มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2863 จักรพรรดิเทพทั้งสี่

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2863 จักรพรรดิเทพทั้งสี่

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2863

เมิ่งเชียนชางสีหน้าบึ้งตึง กล่าวเย้ยหยัน: “ไท่ซ่างฉิง ในเมื่อเจ้าแข็งแกร่งเช่นนี้มีความสามารถเอาชีวิตของมกุฎเทพระดับเก้าได้ ข้าเองก็เป็นมกุฎเทพระดับเก้าเช่นกัน เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าประมือกับข้า?”

เมิ่งเชียนชางอยากจัดการกับหลัวซิวให้ได้ในตอนนี้เลย แต่เขาเองก็ทราบดีว่ามีฮวงหวูจี๋อยู่ข้างกายหลัวซิว นอกเสียจากว่าหลัวซิวจะเป็นคนลงมือก่อนเอง มิเช่นนั้นเขาไม่มีโอกาสที่จะกำจัดหลัวซิวอยู่ที่นี่ให้ได้แน่

“เมิ่งเชียนชาง เจ้ากลัวหรือ?” หลัวซิวพลันยิ้มออกมา

“เหลวไหล! ข้าน่ะหรือกลัวเจ้า?” เมิ่งเชียนชางกล่าวอย่างดุดัน

“หากเจ้าไม่กลัวข้า ก็คงไม่รีบอยากลงมือกับข้าเช่นนี้ แต่ข้าได้บอกไปแล้ว รอผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงราชาเทพขั้นเก้า ต่อให้เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็จะเป็นคนไปหาเจ้าเอง”

สังหารมกุฎเทพคนหนึ่งของจ่างเทียนตี้ มันทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของหลัวซิวค่อย ๆ สงบลง สีหน้าท่าทางของเขาก็ได้กลับคืนสู่ความสงบเป็นมิตร น้ำเสียงก็ราบเรียบลง

เข้าทราบเป็นอย่างดี เมิ่งเชียนชางอยากกำจัดตนเองมาก ส่วนตนก็อยากทำลายกองกำลังจ่างเทียนตี้เช่นกัน ในเมื่อเมิ่งเชียนชางได้กลายเป็นโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ่างเทียนตี้ไปแล้ว เช่นนั้นผลลัพธ์ก็มีเพียงไม่เจ้าก็ข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

เมิ่งเชียนชางไม่ได้พูดอะไรอีก สะบัดแขนเสื้อหันหลังพาทุกคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเดินจากไปพร้อมกัน เขาได้แอบตัดสินใจอยู่ภายในใจแล้วว่า จักต้องกำจัดไท่ช่างฉิงให้ได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นหากให้เขาเติบโตขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสำหรับเขาหรือจ่างเทียนตี้ ต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

เจ้าเมืองต้าฮวงบรรลุแดนผู้สูงส่งในครั้งนี้ โดยทั่วไปกองกำลังที่มีหน้ามีตาในโลกร้างต่างก็ได้ส่งคนมาแสดงความยินดี

เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองต้าฮวงโบราณ ย่อมไม่อาจรอดพ้นจากหูตาของกองกำลังต่าง ๆ ไปได้ เพียงชั่วขณะเท่านั้น ชื่อของหลัวซิวนายน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ก็มักถูกคนกล่าวถึงอยู่บ่อย ๆ

“คิดไม่ถึงเลยว่าจ่างเทียนตี้จะส่งโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์มา……”

ในโถงประชุมของตำหนักหลักเมือง เจ้าเมืองต้าฮวงที่เพิ่งบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง มีสีหน้าเคร่งเครียด ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็มากันครบแล้ว แต่จะคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด

กองกำลังจ่างเทียนตี้นั้นลึกลับมา ก่อกำเนิดขึ้นเร็วสุดในยุคไท่ชู มหาทัณฑ์บำเพ็ญปรปักษ์และตระกูลสำนักต่าง ๆ ต่อต้านประมุขเต๋าสวรรค์ในแต่ละครั้งนั้น ล้วนมีเงาของจ่างเทียนตี้อยู่เบื้องหลัง

ในตอนแรกเริ่ม ตระกูลโบราณในทุกรอบด้านต่างไม่เห็นกองกำลังนี้อยู่ในสายตา จนกระทั่งมาถึงสมัยวัฏสงสาร การเคลื่อนไหวของจ่างเทียนตี้ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้ตกอยู่ในสายตาของตระกูลโบราณในทุกรอบด้านอย่างจริงจัง

การสืบทอดจ่างเทียนตี้ดำรงมาจนถึงปัจจุบัน ได้รวบรวมสะสมรากฐานและความสามารถเอาไว้ไม่รู้มากน้อยเพียงใด แม้แต่บรรพโบราณทั้งแปดท่านที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ยังยำเกรง

ตามรายงานที่ชนเผ่าฮวงมีอยู่ในมือ โอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับเดียวกันกับนายน้อย มีอำนาจเท่ากันกับผู้อาวุโส ในระดับที่สอดคล้องกันกับโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้น ยังมีโอรสเต๋าธรณี โอรสเต๋าธรณีในชาตินี้คือผู้ใดนั้น ยังไม่มีผู้ใดทราบ

แต่สิ่งที่ชนเผ่าฮวงใส่ใจที่สุดนั้นไม่ใช่ว่าใครคือโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่คือพวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนของจ่างเทียนตี้จะปรากฏออกมาในที่แจ้ง

“ในเมื่อคนของจ่างเทียนตี้กล้าปรากฏตัวขึ้นในโลกร้างอย่างโจ่งแจ้ง กระทั่งที่ว่าปรากฏตัวขึ้นในเมืองต้าฮวงโบราณของพวกเราโดยตรง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่กลัวชนเผ่าฮวงของเราเลยสักนิด”

“ในทางกลับกันหากพวกเราลงมือควบคุมตัวโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์คนนี้เอาไว้ อาจทำให้จ่างเทียนตี้หาข้ออ้างมาเล่นงานชนเผ่าฮวงของเราได้ แม้ว่าพวกเรามีผู้บุกเบิกประจำการอยู่ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร แต่ผู้บุกเบิกก็เคยได้กล่าวเอาไว้ว่า ผู้ที่ควบคุมอยู่เบื้องหลังจ่างเทียนตี้ อาจไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บุกเบิกของพวกเราเลย!”

“มหาทัณฑ์ครั้งนี้ อาจเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่อให้เป็นแปดตระกูลโบราณอย่างพวกเราก็ต้องระมัดระวัง เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ หากไม่ทันระวังบังเอิญเข้าไปเกี่ยวข้อง ร่างตายเต๋าสลายถือเป็นเรื่องเล็ก หากทำให้ทั้งชนเผ่าขาดการสืบทอดต่อไป จะไม่ทำให้ผู้บุกเบิกที่สร้างสายของเราขึ้นมาเสียใจหรอกหรือ?”

……

ในเรือนแห่งหนึ่งของเมืองต้าฮวงโบราณ เมิ่งเชียนชางมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างสุดขีด เดินไปมาอยู่ภายในห้อง

พักใหญ่หลังจากนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าลง พลิกมือเอาไข่มุกสื่อสารเม็ดหนึ่งออกมา แล้วกล่าวพึมพำ: “ไท่ซ่างฉิงนะไท่ซ่างฉิง แม้ข้าจะอยากสังหารเจ้าเองกับมือ แต่เพื่อเอาชีวิตของเจ้าให้ได้โดยเร็ว ข้าคงได้แต่ขอให้คนอื่นลงมือกำจัดเจ้าแทนแล้ว!”

เมื่อคนของกองกำลังอื่น ๆ ทยอยกันมามากขึ้นเรื่อย ๆ เมืองต้าฮวงโบราณก็ได้จัดงานเลี้ยงขึ้น เพื่อต้อนรับบรรดาตัวแทนจากกองกำลังต่าง ๆ ที่ได้มาแสดงความยินดี

หลัวซิวได้ปฏิเสธคำชักชวนให้อยู่ต่อของฮวงหวูจี๋ เหาะเหินเดินอากาศเพียงลำพัง ออกไปจากเมืองต้าฮวงโบราณ

แม้เขาจะเดาว่าเมิ่งเชียนชางอาจใช้โอกาสนี้เพื่อต่อกรกับเขา แต่สำหรับหลัวซิวที่ครอบครองตรีภพหวูจี๋ยอดสุดแล้ว นอกเสียจากว่าจะมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าเป็นคนลงมือเอง มิเช่นนั้นแค่อาศัยความสามารถของเมิ่งเชียนชางไม่อาจรั้งเขาเอาไว้ได้

ไม่แน่ว่าเขาอาศัยอานุภาพของเตาตรีภพหวูจี๋ อาจจะกำจัดเมิ่งเชียนชางได้ด้วยก็เป็นได้

หากไม่จำเป็นจริง ๆ ไพ่ใบสำคัญอย่างเตาตรีภพหวูจี๋ หลัวซิวไม่อยากจะใช้มันสักเท่าไรนัก เพราะมันเป็นสมบัติที่เขาจะใช้ตั้งหลักเป็นเวลานานในอนาคตของเขา

ทว่าที่หลัวซิวคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งออกมาจากเมืองต้าฮวงโบราณได้ไม่ไกล คนของเมิ่งเชียนชางยังไม่ทันไล่ตามมา เสียงขิมสายหนึ่งก็ได้ดังลอยมาในอากาศ

เสียงขิมประดุจดั่งคมมีด กลายเป็นตัวสำนึกบุกเข้าโจมตีตัวหยั่งรู้ของเขา

ร่างของหลัวซิวหยุดลงในอากาศ ปากก็ส่งเสียงทอดถอนใจเบา ๆ “ชีชี เจ้าทำแบบนี้แล้วได้อะไร?”

การโจมตีตัวสำนึกที่แปลงมาจากเสียงขิมไม่สามารถสั่นคลอนตัวหยั่งรู้ของเขาได้เลย เพราะตัวหยั่งรู้ของเขามีหอคอยฮวงเฝ้ารักษาอยู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงเงาสายหนึ่งของหอคอยหวง แต่นั่นก็เป็นต้นกำเนิดส่วนหนึ่งของหอคอยฮวง

และนี้ก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งที่หอคอยฮวงมีต่อผู้สืบทอด เว้นเสียแต่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก มิเช่นนั้นแม้ร่างกายจะตาย แต่เงาที่แปลงมาจากหอคอยฮวงดั้งเดิม ก็สามารถคุ้มครองวิญญาณดั้งเดิมวิญญาณดั้งเดิมของผู้สืบทอดไม่ให้ดับได้

ในอนัตตาที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดรุณีที่สวมชุดกระโปรงยาวพลิ้วไสว โฉมสะคราญงามหยดย้อยผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา ใบหน้าเย็นชา มือถือขิมโบราณ

ดรุณีนางนี้ ก็คือชีชีนั่นเอง วินาทีที่ได้ยินเสียงขิม หลัวซิวก็รู้ทันทีว่าเป็นนาง เพราะเสียงของขิมเก้าบรรเลงอาดูร เป็นเสียงเต๋าที่ไม่เหมือนใครในโลก

“แค่ก ๆ ……”

ของชีชี

“คือว่า……ข้าว่าสหายหลัว ชีชีจะมาสังหารเจ้าให้ได้ ข้าแค่มาเป็นเพื่อนนาง ไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไรกับเจ้าเลย……”

ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมีความรู้สึกหวาดเกรงหลัวซิวโดยสัญชาตญาณ ดังนั้นพอปรากฏตัวก็ประกาศจุดยืนทันที

“ไม่เจอกันนานหลายปี ความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าก็ไม่ช้าเลยนะ แต่ต่อให้เจ้ากับชีชีร่วมมือกัน ก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบ ๆ

“สหายหลัว ท่านพูดเช่นนี้มันแทงใจดำคนอื่นไปหน่อยไหม?” ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขาเองก็รู้ถึงแม้ว่าเขาจะบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าแล้ว แต่ความสามารถเล็กน้อยเพียงเท่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิวไม่พอดูเลยสักนิด

สายตาของหลัวซิวมองไปที่ชีชี ทอดถอนใจกล่าว: “ชีชี เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ความแค้นของคนรุ่นก่อน ไม่ควรดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นหยูเวยที่ผูกมัดจนเกินไป”

“ความผูกมัดของอาจารย์ เดิมก็ควรมีข้าผู้เป็นศิษย์มาสานต่อ อาจารย์ได้บอกกับข้าตอนก่อนจากไปว่า หากเจ้ากลับชาติมาเกิด ให้ข้าสังหารร่างกลับชาติมาเกิดของเจ้าเสีย!”

แววตาของชีชีนั้นเย็นชามาก นางกล่าวทีละคำอย่างเน้นย้ำ: “แม้ข้าจะรู้ว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ข้าก็ยังจะทำ ต่อให้ต้องตายในเงื้อมมือของเจ้า ก็นับว่าข้าไม่ผิดต่อพระคุณที่ท่านอาจารย์ได้เลี้ยงดูสั่งสอนข้ามา”

หลัวซิวอ้าปากเล็กน้อย ตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรนั่นเอง คลื่นพลังอันแข็งแกร่งทั้งยังแปลกประหลาดพลันลอยเข้ามาจากทั่วทุกด้าน คลื่นพลังกลุ่มนี้ครอบคลุมเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแค่เขา แม้แต่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกับชีชี ต่างก็ถูกรวมอยู่ข้างใน

ทันใดนั้นเอง การโจมตีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงขิมเก้าบรรเลงอาดูรในเมื่อสักครู่ได้โจมตีเข้าสู่ตัวหยั่งรู้

แม้ว่าการโจมตีตัวสำนึกนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่วิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิวได้ผนึกรวมเป็นญาณเทว และยังมีการสยบของหอคอยฮวงดั้งเดิม ย่อมสามารถต้านรับการโจมตีนี้เอาไว้อย่างง่ายดายเป็นธรรมดา

เขาต้านทานเอาไว้ได้ ทว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกับชีชีไม่แน่ว่าจะสามารถต้านรับได้!

ในขณะเดียวกัน มีเงาร่างสี่สายลอยปรากฏขึ้นมาในอนัตตา เงาร่างแต่ละสายต่างถูกครอบคลุมอยู่ในแสงเทว กงล้อเทพเจ็ดสายลอยขึ้นมาที่ด้านหลังศีรษะ!

“จักรพรรดิเทพ……วัฏจักรเจ็ด!”

หลัวซิวตกตะลึง จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดเป็นผู้แข็งแกร่งที่พบเห็นได้น้อยมากแล้วในโลกร้าง เหตุจู่ ๆ ถึงมาปรากฏอยู่ที่นี่พร้อมกันสี่คน?

“ผลัวะ!”

การโจมตีตัวสำนึกที่จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดทั้งสี่คนแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด? ต่อให้เป็นหลัวซิวหากไม่ได้ผนึกรวมญาณเทวดั้งเดิม หากไม่มีการสยบจากหอคอยฮวงดั้งเดิม เกรงว่าคงยากที่ต้านทานเอาไว้ได้

ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกับชีชีไม่มีความสามารถเช่นนี้อย่างเขา วินาทีที่ถูกโจมตีจากตัวสำนึก ก็พากันกระอักเลือดออกมาทันที รูม่านตาขยายใหญ่ ตัวหยั่งรู้แทบถูกโจมตีจนพังพินาศ!

“แย่แล้ว!”

เงาร่างของหลัวซิวขยับอย่างรวดเร็ว มายังข้างกายของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกับชีชี ยกมือขึ้นโบก เอาพวกเขาเข้าไปเก็บในปริภูมิของของขลังชิ้นหนึ่ง

“นึกไม่ถึงว่าจะต้านตัวสำนึกที่พวกเราทั้งสี่คนร่วมกันโจมตีได้ บนร่างของเจ้าหนุ่มคนนี้จักต้องมีศัสตราวุธคุ้มครองวิญญาณอยู่ย่างแน่นอน!”

จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดผู้หนึ่งกล่าวอย่างเย้ยหยัน: “สมบัติเช่นนี้ตกอยู่ในมือของเทพมารระดับเก้าเล็ก ๆ คนหนึ่ง มันช่างทำให้ของดี ๆ ดูต่ำลงจริง ๆ”

ระหว่างที่กล่าวนั้น จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดก็ยกมือขึ้นโบก ดาราหนึ่งร้อยแปดดวงได้ปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้า ดาราแต่ละดวงนั้นต่างเปล่งประกายแวววาว แพรวพราวสะดุดตา

เป็นที่ประจักษ์ จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดผู้นี้ได้ฝึกฝนวิชากลั่นร่างร้อยแปดจุดจนบรรลุถึงแดนที่ลึกซึ้งมาก และได้ฝึกฝนดาราร้อยแปดดวงออกมา ฝึกเซ่นมันให้กลายเป็นสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชีวี!

พบเพียงว่าดาราทั้งร้อยแปดดวงได้เรียงกันเป็นค่ายกล แสงดาราได้กระจายออกเป็นวงกว้าง กลั่นแปรนานาสรรพสิ่ง

“จากข้ามูลที่ได้มา เจ้าคนนี้สามารถรับมือการสังหารของจักรพรรดิเทพได้ พวกเราลงมือพร้อมกัน ต้องเอาชีวิตของมันให้ได้ในครั้งเดียว!”

จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดอีกคนก็ได้ลงมือด้วยเช่นกัน พบเพียงว่าสองมือของเขาวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้พลังอมตะที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งแขนงหนึ่งออกมา

เนื่องจากสำหรับผู้แข็งแกร่งในแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด สามารถแสดงพลังอมตะมากมายออกมาได้อย่างง่ายดาย และโดยทั่วไปเคล็ดวิชาที่จำเป็นต้องวาดตราประทับอย่างซับซ้อนนั้น ล้วนมักเป็นพลังอมตะที่มีอานุภาพมหาศาล

ห่างออกไปจากสนามรบแห่งนี้นับพันลี้ เมิ่งเชียนชางสองมือไขว้หลัง ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองไกลออกไป

“ไท่ซ่างฉิง ชาตินี้เจ้ามีผลการฝึกตนเพียงในแดนเทพมารระดับเก้า สามารถตายในเงื้อมมือของจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดทั้งสี่ได้ ก็นับว่าเจ้าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว!”

เพื่อกำจัดหลัวซิวให้ได้ในครั้งนี้ เมิ่งเชียนชางได้เชิญผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพสี่คนของจ่างเทียนตี้ พวกเขาคือจักรพรรดิเทพเจี้ยนบู จักรพรรดิเทพต้วนคง จักรพรรดิเทพหนานกวน จักรพรรดิเทพเทียนหยวน

ผู้ที่สร้างค่ายกลด้วยดาราร้อยแปดดวงคือจักรพรรดิเทพเจี้ยนบู ส่วนผู้ที่แสดงพลังอมตะออกมาคือ

“พลังอมตะต้วนคง!”

ทันทีทันใด ฟ้าดินร้องคำราม พลังอมตะแขนงนี้ถูกตั้งชื่อตามนามของจักรพรรดิเทพต้วนคง ย่อมต้องเป็นวิชายิ่งเลิศที่เขาคิดค้นขึ้นมาจากการฝึกฝนอย่างยากลำบากมาพันล้านปีอย่างแน่นอน

เห็นเพียงเขาผลักมือทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า แสงเทวสายหนึ่งตัดขวางฟ้าดิน เหมือนดั่งว่าผืนฟ้าถูกแสงเทวสายนี้ตัดแยกออกเป็นสองส่วน!

พอเพียงว่าแสงเทวเป็นเหมือนดั่งกระบี่ กวาดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า วิ่งเข้าไปหาหลัวซิว

แสงดาวมหาศาลทับถมครอบคลุมลงมา พลังโจมตีของแสงดาวพวกนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรนัก แต่กลับทำให้บริเวณโดยรอบเหนียวหนืดถึงขีดสุด ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนอยู่ในดินโคลน ได้รับผลกระทบในทุกการเคลื่อนไหว

ด้วยความเร็วที่ได้รับผลกระทบในตอนนี้ของเขา ไม่สามารถหลบพ้นแสงเทวที่ตัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างนั่นได้เลย

“เตาอลวนหวูจี๋!”

ในช่วงคับขันของชีวิตนั่นเอง หลัวซิวไม่กังวลว่าความสามารถของตนเองจะถูกเปิดเผยอีกต่อไป เขาเซ่นเอาเตาอลวนหวูจี๋ออกมาทันที แสงเทวอลวนพุ่งลงมาสายแล้วสายเล่า ปกป้องร่างของเขาเอาไว้

ในขณะเดียวกัน แสงเทวมหาศาลพุงออกมาจากเตาเทว ทับถมแสงดาว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ!

อิทธิฤทธิ์ของอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอด ระเบิดออกมาอย่างดุร้าย!

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท