนั้นวิถีเซียนในที่แห่งนี้ ก็คือร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนของร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์!

ท่ามกลางกฎทวยเทพธรรม ธรรมเวชกาลร้างเป็นตัวแทนของร่างเนื้อขั้นสุดยอด หากต้องการร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือฝึกตนธรรมเวชกาลร้างให้ถึงแดนบริบูรณ์ จากนั้นยกระดับขึ้นอีกขั้น จึงจะกลายเป็นวิถีเซียน

สิ่งนี่ก็หมายความว่า ร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่วังเซียนแห่งนี้ พลังของวิถีเซียนประเภทนี้ มีระดับที่สูงยิ่งกว่าและแข็งแกร่งยิ่งกว่าธรรมเวชกาลร้างเสียอีก

“ตราต้าฮวง!”

หลัวซิวตั้งรับด้วยวิชาตราประทับ แสงสีทองเจิดจ้าส่องไปทั่วร่างของเขา ทำให้พลังเต๋าร้างที่เขาครอบครองถึงจุดสูงสุด

“ปัง!”

กำปั้นของคู่ต่อสู้กระหน่ำใส่ร่างของหลัวซิว ส่วนตราต้าฮวงของหลัวซิวก็กดศีรษะของชายหนุ่มผมขาวอย่างดุเดือด หลัวซิวรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หายใจไม่ออกที่บริเวณหน้าอกของเขา จนซวนเซถอยหลังไปสองก้าวสามก้าว

แต่ชายหนุ่มผมขาวซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ กลับถูกวิชาตราประทับของเขาโจมตีจนกระเด็นออกไป ชนเข้ากับกำแพงแสงเซียนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งเหลือเกิน”

หลัวซิวลูบหน้าอกที่เจ็บปวด ผลการฝึกตนของเขาถึงแม้จะเป็นเทพมารขั้นเก้า แต่ทว่าการป้องกันร่างเนื้อของเขากลับเทียบได้กับสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพขั้นเก้า พลังแห่งหมัดเพียงหมัดเดียวก็สามารถทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ นั่นเพียงพอที่จะบอกได้ว่าการโจมตีของชายหนุ่มผมขาวนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

ที่สำคัญผลการฝึกตนของชายหนุ่มผมขาวคือเทพมารขั้นเก้า แดนร่างเนื้อของเขาสู้หลัวซิวไม่ได้ เป็นเพียงแค่ร่างของเทพมารขั้นเก้าเท่านั้น

แสงเซียนหลอมรวมคอยหนุนตัวอยู่ สามารถทำให้ร่างเทพมารขั้นเก้าสำแดงพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ สมแล้วที่เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนในตำนาน!

เงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายหนุ่มผมขาวยืนขึ้นอีกครั้ง หลังจากโดนตราต้าฮวงโจมตีที่ศีรษะ แต่กลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะทึ่งกับความแข็งแกร่งของศีรษะนั้น

แม้ว่าตราต้าฮวงเมื่อครู่จะไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด แต่จากการประเมินของของหลัวซิว แม้แต่ราชาเทพขั้นเก้าก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“ร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนคือโอกาสอันยิ่งใหญ่จริง ๆ เสียด้วย อีกทั้งไม่ใช่โอกาสโชคลาภธรรมดาทั่วไป แต่เป็นพรหมเซียน! ด้วยเหตุนี้ เคล็ดเซียนแปรเก้าของอาจารย์บางทีอาจจะได้รับการตระหนักรู้และสร้างมันขึ้นมาจากที่แห่งนี้ก็เป็นได้!”

สมองของหลัวซิวคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ราวกับสายฟ้าที่เปล่งประกาย เขาใช้พลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โจมตีไปทางชายหนุ่มผมขาวจนกระเด็นลอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาไม่ได้ใช้ผลการฝึกตนของตนเอง แต่เป็นการอาศัยความแข็งแกร่งของร่างยุทธ์ร่างเนื้อเพียงอย่างเดียว เพื่อสัมผัสความลึกลับของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียน

ยังคงเป็นวิชาพลังอมตะตราต้าฮวงเช่นเดิม ตามที่หลัวซิวสำแดงพลังวิชาตราประทับที่ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดชายหนุ่มผมขาวก็ถูกโจมตีจนร่างแหลกเป็นเศษส่วน กลายเป็นแสงเซียน และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในขณะเดียวกัน ในขณะที่ชายหนุ่มผมขาวถูกหลัวซิวโจมตีจนย่อยยับไป สัญลักษณ์แสงเซียนลำแสงหนึ่งก็บินเข้ามา จมลงสู่ร่างกายของหลัวซิว

ในพริบตา ข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสัญลักษณ์แสงเซียนนี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำของหลัวซิวทำให้เขารู้สึกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนนั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้งถึงที่สุด!

ในบรรดาข้อมูลที่เขาได้รับ มีความคล้ายคลึงกับเคล็ดเซียนแปรเก้าอยู่บ้าง สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวมั่นใจ อาจารย์ของเขาสร้างเคล็ดเซียนแปรเก้าขึ้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนจริง ๆ

แต่วิถีกลั่นร่างของเคล็ดเซียนแปรเก้า ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่วิถีเซียน ดังนั้นเคล็ดเซียนแปรเก้าจึงสามารถเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่สมบูรณ์เท่านั้น

เพียงแค่ส่วนหนึ่งก็แข็งแกร่งได้มากถึงเพียงนี้ หากว่าฝึกเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่สมบูรณ์ได้ มันจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด?

ทันใดนั้น แสงเซียนก็พุ่งมาจากด้านหน้า แล้วม้วนร่างของหลัวซิวหายไปในพริบตา

หลัวซิวสัมผัสได้ว่าถูกวาร์ปไปที่ใดสักแห่ง เมื่อการวาร์ปสิ้นสุด เขาพบว่าตัวเองอยู่ในปริภูมิที่มีสัญลักษณ์แสงเซียนส่องแสงระยิบระยับ

ในเวลาเดียวกันเขาถูกวาร์ปมาที่นี่ ชายหนุ่มผมขาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากแสงเซียนเช่นเดิม รอยประทับดอกบัวสีแดงตรงกลางคิ้วของเขาก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

จากร่างของชายหนุ่มผมขาว หลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงออร่าของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่า ยิ่งระดับชั้นของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งสูงมากเท่าไร ยิ่งเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งว่าเมื่อถึงชั้นสุดท้ายชั้นที่สามสิบสาม บางทีเขาอาจจะเจอคู่ต่อสู้ที่ฝึกตนร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนอย่างสมบูรณ์!

ถึงแม้ผลการฝึกตนจะเป็นเพียงเทพมารขั้นเก้า แต่ร่างเนื้อของหลัวซิวในความเป็นจริงสามารถเทียบเท่าได้กับระดับของจักรพรรดิเทพขั้นเก้า ดังนั้นคู่ต่อสู้ในชั้นที่สองของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาเอาไว้ได้แม้แต่น้อย

ในขณะที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ในชั้นที่สองของเขา เขาก็ได้รับสัญลักษณ์แสงเซียนลำแสงที่สองผสานเข้าไปในร่างของเขา

คู่ต่อสู้ที่เขาพบแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ หลัวซิวไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขามาถึงชั้นที่สิบแล้ว!

ชั้นที่สิบนี้คือจำนวนชั้นที่ศิษย์พี่ตู๋กูของเขาเข้ามาถึงได้

และในเก้าชั้นแรก หลัวซิวก็ได้รับสัญลักษณ์แสงเซียนมาแล้วชิ้น ญาณเทวดั้งเดิมของเขาท่ามกลางตัวหยั่งรู้ได้สรุปความลึกลับที่อยู่ในสัญลักษณ์แสงเซียนตลอดเวลา

ในตอนแรกที่เขามาถึงที่นี่ เขาไม่สามารถค้นพบความลึกลับที่อยู่ภายในสัญลักษณ์แสงเซียนได้ แต่เมื่อสัญลักษณ์แสงเซียนเข้าสู่ร่างกาย ถ่ายเทความลึกลับที่อยู่ในสัญลักษณ์กลายเป็นข้อมูลผสมผสานกับความทรงจำ ซึ่งทำให้เขาสามารถรู้สึกได้และพัฒนาศักยภาพของตัวเอง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท