มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2861 เลือกจุดยืน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2861 เลือกจุดยืน

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2861

ชนเผ่าเฉว่ซ่า เป็นชนเผ่ามือสังหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกร้าง คนในชนเผ่านี้ต่างฝึกฝนวิถีแห่งการสังหาร พูดได้ว่าทำให้กองกำลังและนักยุทธ์มากมายในโลกร้างต้องหวาดผวาเมื่อได้ยินชื่อ

แต่ทว่าช่วงที่หลัวซิวมาถึงโลกร้างใหม่ ๆ ในชาตินี้ เคยได้สังหารอัจฉริยะของชนเผ่าเฉว่ซ่าไป

วินาทีที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย ในใจของหลัวซิวก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที ตัวอยู่ในค่ายกล ไอสังหารอันเป็นที่น่าตกตะลึงแผ่ซ่านออกมาจากแสงค่ายสายแล้วสายเล่า เหมือนดาบเหมือนกระบี่ ทับถมร่างของเขาเอาไว้

“เจ้าก็คือเจ้าหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวคนนั้นหรือ? กล้าสังหารคนเผ่าเฉว่ซ่าของข้า ตายเสียเถอะ!”

เสียงตวาดเสียงหนึ่งเหมือนดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ในเมืองต้าฮวงโบราณ ชายชราเผ่าเฉว่ซ่าสวมสุดสีโลหิตได้เซ่นผังค่ายผังหนึ่งออกมา ผังค่ายนี้ได้ครอบคลุมห้วงเวลาด้านหนึ่ง กักขังหลัวซิวเอาไว้

และรอบ ๆ ผังค่ายนั้น มียอดฝีมือของชนเผ่าเฉว่ซ่ายืนเรียงรายอยู่นับสิบคน

“ครืนนน!”

ภายใต้คำสั่งของชายชราเผ่าเฉว่ซ่า ศัสตราวุธของขลังนับสิบชิ้นส่งเสียงคำรามขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง โถมกระหน่ำเข้าหาหลัวซิวที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ในศัสตราวุธของขลังเหล่านี้ มิได้มีเพียงภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้า ยังมีแม้กระทั่งดาบโลหิตเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นถึงสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพขั้นเก้า!

สังหารคนรุ่นหลังที่มีผลการฝึกตนแค่ในขั้นเทพมารระดับเก้าด้วยวิธีการเช่นนี้ พูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่โดยใช้มีดเชือดวัว

คลื่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้กระจายไปทั่วเมืองต้าฮวงโบราณ รบกวนไปยังบรรดานักยุทธ์ที่กำลังชมการต่อสู้อยู่ที่เวทีประลองในเวลานี้ แม้แต่อัจฉริยะที่กำลังต่อกันอยู่บนเวทีประลองก็ได้หยุดการต่อสู้ลง

“นี่คือ……ชนเผ่าเฉว่ซ่า?”

“ชนเผ่าเฉว่ซ่าต้องการต่อกรกับผู้ใดกัน? ถึงได้ลงมือที่เมืองต้าฮวงโบราณโดยตรง ถึงกับต้องส่งผู้อาวุโสมกุฎเทพ และราชาเทพระดับเก้านับสิบคนมา แถมยังได้ใช้ค่ายกลอีกด้วย?”

“ดูจากคลื่นพลังผลการฝึกตนแล้ว เหมือนว่าคนที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลนั้นจะเป็นเทพมารระเก้าผู้หนึ่ง……”

“นี่เหมือนจะเป็นค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ใช่หรือไม่? มูลค่าของผังค่ายชนิดนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพเลย!”

……

แรงสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมาจากค่ายโลหิตมารฉกรรจ์อย่างไม่ขาดสาย ผังค่ายนี่นั้นเป็นมหาค่ายประจำเผ่าของชนเผ่าเฉว่ซ่า เมื่อการโจมตีของคนเผ่าเฉว่ซ่าตกลงบนค่าย อานุภาพของมันก็จะเพิ่มขึ้นสามถึงสี่เท่า

ภายใต้การจ้องมองของสายตาอันนับไม่ถ้วน บุรุษหนุ่มในชุดสีดำผู้หนึ่งยืนอยู่ใจกลางของค่ายกล เผชิญหน้ากับการโจมตีของศัสตราวุธของขลังนับสิบชิ้น เขามิได้ขับเคลื่อนใช้อาวุธป้องกันใด ๆ เลย แต่ได้ฝืนรับมือกับการโจมตีของศัสตราวุธของขลังแต่ละชิ้นด้วยมือเปล่า แม้แต่อานุภาพของสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพอย่างดาบโลหิตเล่มนั้นเขาก็ยังรับมือกับมันด้วยหมัดทั้งสองข้างของเขา

“หลัวซิว วันนี้เจ้าต้องตายแน่แล้ว!” ผู้อาวุโสเผ่าเฉว่ซ่าควบคุมผังค่าย เมื่อมองเห็นสถานการณ์ภายในค่ายกล สีหน้าก็ดำคล้ำเป็นอย่างยิ่ง

เขาได้รับข้อมูลมาแล้ว รู้วาหลัวซิวผู้นี้มีฝีมือสูงส่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฝีมือของหลัวซิวคนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็แค่เทพมารระดับเก้าขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะจัดการได้ยากเช่นนี้

อย่างไรก็ตามค่ายโลหิตมารฉกรรจ์กลับไม่ง่ายเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจกลายเป็นมหาค่ายประจำเผ่าของชนเผ่าเฉว่ซ่า

ค่ายกลนี้แบ่งออกเป็นสามรูปแบบ รูปแบบแรกนั้นคือปิดฟ้าผนึกดินขังคู่ต่อสู้เอาไว้ด้านใน ภายใต้การปลุกเสกเบิกเนตรของค่ายกล ความสามารถของชนเผ่าเฉว่ซ่าจะเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าตัว และสามารถอาศัยโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้

ส่วนรูปแบบที่สองของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นั้น คือการรวบรวมไอสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดเพื่อโจมตีตัวธรรมของคู่ต่อสู้ เมื่อตัวธรรมถูกโจมตีไม่ว่าจะเป็นนักยุทธ์คนใดก็ตาม ล้วนมักแสดงจุดอ่อนออกมาอย่างง่ายดาย และทันทีที่จุดอ่อนปรากฏขึ้นมา ก็เท่ากับว่าอยู่ไม่ไกลจากความตายสักเท่าไรแล้ว

รูปแบบสุดท้ายของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ นั่นก็คือรูปแบบที่สาม สามารถเรียกปีศาจแท้เพชฌฆาตออกมาได้ มีพลังการทำลายล้างอย่างไร้ขอบเขต เพียงแค่รูปแบบที่สามนี้จำเป็นต้องใช้คนเพื่อสังเวยเลือด ยิ่งคนที่สังเวยเลือดมีผลการฝึกตนสูง ปีศาจแท้เพชฌฆาตที่เรียกออกมาถึงจะยิ่งสูง

หากไม่ถึงขีดสุดจริง ๆ ชนเผ่าเฉว่ซ่าจะไม่ใช้รูปแบบที่สามของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ออกมาอย่างแน่นอน และก็เพราะสามารถเรียกปีศาจแท้เพชฌฆาตออกมาได้ จึงทำให้กองกำลังมากมายในโลกร้างไม่อยากจะไปมีเรื่องกับคนวิปริตพวกนี้

เพราะทันทีที่ปีศาจแท้เพชฌฆาตถูกเรียกออกมา มันจะเป็นการเข่นฆ่าทำลายล้างอย่างไม่แบ่งเขาแบ่งเรา……

ภารกิจล่าสังหารหลัวซิวในครั้งนี้ นำโดยผู้อาวุโสมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งของชนเผ่าเฉว่ซ่า พบเพียงว่ามือของเขาแสดงพลังตราประทับเปลี่ยนไปต่าง ๆ นานา พลังสังหารอันไร้ขอบเขตในค่ายกลรวมตัวกัน กลายเป็นหอกยาวสีแดงสดเฉกเช่นโลหิต

“ครืนนน!”

หอกยาวเล่มนี้พุ่งแทงเข้าไปหาหลัวซิวภายในชั่วพริบตา ทำให้หลัวซิวพลันรู้สึกว่าตัวธรรมของตัวเองถูกกระแทกอย่างรุนแรง!

“พลังที่โจมตีตัวธรรมโดยเฉพาะ?”

หลัวซิวชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขากล่าวอย่างเย้ยหยัน: “ตัวธรรมของมิเคยเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนตัวธรรมของข้าได้!”

ผ่านการฝึกฝนขัดเกลาต่าง ๆ นานาตั้งแต่ชาติก่อนมาจนถึงชาตินี้ ต่อให้เป็นการโจมตีของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ ก็มิอาจสั่นคลอนตัวธรรมของเขาได้

เห็นเพียงเขากางมือทั้งสองข้างออก พลังอมตะอย่างตราสรรพสิทธิ์ ตราต้าฮวง ตราประทับหงฮวง ทะยานเซียน เข้าล็อกเดิม และอื่น ๆ ต่างได้ถูกใช้ออกมา พุ่งเข้าหาค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่กักขังตนเองเอาไว้

“ตูม! ตูม! ตูม!……”

ทุกพลังอมตะนั้นต่างก็มีอานุภาพเหลือล้น ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพลังอมตะมากมาย ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ได้สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง พลังโจมตีที่ส่งผ่านค่ายกลออกมา ทำให้ผู้อาวุโสมกุฎเทพที่ควบคุมผังค่ายอยู่นั้นมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป

“ทำลายเสีย!”

มือของหลัวซิววาดตราประทับ พลังอมตะแขนงหนึ่งผนึกรวมขึ้นมาระหว่างฝ่ามือ สัญลักษณ์วิถีเซียนสามดวงปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน เห็นได้ว่าเขาใช้พลังร่างศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนที่เขาได้ตระหนักรู้อยู่ในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์

ใช้พลังแห่งวิถีเซียนปลุกเสกเบิกเนตรพลังอมตะเข้าล็อกเดิมที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง อานุภาพของการโจมตีนี้ เกือบจะเทียบได้กับอานุภาพของจักรพรรดิเทพ!

ตามด้วยเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ถูกเขาโจมตีจนเกิดเป็นช่องโหว่ขึ้นมา ร่างของหลัวซิวโจมตีออกมาทันที เสียงรองโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังต่อเนื่องกันเป็นระลอก ราชาเทพระดับเก้าของชนเผ่าเฉว่ซ่าหลายคนถูกเขาสังหารไปในชั่วพริบตา

“ทะยานเซียน!”

เสียงเซียนสายหนึ่งเปล่งประกายขึ้นมา เปรียบเสมือนดั่งเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า เงาร่างของหลัวซิวได้มาถึงด้านหน้าของผู้อาวุโสมกุฎเทพของชนเผ่าเฉว่ซ่าภายในชั่วพริบตา

“ผลัวะ!”

เลือดสาดกระเซ็น ผู้อาวุโสมกุฎเทพของชนเผ่าเฉว่ซ่าเหลือกตาโต ร่างขาดออกเป็นชิ้น ๆ ภายใต้การโจมตีของพลังอมตะทะยานเซียน ได้แหลกสลายกลายเป็นหมอกโลหิต

แสงเซียนสลายไป หลัวซิวที่สวมในชุดคลุมสีดำเดินก้าวใหญ่ ๆ ออกมาจากหมอกโลหิต

เสียงร้องโหยหวนอย่างแปลกประหลาดดังออกมาจากหมอกโลหิตที่แตกสลาย พบเพียงว่าหมอกโลหิตพวกนั้นลอยไปรวมกันในที่ที่ห่างออกไป ผนึกรวมเป็นร่างผู้อาวุโสชนเผ่าเฉว่ซ่าอีกครั้ง

“ขนาดนี้ยังไม่ตายอีกหรือ? ช่างตายยากเสียจริง”

หลัวซิวปรากฏสีหน้าเย้ยหยันออกมา เห็นเพียงเขายื่นมือออกไปคว้า บนฝ่ามือข้างหนึ่งได้แสดงเตาเพลิงใบหนึ่งออกมา ครอบงำผู้อาวุโสชนเผ่าเฉว่ซ่าคนนั้นเอาไว้ด้านใน ธรรมเวชกาลล้นฮึกเหิมเพ่นพ่าน กลั่นแปรนานาสรรพสิ่ง

ในเมืองต้าฮวงโบราณ นักยุทธ์มากมายเมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง เป็นถึงผู้อาวุโสระดับมกุฎเทพขั้นเก้าของชนเผ่าเฉว่ซ่า ตอนนี้กลับตกอยู่ในการควบคุมของเทพมารระดับเก้าผู้หนึ่ง ธรรมเวชกาลล้นขับเคลื่อนแปรผัน พลังลดลงไปอย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกันนั้น มืออีกข้างหนึ่งของหลัวซิวก็มิได้อยู่นิ่ง พลังอมตะแขนงต่าง ๆ ถูกเขาแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง คนเผ่าเฉว่ซ่าคนอื่นที่มีผลการฝึกตนเพียงในระดับราชาเทพขั้นเก้าไม่อาจต้านทานการโจมตีของเขาได้เลย ต่างก็สูญเสียพลังชีวิต ดับสูญสิ้นชีพ!

“ผลัวะ!”

ไม่นานจากนั้น เตาเพลิงธรรมได้เปลี่ยนเป็นมือขวาของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ผังค่ายม้วนหนึ่งหล่นลงบนฝ่ามือของเขา ส่วนผู้อาวุโสชนเผ่าเฉว่ซ่าคนนั้นถูกเขากลั่นจนกลายเป็นฝุ่นธุลีไปโดยสิ้นเชิง

“ผู้ใดบังอาจอวดดีอยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณของข้า!”

ในตอนนี้เอง เสียงตวาดด้วยความโมโหดังลอยมา บุรุษหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำผู้หนึ่งได้นำผู้แข็งแกร่งของเมืองต้าฮวงโบราณมากมารีบมาอย่างเอิกเกริกดุดัน แต่พวกเขามาช้าไป เพราะการเข่นฆ่าต่อสู้ในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

“สหายหลัว? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

พบเพียงว่าบุรุษหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำคนนั้นก็คือฮวงหวูจี๋นั่นเอง เขามองเห็นหลัวซิวที่กำลังถูกจับจ้องด้วยสายตามากมาย อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางสงสัยออกมา

“สหายฮวงมาช้าไปนะ ข้ามาเมืองต้าฮวงโบราณของพวกเจ้าก็เพื่อแสดงความยินดีกับท่านเจ้าเมืองที่บรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง แต่กลับบังเอิญถูกชนเผ่าเฉว่ซ่ารอบโจมตีเข้า จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ะ!” หลัวซิวยิ้มกล่าว

ไม่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา บรรดานักยุทธ์โดยรอบที่ได้เห็นการต่อสู้ในเมื่อสักครู่ต่างมีสีหน้าท่าทางแปลกประหลาดขึ้นมา และแอบกล่าวอยู่ในใจว่าอย่างเจ้าเรียกเกือบเอาชีวิตไม่รอดหรือ? มกุฎเทพคนหนึ่งของชนเผ่าเฉว่ซ่าบวกกับราชาเทพนับสิบคนถูกเขาสังหารหมดคนเดียวเลยมิใช่หรือ?

มีคนของเมืองต้าฮวงโบราณเดินออกมาด้านหน้าแล้วบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดกับฮวงหวูจี๋ ทำให้ฮวงหวูจี๋มองไปยังหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ

“หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าความสามารถของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้เป็นความสะเพร่าของพวกเราเมืองต้าฮวงโบราณจริง ๆ เมืองต้าฮวงโบราณของเราจะต้องให้ชนเผ่าเฉว่ซ่าให้คำอธิบายออกมาอย่างแน่นอน!” ฮวงหวูจี๋กล่าว

ฮวงหวูจี๋ในตอนนี้ได้บรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว ในฐานะเจ้าเมืองน้อยของเมืองต้าฮวงโบราณ ความสามารถของเขาทัดเทียมได้กับมกุฎเทพระดับเก้า

แต่เมื่อเทียบกัน ความสามารถของหลัวซิวกลับสามารถสังหารมกุฎเทพระดับเก้าได้ ทัดเทียมกับสังหารกล่าวได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

……

กลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหลายปี เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฮวงหวูจี๋สุขุมเยือกเย็นกว่าเมื่อก่อนมากนัก

สิ่งที่หลัวซิวคิดไม่ถึงก็คือ ฮวงหวูจี๋ได้แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขานั้นเป็นบุตรสาวคนหนึ่งของตระกูลเทียนฮวง ว่ากันว่าเป็นผู้สืบทอดสายเลือดมหาเทพเสินหวง

ภายใต้คำเชื้อเชิญของฮวงหวูจี๋ หลัวซิวได้มาที่ตำหนักหลักเมือง

“สหายหลัว ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือภรรยาของข้า ชื่อว่าเสวียนอี”

หลัวซิวเงยหน้ามองไปดู พบเพียงว่าสตรีที่ชื่อเสวียนอีไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือว่าบุคลิกต่างก็เป็นตัวเลือกในระดับดียอด ยืนอยู่ด้วยกันกับฮวงหวูจี๋ ก็เปรียบเสมือนกิ่งทองใบหยก ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก

ผลการฝึกตนของสตรีที่ชื่อเสวียนอีนางนี้ก็ไม่ได้ต่ำเลย ก็เป็นยอดสตรีที่มีผลการฝึกตนในแดนราชาเทพระดับเก้า

ในโลกมหาศักดิ์แปดด้านในปัจจุบัน ในยุคของพวกหลัวซิว คนที่สามารถบรรลุถึงแดนราชาเทพขั้นเก้านั้นความจริงแล้วมีไม่มากนัก

“คารวะแม่นางเสวียนอี” หลัวซิวประสานมือทักทาย

“นายน้อยหวูจี๋เกรงใจเกินไปแล้ว” เสวียนอีแสดงความเคารพอย่างอ่อนหวาน อ่อนโยนสง่างาม มารยาทครบครัน

หลัวซิวกับฮวงหวูจี๋นั่งลง เสวียนอีรินน้ำชาให้อยู่ที่ด้านข้าง ภายในใจของหลัวซิวทราบดี เมืองต้าฮวงโบราณกับตระกูลเทียนฮวงเกี่ยวดองกัน ความจริงแล้วเป็นวิธีการรับมือกับมหาทัณฑ์อย่างหนึ่ง

เพราะอย่างไรก็ตามโลกร้างในปัจจุบันมิค่อยสงบสักเท่าไรนัก ความวุ่นวายก่อกำเนิด แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจพลันปรากฏ ฝีมือความสามารถนั้นแทบจะทับเทียมได้กับเมืองต้าฮวงโบราณ

และยังมีชนเผ่าเฉว่ซ่าที่มีการคลื่นไหวอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกับแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจอย่างลับ ๆ

ภายใต้สถานการณ์เล่นนี้ เมืองต้าฮวงโบราณเองก็จำต้องหาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงได้เลือกตระกูลเทียนฮวง

ตระกูลเทียนฮวง เป็นการสืบทอดที่ผู้สูงส่งโลกร้างทิ้งเอาไว้ แม้ว่าจะมีผู้แกร่งเลิศประจำการอยู่ในยุคนี้ แต่ก็ยังมีบรรพอาจารย์ระดับผู้สูงส่งที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก!

หลัวซิวนึกถึงตอนที่เขาเข้าร่วมการคัดเลือกของตระกูลเทียนฮวงขึ้นมา เขาเคยได้รับเคล็ดเซียนของมหาเทพเสินหวงตอนอยู่ในแดนปริศนาของสะพานวัฏสงสารสมุทรทุกขัง ตอนนั้นมันสามารถช่วยเหลือเขาได้เป็นอย่างมาก และเขายังได้สัญญาว่าสักวันใดหนึ่งเขาจะต้องดูแลช่วยเหลือตระกูลเทียนฮวง

“ภายใต้มหาทัณฑ์ จักต้องกำหนดจุดยืนของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นข้าควรยืนอยู่ด้านใด?” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท