มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2858 ครอบครองวิถีเซียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2858 ครอบครองวิถีเซียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2858

ผ่านการรับรู้สัญลักษณ์แสงเซียน หลัวซิวได้เข้าใจหลักการของทางธรรมเวชในระดับที่ลึกขึ้นด้วยเช่นกัน

วิถีเซียนหลอมรวมเป็นสัญลักษณ์ เป็นการแสดงให้เห็นของธรรมเวช การจัดเรียงพื้นผิวธรรมเวชนั้นเก็บซ่อนความลึกลับที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งภายในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ รวมถึงความเข้าใจในหลักการของค่ายกลอยู่ด้วย

ชายหนุ่มผมขาวในชั้นที่สิบยังคงเป็นผลการฝึกตนเทพมารขั้นเก้าช่วงปลาย แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่คู่ต่อสู้ครอบครองอยู่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่หลัวซิวเดินทางมาถึงที่นี่เขาเริ่มรับรู้ถึงความกดดันที่มหาศาลนั้นนั้นด้วย

ผลการฝึกตนเทพมารขั้นเก้าช่วงปลาย แต่ร่างเนื้ออาศัยการสนับสนุนของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนนั้น กลับไม่ได้แตกต่างกับหลัวซิวมากเท่าไรแล้ว

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวเข้าใจ หากเขาไม่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของตนเองผ่านการรับรู้ของวิถีเซียนได้ เขาอาจจะสามารถต่อสู้ไปถึงประมาณชั้นที่สิบสอง ก็น่าจะสิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว

ในชั้นที่สิบนี้ หลัวซิวไม่เร่งรีบที่จะทำลายคู่ต่อสู้เพื่อผ่านด่าน แต่เขาจะพัฒนาการต่อสู้ของตนโดยการสู้รบกับชายหนุ่มผมขาว พร้อมกับรับรู้และประเมินความลึกลับที่อยู่ในสัญลักษณ์ของร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียน

วิถีไร้ลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมีข้อดีที่สำคัญในการแยกวิเคราะห์และตีความสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งให้เขามีประสิทธิภาพในการประเมินและทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น และเมื่อเขาทำใจให้สงบลงและตั้งใจในการรับรู้และประเมินอย่างละเอียด ความลึกลับและความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นในใจของเขาอย่างต่อเนื่อง

สัญลักษณ์แสงเซียนทั้งเก้าชิ้นที่ผสานอยู่ในร่างกายของเขาถูกเขาสับเปลี่ยน แยกส่วน และวิเคราะห์อย่างละเอียด ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถครอบครองความลึกลับทั้งหมดของวิถีเซียนได้ในสภาวะปัจจุบัน แต่เนื่องจากสัญลักษณ์แสงเซียนได้รวมตัวเข้ากับตนเองแล้ว เพียงแค่เขาสามารถทำความเข้าใจหลักการการทำงานของวิถีเซียนนั้น เช่นนั้นเขาก็สามารถแปลงพลังของวิถีเซียนนี้ให้กลายเป็นพลังของตนเองได้

เหมือนกับเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง เราอาจจะไม่รู้ว่าเครื่องจักรนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างไร แต่ถ้ารู้วิธีการควบคุมและใช้งาน ก็จะสามารถนำเครื่องจักรนี้มาใช้งานเป็นของของตนเองได้เช่นกัน

ในขณะนี้ หลัวซิวเข้าใจวิถีเซียนในลักษณะที่เป็นเช่นนั้น

ด้วยการประเมินและการรับรู้อย่างต่อเนื่อง หลัวซิวใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลาเกือบปีเต็มในการค้นพบกฎเกณฑ์ในการทำงานของสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นแรก

เขาใช้กฎเกณฑ์ของสัญลักษณ์วิถีเซียนในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลการฝึกตนของตนเอง เขาสำแดงพลังอมตะตราต้าฮวงอีกครั้ง ในฝ่ามือของเขาหลอมรวมเป็นสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นหนึ่งขึ้นมา!

สัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นนี้ที่หลัวซิวหลอมรวมขึ้นมา เต็มไปด้วยแสงเซียนไหลผ่าน งดงามและน่าอัศจรรย์ เต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่ยากที่จะประเมินได้

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

สีหน้าดีใจอย่างมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว เพียงแค่เขาค้นพบกฎเกณฑ์ในการทำงานของสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นหนึ่ง เขาก็สามารถรับรู้ถึงพลังอมตะตราต้าฮวงได้อย่างชัดเจน ซึ่งได้เพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าของพลังเดิม!

เมื่อพลังเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าหมายถึงอย่างไร? มันหมายความว่าพลังของหลัวซิวเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งอย่างมาก สามารถทำลายศัตรูที่แต่เดิมแล้วมีพลังแทบไม่แตกต่างจากตนเองได้!

“ตราต้าฮวง!”

หลัวซิวสาวเท้าเข้ามาด้านหน้า วิชาตราประทับหลอมรวมอยู่ระหว่างนิ้วมมือ แสงสีทองแผ่กระจายออกไป แสงเซียนพุ่งประทุ ราวกับมีหอคอยฮวงลงมาเยือน รวมเข้ากับวิถีเซียนสัญลักษณ์ พลังอำนาจมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด

“ปัง!”

เสียงดังสะท้านหูที่ได้สั่นสะเทือนขึ้น ระหว่างการต่อสู้กับชายหนุ่มผมขาวมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ในที่สุดก็ถูกวิชาตราประทับโจมตีจนแหลก กลายเป็นแสงเซียนและสลายไป

ผ่านชั้นที่สิบ สัญลักษณ์วิถีเซียนอีกชิ้นก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงล้อมผสานเข้ากับร่างของเขา ดังนั้น ในร่างของเขาตอนนี้ก็มีการผสมผสานกับสัญลักษณ์วิถีเซียนถึงสิบชิ้นแล้ว

สัญลักษณ์วิถีเซียนทั้งสิบนี้เต็มไปด้วยความลึกลับแห่งวิถีเซียนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่สัญลักษณ์แรก จนถึงสัญลักษณ์ที่ได้รับล่าสุด สัญลักษณ์วิถีเซียนเหล่านี้เต็มไปด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่มีความซับซ้อนและยากต่อการตระหนักรู้

จนถึงตอนนี้ หลัวซิวก็รู้เพียงแค่กฎเกณฑ์การทำงานของสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นแรกเท่านั้น แต่เขายังไม่รู้เรื่องหลักการของการสร้างธรรมเวชของสัญลักษณ์วิถีเซียนเลย

เข้าสู่ชั้นที่สิบเอ็ด ชายหนุ่มผมขาวที่ปรากฏตัวจากแสงเซียนก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น แต่สำหรับหลัวซิวที่เรียนรู้การควบคุมสัญลักษณ์วิถีเซียนอย่างน้อยหนึ่งชิ้นได้แล้วนั้น การที่จะเอาชนะจึงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่หลัวซิวก็ยังไม่เร่งรีบที่จะผ่านด่าน แต่กลับได้เริ่มต้นต่อสู้กับชายหนุ่มผมขาว พร้อมกับการเริ่มต้นในการตระหนักรู้และค้นคว้ากฎเกณฑ์การทำงานของสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นที่สอง

เมื่อเขาผ่านด่านที่สิบเอ็ด ไม่เพียงแค่เขาได้รับสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นที่สิบเอ็ดที่ผสานเข้ากับร่างของเขา แต่ยังมีแสงเซียนอีกหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นและไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ผลการฝึกตนที่ติดกฎเกณฑ์มานานแสนนานได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลการฝึกตนเทพมารขั้นเก้าช่วงปลายผลของเขา ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ จนเขาได้เข้าสู่แดนเทพมารขั้นเก้าขั้นสูงในทันที!

“วังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ที่แท้ก็เป็นโอกาสที่ไร้เทียมทานจริง ๆ!”

หลัวซิวรู้สึกยินดีมาก ถึงแม้จะเป็นเพียงการก้าวข้ามในแดนเล็กเท่านั้น แต่หากเขาต้องฝึกตนด้วยตนเอง นอกจากจะต้องใช้ทรัพยากรสมบัติมากมาย ยังต้องใช้เวลาในการตบะอีกอีกหลายสิบปีกว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ

เนื่องจากฐานรากและพื้นฐานของเขามีความลึกลับมาก การข้ามระดับในแดนเล็กนั้นมีความยากลำบากเกือบเท่ากับการเข้าข้ามระดับในแดนใหญ่ของคนอื่น ๆเลยทีเดียว

แต่ก็เพราะว่าฐานรากและพื้นฐานที่แข็งแกร่งและลึกซึ้งของเขา ทำให้เขาสามารถก้าวไปได้ไกลในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ กลับกันถ้าเป็นนักยุทธ์ทั่วไปอาจจะไม่สามารถผ่านด่านต้น ๆ ได้ด้วยซ้ำ

หลัวซิวก้าวหน้าอย่างมั่นคง มุ่งหน้ากล้าหาญและไม่มีใครที่สามารถเอาชนะได้ เมื่อหลัวซิวเข้าถึงชั้นที่สิบห้าของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ได้ตระหนักรู้สัญลักษณ์วิถีเซียนสามชิ้นแล้ว

หลังจากที่หลัวซิวได้ครอบครองสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นที่สาม เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว หากเขาต้องการตระหนักรู้และครอบครองสัญลักษณ์วิถีเซียนชิ้นที่สี่ ก็จำเป็นต้องทำให้ผลการฝึกตนยกระดับไปถึงแดนราชาเทพขั้นเก้าเสียก่อน เช่นนั้น วิถีไร้ลักษณ์ของเขาจะได้รับการเลื่อนขั้นสู่ระดับที่สูงขึ้น และมีเพิ่มความสามารถในการตระหนักรู้ได้มากขึ้น

เพราะว่าสัญลักษณ์แสงเซียนชิ้นที่สี่นั้นซับซ้อนมากกว่าสัญลักษณ์วิถีเซียนทั้งสามตัวรวมกันเสียอีก ปริมาณข้อมูลนั้นก็มีมากเกินไป

เวลาผ่านไปอย่างเงียบนิ่ง โดยไม่ทันรู้ตัว นับแต่หลัวซิวเข้าสู่วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ผ่านเวลามาถึงสิบแปดปีแล้ว

ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนในทุกวันนี้ เวลาที่ระยะหลายสิบปีหรืออาจมากถึงร้อยปีก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ดังนั้นหลัวซิวที่อยู่ท่ามกลางวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้สนใจถึงระยะเวลาว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดแล้ว

ในระยะเวลาสิบแปดปี เขาได้ฝ่าด่านและทำความเข้าใจแนวคิดของวิถีเซียนไปพร้อมกัน พยายามนำกฎเกณฑ์การทำงานของวิถีเซียนไปร่วมกับเคล็ดลับเซียนแปรเก้า

อย่างไรก็ตาม เคล็ดเซียนแปรเก้าเองก็มีระดับที่สูงมากอยู่แล้ว เป็นถึงวรยุทธ์ระดับมกุฎเต๋า แม้ว่าหลัวซิวจะครอบครองสัญลักษณ์วิถีเซียนทั้งสามแล้ว แต่หากต้องการปรับปรุงและพัฒนาเคล็ดเซียนแปรเก้าให้ดียิ่งขึ้น ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้การพูดเรื่องนี้ก็ยังห่างชั้นอยู่มาก

ในตอนนี้ เขาได้ฝ่าเข้าไปในชั้นที่สิบเก้าแล้ว ตามที่ศิษย์พี่ตู๋กูกล่าวไว้ อาจารย์มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ฝ่ามาได้เพียงชั้นนี้เท่านั้น

หลัวซิวอยู่ท่ามกลางวังเซียนศักดิ์สิทธิ์มาสิบแปดปี ส่วนด้านนอกของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ตู๋กูก็ยังรอคอยอยู่ที่นี่มาแล้วสิบแปดปีเข่นกัน

ตู๋กูมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน ถึงแม้ผลของการฝึกตนของเขาจะเป็นเพียงผู้สูงส่งช่วงปลาย แต่เนื่องจากเป็นศิษย์มกุฎเต๋าหวูจี๋ ความจริงแล้วเขาได้มีชีวิตเกินช่วงเวลาหนึ่งยุคแห่งความโกลาหลไปแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับยุคแห่งความโกลาหลที่ยาวนานและยาวไกลนั้น เวลาเพียงสิบแปดปีจึงไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใดเลย

“เหวิง!”

ในวันหนึ่งนี้ ระลอกคลื่นปริภูมิถูกส่งออกจากวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ตู๋กูที่หลับตาทำสมาธิอยู่นั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขารับรู้ได้ทันทีว่าการเกิดคลื่นปริภูมินั้น หมายถึงว่าศิษย์น้องเล็กที่เข้าสู่การฝึกประสบการณ์นี้กำลังจะถูกส่งออกมา

เกิดรอยแตกของอนัตตาขึ้นมาเส้นหนึ่ง ตามมาด้วยร่างของหลัวซิวที่กระเด็นออกมา กระทบลงบนพื้น ร่างกายอาบไปด้วยเลือด บาดแผลเต็มไปทั่วทั้งตัว กระดูกหักหลายจุด สภาพน่าเวทนาจนไม่น่าดูเอาเสียเลย

“แข็งแกร่งเกินไป……”

เมื่อหลัวซิวถูกส่งออกมา ก็บ่นพึมพำอยู่ในลำคอ

“ศิษย์น้อง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ตู๋กูยืนขึ้นและเดินเข้ามา มองเห็นสภาพของหลัวซิวที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็ทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ได้ฝึกตนในเคล็ดเซียนแปรเก้าไปถึงขั้นที่สามแล้ว วังเซียนศักดิ์สิทธิ์และคู่ต่อสู้ภายในนั้นมีระดับของผลการฝึกตนที่เทียบเท่ากัน นี่เขาต้อวเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงใด จึงทำให้เขาบาดเจ็บชนิดที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับร่างกายของทหารจักรวรรดิระดับเก้า?

“บาดแผลของข้าไม่ได้สาหัส” หลัวซิวส่ายหน้า ภายใต้การกลั่นแปรของวิถีไร้ลักษณ์ พลังชีวิตที่แรงกล้าและมหาศาลก็ไหลเข้าสู่ร่างของเขา บาดแผลที่อยู่บนร่างกายก็หายไปอย่างรวดเร็ว และความเร็วนั้นยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ธรรมเวชชีวี……”

เมื่อรู้สึกถึงพลังชีวิตที่ไหลผ่านร่างกายของหลัวซิว ตู๋กูจ้องมองแล้วรี่ตาลงเล็กน้อย เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก ร่างกายแข็งแกร่งอย่างมาก การตระหนักรู้และความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋าร้างก็สูงมากด้วย แต่เขาไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ ยังมีความเข้าใจในธรรมเวชชีวีอย่างเชี่ยวชาญ และสามารถใช้งานมันได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้

ที่ต้องรู้คือนักยุทธ์ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญในธรรมเวชสายหนึ่งสายใดเท่านั้น เพียงแค่ฝึกตนในธรรมเวชสายหนึ่งไปสู่จุดสูงสุดเท่านั้น จึงจะสามารถกลายเป็นมกุฎเต๋าได้ การฝึกตนในธรรมเวชสายหนึ่งให้ถึงแดนบริบูรณ์เท่านั้น จึงจะมีโอกาสจุติเซียน

ถ้าฝึกตนในธรรมเวชสองสายหรือมากกว่านั้น อาจจะยากขึ้นในการฝึกตนไปสู่ระดับสูงหรือแดนบริบูรณ์ สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นเก้าหรือเกินกว่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจที่ตรงกันว่า การต้องการมากเกินไปอาจทำให้ไม่ตั้งใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำทุกอย่างได้แต่ไม่เก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง!

ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าในกรณีที่ผลการฝึกตนและระดับธรรมเวชเทียบเท่ากัน การฝึกตนในธรรมเวชมากขึ้นจะทำให้พลังการต่อสู้ของตนเพิ่มมากขึ้น บางเคล็ดลับของธรรมเวชอาจช่วยเสริมสร้างกันและกัน และสามารถสร้างพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นได้

ตามมุมมองของตู๋กู หลัวซิวมีผลการฝึกตนในเทพมารระดับเก้าแต่กลับครอบครองพลังที่น่าประหลาดใจได้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้ฝึกตนในธรรมเวชมากกว่าหนึ่งสาย!

ความจริงแล้วใช่ว่าจะไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งที่ฝึกตนคู่ในธรรมเวชมากกว่าหนึ่งสาย อย่างน้อยตู๋กูก็รู้ว่ามีอาจารย์มกุฎเต๋าหวูจี๋ของพวกเขา ก็ฝึกคู่ธรรมเวชหงฮวงสองสาย และเป็นเพราะอาศัยการสัมผัสรู้ธรรมเวชทั้งสองสายของตน รวมถึงการตระหนักรู้จากร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียน จึงได้สร้างเคล็ดเซียนแปรเก้าซึ่งเป็นเคล็ดเซียนกลั่นร่างที่แข็งแกร่งเช่นนี้ชึ้นมา

ไม่กี่นานหลังจากนั้น บาดแผลของหลัวซิวก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นเกือบปกติ ส่วนใหญ่เป็นเพราะบาดแผลเป็นผลจากพลังของวิถีเซียน การฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพปกติไม่ง่ายดายเหมือนบาดแผลทั่วไป

เมื่อหลัวซิวเปิดตาขึ้นมา ตู๋กูก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ศิษย์น้องฝ่าได้ถึงชั้นที่เท่าไรหรือ?”

เมื่อได้ยินคำถาม หลัวซิวก็ไม่ได้กล่าวอะไรแต่แค่ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ศิษย์พี่คิดว่าข้าจะสามารถฝ่าถึงชั้นที่เท่าไรหรือ?”

“หือ? กำลังทดสอบศิษย์พี่ของเจ้าอยู่หรืออย่างไร?”

ตู๋กูกำลังหัวเราะอย่างไม่มีเสียง และใช้มือลูบเคราบนคางของเขา “ถึงแม้ว่าผลการฝึกตนของศิษย์น้องจะไม่สูง แต่พรสวรรค์นั้นหาตัวจับยาก การประเมินเช่นนี้เจ้าไม่คิดว่ามันได้มายากบ้างหรือ? อีกทั้งเจ้ายังก็ได้ฝึกตนในเคล็ดเซียนแปรเก้าของอาจารย์ไปถึงขั้นที่สามแล้ว น่าจะสามารถฝ่าถึงประมาณชั้นที่สิบห้าได้? ”

ในขณะที่พูดคำนี้ ตู๋กูกำลังมองหลัวซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความจริงที่เขาบอกว่าชั้นที่สิบห้านั้นได้ประเมินเอาไว้สูงแล้ว ระดับนี้ภายใต้ลูกศษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ สามารถฝ่าถึงชั้นที่สิบห้าได้มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น!

“ศิษย์น้อง… มีเรื่องที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ตามข้อกำหนดที่อาจารย์กำหนดเอาไว้ หากสามารถฝ่าไปได้สูงมากพอ จะสามารถไปเลือกสมบัติที่คลังเก็บสมบัติของอาจารย์ได้” ตู๋กูพูดพร้อมกระพริบตาปริบ ๆ

“เลือกสมบัติหรือ?”

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “ฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าจะได้สมบัติระดับใดกัน?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท