มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2866
“หลัว…เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินไม่ได้ไล่ตาม ยันต์ทะลุฟ้าที่คู่ต่อสู้ใช้มีระดับสูงมาก เขาเองก็ไม่เชี่ยวชาญในวิถีแห่งเต๋าปริภูมิ แม้ว่าเขาจะไล่ตามไปก็ไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับชื่อเรียกของหลัวซิวนั้น ตู๋กูเจี้ยนเฉินรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย มันคงจะดีถ้าเจ้าแดนไม่ได้บอกเขาถึงเรื่องนี้ แต่ในเมื่อเจ้าแดนได้พูดถึงแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่เขาควรเรียกหลัวซิวว่าอาจารย์อาถึงจะถูก
แต่เรียกแบบนี้ ตู๋กูเจี้ยนเฉินเรียกออกมาไม่ค่อยได้
“เจ้าดูแล้วข้าเหมือนไม่เป็นไรไหม?” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนล้า “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าข้าจะต้องตายจริงๆ”
“จะมีจักรพรรดิเทพสี่คนร่วมมือกันโจมตีเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเป็นใครกัน?” ตู๋กูเจี้ยนเฉินพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว แม้ว่าอาการบาดเจ็บของหลัวซิวหักมาก แต่เขาไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะเขารู้ดีว่าอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยนี้ยังเอาชีวิตของเขาไม่ได้
“น่าจะเป็นคนของจ่างเทียนตี้เมิ่งเชียนชางกลายเป็นโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ่างเทียนตี้ ข้าบังเอิญเจอเขาในเมืองต้าฮวงโบราณ…” หลัวซิวกล่าว
“เมิ่งเชียนชาง!?”
รูม่านตาของตู๋กูเจี้ยนเฉินหดตัวลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร เขาจะไม่มีวันลืมว่าเขาเกือบตายด้วยน้ำมือของเมิ่งเชียนชางในตอนนั้น หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากไท่ซ่างฉิง ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็จะไม่มีวันรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ตอนนี้เจ้าฆ่าเขาเหมือนฆ่าไก่ แต่เมิ่งเชียนชางจะไม่วิ่งมาตายตรงหน้าเจ้าอย่างโง่เขลา”
แม้ว่าทั่วร่างของเขาจะเต็มไปด้วยเลือด แต่หลัวซิวก็ยังมีอารมณ์ล้อเล่นอยู่ที่นี่ ซึ่งทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินหมดคำพูดที่จะพูดจริงๆ
ทานยารักษาอาการบาดเจ็บควบคู่ไปกับพลังแห่งกำเนิดของวิวัฒนาการไร้ลักษณ์ อาการบาดเจ็บของหลัวซิวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ในช่วงพักฟื้นของหลัวซิว ตู๋กูเจี้ยนเฉินยืนเคียงข้างเขาตลอดเวลา และ จ่างเทียนตี้ก็ไม่ได้ส่งคนมาแอลลอบโจมตีและสังหารพวกเขา
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้น อาการบาดเจ็บของเขาก็หายดีเกือบหมดแล้ว เห็นเพียงเขาโบกมือ ก็ปล่อยชีชีและลิ่งฮู๋จื่อเซวียนออกจากสมบัติปริภูมิ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนตะโกนโหวกเหวกทันทีที่เขาออกมา จู่ๆ เขาก็ถูกโจมตีโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเทียบกับลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแล้ว สีหน้าของชีชีสงบกว่ามาก นางแค่จ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ไท่ซ่างฉิง เคยเป็นคนที่นางนับถือมากที่สุด แต่ก่อนที่อาจารย์ของนางจะตาย นางบอกนางว่าไท่ซ่างฉิงเป็นศัตรูของนาง และอาจารย์ขอให้นางตามหาการกลับชาติมาเกิดของไท่ซ่างฉิง แล้วฆ่าเขา… …
“ครั้งนี้ ข้าทำให้พวกเจ้าตกไปอยู่ในอัตราย เปล้าหมายของอีกฝ่ายคือข้า” หลัวซิวกล่าวขอโทษ
“เขา…คือ…”
ในขณะนี้ ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเห็นตู๋กูเจี้ยนเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลัวซิว แม้ว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนจะไม่เคยเห็นเจี้ยนเฉินมาก่อน แต่เขาเคยเห็นรูปเหมือนของเจี้ยนเฉินในหนังสือของตระกูล เพราะตู๋กูเจี้ยนเฉินและบรรพบุรุษของตระกูลลิ่งฮู๋นั้นเป็นคนสมัยเดียวกัน!
ชีชีก็เห็นตู๋กูเจี้ยนเฉินด้วยเช่นกัน แม้ว่านางจะมองผลการฝึกตนของเขาไม่ออก แต่นางก็รู้ว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่หยั่งลึกไม่ถึง
“วันนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้”
ชีชีพูดอย่างเฉยเมย หลังจากมองดูหลัวซิวอย่างนิ่งๆแล้ว นางก็หันกลับและจากไป รูปร่างของนางดูอ่อนช้อย แต่มีร่องรอยของความหนาวเย็น ความเศร้าโศก และความสับสน
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเกาหัว ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเคอะเขินให้หลัวซิวและติดตามชีชีไปโดยไม่ลังเล
“นางอยากฆ่าเจ้า?” เมื่อเห็นชีชีพวกเขาทั้งสองจากไป ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองไปที่หลัวซิวที่อยู่ข้างๆเขาด้วยความสงสัย
“นางเป็นศิษย์ของหยูเวย” หลัวซิวกล่าว
“ฉินหยูเวย?” มีนัยแห่งความเข้าใจในดวงตาของตู๋กูเจี้ยนเฉิน เมื่อเขาสังเกตเห็นความจนปัญญาบนใบหน้าของหลัวซิว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าสมควรจริงๆ ใครให้เจ้าเก่งกาจมากเช่นนี้ ใครทำให้เจ้าปล่อยเสน่ห์ไปทั่วกัน? นี่คือกรรม นี่คือกรรม!”
ในฐานะคนร่วมสมัยเดียวกัน ตู๋กูเจี้ยนเฉินรู้จักฉินหยูเวยโดยธรรมชาติและรู้ด้วยว่าฉินหยูเวยเป็นผู้สืบทอดของขิมเก้าบรรเลงอาดูรในยุคสมัยนั้น ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าฉินหยูเวย เป็นผู้หญิงที่ทรงพลังมาก สิ่งที่นางไม่ได้มานางยอมที่จะทำลายมันลง!
“เรากลับกันเถอะ” หลัวซิวส่ายหัว ไม่ได้ฟังคำพูดของตู๋กูเจี้ยนเฉิน
…
กองกำลังของจ่างเทียนตี้แผ่กระจายไปทั่วโลกมหาศักดิ์อัษฎทิศ ในส่วนลึกของดาราอันห่างไกลในโลกร้าง มีดาราขนาดเล็กที่ไม่รู้จัก ดารานี้ถูกซ่อนเร้นปิดบังด้วยค่ายกลมากมาย แม้ผู้แข็งแกร่งจะเดินทางผ่านบริเวณใกล้นี้ก็จะไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
และนี่คือสาขาแยกของ จ่างเทียนตี้ในโลกร้าง
ในฐานะโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ มีตำแหน่งและอำนาจที่สูงมากในจ่างเทียนตี้ ขณะนี้ ในสาขาแยกนี้ เมิ่งเชียนชางกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งสูง ในดวงตามีความเหี้ยมโหดเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสทั้งสี่ พวกเจ้าทั้งสี่เป็นจักรพรรดิเทพร่วมมือกันก็ไม่สามารถสังหารร่างที่กลับชาติมาเกิดของไท่ซ่างฉิงได้ ข้าผิดหวังมากจริงๆ!” เมิ่งเชียนชางตะคอกด้วยความผิดหวังอย่างมาก
แม้ว่าเมิ่งเชียนชางจะเป็นเพียงมกุฎเทพระดับเก้าเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิเทพแล้วก็ยังต้องก้มศีรษะให้เขา
“โอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ใจเย็น ๆ ข้าน้อยไร้ความสามาอรับรถข”
จักรพรรดิเทพเทียนหยวนซึ่งเป็นผู้นำในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่ ได้ก้าวออกมาและอธิบายว่า “ครั้งนี้ สาเหตุหลักที่พลาดไปเป็นเพราะคำนวณความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายผิด หากไม่มีเตาเทพนั้น หลัวซิวจะถูกพวกเราฆ่าไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องล่าช้าจนกว่าตู๋กูเจี้ยนเฉินจะมาถึงขอรับ”
เมิ่งเชียนชางขมวดคิ้ว “แต่ความล้มเหลวของพวกเจ้าคือความจริง!”
สีหน้าของจักรพรรดิเทพเทียนหยวนทั้งสี่ไม่น่ามองเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรอีกเนื่องจากตำแหน่งของอีกฝ่ายคือโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ใน จ่างเทียนตี้ลำดับชั้นของตำแหน่งนั้นชัดเจนมาก ตำแหน่งสูงสุดคือเทพปรมาจารย์ รองลงมาคือผู้อาวุโสไท่ซ่าง ผู้อาวุโส ผู้คุมกฎ ผู้ดูแลและสาธุชน
พวกเขาทั้งสี่มีป้ายของผู้อาวุโส แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงผู้อาวุโสของสาขาแยกเท่านั้น และสามารถนับได้ว่าเป็นเพียงผู้คุมกฎระดับแรกเท่านั้น
และตำแหน่งของโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเท่ากับผู้อาวุโส แปลงเป็นความแข็งแกร่งของผลการฝึกตน ก็คือมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับหนึ่ง!
ใน จ่างเทียนตี้มีกฎที่เข้มงวด หากผู้ที่มีตำแหน่งต่ำกว่าทำให้ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าโมโห การลงโทษจะรุนแรงมาก
“เหตุใดโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงพิโรธนัก?”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะดังขึ้นมา จากนั้นชายวัยกลางคนที่มีผมยาวปล่อยลงมาก็เดินเข้ามาในห้องโถง
ชายวัยกลางคนนี้แต่งกายด้วยชุดยาวเนื้อดี เดินมาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม ทรงพลังมีความสง่างามขณะพูดคุยและหัวเราะ
“ท่านผู้นำ!”
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามา จักรพรรดิเทพเทียนหยวนทั้งสี่ก็รีบคำนับและเรียกด้วยความเคารพ
หากพวกเขาเผชิญหน้ากับเมิ่งเชียนชาง พวกเขาก็ให้ความเคารพเพราะตำแหน่งของอีกฝ่าย แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับท่านผู้นำสาขาแยกของโลกร้าง แต่มาจากความน่าเกรงขามในความแข็งแกร่งอันทรงพลังของเขา!
ชายวัยกลางคนชื่อเซียวหลง และเขายังเป็นผู้แข็งแกร่งที่รู้จักกันดีในโลกร้าง ผลการฝึกตนของเขาไม่สูงนัก เป็นจักรพรรดิเทพที่ผนึกรวมกงล้อเทพทั้งเจ็ด แต่เขามีความแข็งแกร่งที่เกือบจะเทียบได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด!
“ท่านผู้นำเซียวเจ้ามาทันเวลาพอดี!”
เมิ่งเชียนชางส่งเสียงเย็นเบา ๆ ไม่ว่า เซียวหลงจะมีชื่อเสียงแค่ไหน เขาก็ยังไม่วางไว้ในใจ เพราะไม่ว่าในชาติแล้วหรือในอนาคตของชาตินี้ คนอย่าง เซียวหลงในสายตาของเขามันก็แค่คนที่เหมือนกับมดตัวเล็กๆเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดอะไร โอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เป็นความผิดของผู้คุมกฎทั้งสี่ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้าจัดการเรื่องนี้ได้ไม่สำเร็จ เนื่องจากเป็นคนที่โอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ต้องการฆ่า ข้า เซียวหลง สามารถทำแทนได้บ้าง…”
ตำแหน่งของ เซียวหลงเกือบจะเท่ากับผู้อาวุโส ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าชื่อของโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์มีความหมายที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อเมิ่งเชียนชางอย่างสุภาพมาก และรักษาตำแหน่งของตนให้ต่ำ
“ท่านผู้นำเซียวเต็มใจที่จะลงมือ นั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะประเมินท่านผู้นำต่ำไป หลัวซิวคนนั้นมีมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดคอยคุ้มกันเขาอยู่” เมิ่งเชียนชางกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวหลงส่ายหัวอย่างไม่สนใจ “ตู๋กูเจี้ยนเฉินคนนั้นเพิ่งบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด จะต้องใช้เวลาในทำให้ผลการฝึกตนของเขาให้คงที่ เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องหลัวซิวเป็นเวลานาน ทันทีที่ข้างกายเขาไม่มีมหาจักรพรรดิยุทธ์คอยคุ้มกัน งั้นข้าแค่ลงมือ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
“ตกลง! ถ้าท่านผู้นำเซียวสามารถฆ่าคนๆนั้นได้ ข้าจะจำความช่วยเหลือนี้ไว้!” สีหน้าของเมิ่งเชียนชางเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นกระตือรือร้น เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
…
หลังจากกลับมาที่อาณากระบี่หวูจี๋แล้ว ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ถอยออกไปปิดขังฝึกตนทุกขเวทนาต่อ เพราะเขาเพิ่งบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดไม่นาน หากเขาไม่ทำให้ผลการฝึกตนของเขาให้มั่นคงอย่างทันเวลา จะส่งผลต่อรากฐานและความก้าวหน้าในอนาคตของเขา
และหลัวซิวก็ตรงไปที่ หุบเขากระบี่และในห้องใต้หลังคา เขาเห็นศิษย์พี่ตู๋กูของเขา
“ข้ารู้สึกโล่งใจมากที่เห็นว่าศิษย์น้องปลอดภัยดี” เมื่อเห็นหลัวซิวเดินเข้ามา ตู๋กูก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม
หลัวซิวรู้ว่าศิษย์พี่ของเขาส่งเจี้ยนเฉินไปช่วยเขา ดังนั้นหลัวซิวจึงกำหมัดคำนับ “ครั้งนี้ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยข้า”
“เจ้าและข้ามีอาจารย์คนเดียวกัน เราสนิทกันเหมือนพี่น้อง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเกรงใจ” ตู๋กูยิ้ม
“ครั้งนี้ข้ามาหาศิษย์พี่ เพราะอยากจะถามว่าข้ามีรางวัลบางอย่างที่บุกทะลวงวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ข้ายังไม่ได้ไปรับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตู๋กูก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “ศิษย์น้องได้ตาอลวนหวูจี๋แล้วไม่ใช่รึ? สมบัตินั่นทำให้ข้าอิจฉานัก ยังมีรางวัลที่ยังไม่ได้รับที่ไหนกัน?”
หลัวซิวนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับตู๋กูในท่าทางสบายๆ และพูดช้าๆ “ให้ข้าถามศิษย์พี่ ศิษย์พี่บุกทะลวงไปถึงชั้นที่สิบใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์และจากนั้นได้รับรางวัลจากอาจารย์ ได้รับของมีค่า วัตถุดิบ จากนั้นจึงอัปเกรดกระบี่เทพชีวีของตนขึ้นเป็นระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นสูงใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ตู๋กูพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นหากศิษย์พี่ไปบุกทะลวงอีกครั้ง หากบุกทะลวงไปถึงชั้นที่สิบเอ็ดกฌจะได้รับรางวัลจากอาจารย์อีกครั้งใช่ไหม?” หลัวซิวถาม
“ตามกฎแล้ว ดูเหมือนจะใช่ แต่รางวัลของชั้นสิบเอ็ดนั้นธรรมดา มีเพียงบุกทะลวงไปถึงชั้นที่สิบห้าเท่านั้น สมบัติที่อาจารย์จะมอบให้เป็นรางวัลจะได้รับการอัพเกรดเป็นระดับที่สูงขึ้น” ตู๋กูกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่สงสัยเขา
“นั่นยังไม่พออีกเหรอ?” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง “งั้นข้าบุกทะลวงไปถึงชั้นที่สิบ ดังนั้นข้าควรจะได้รับรางวัลชั้นที่สิบ จากนั้นรางวัลของชั้นที่สิบเอ็ด ไปจนถึงชั้นที่สิบแปด ข้าควรจะได้ถึงจะถูกต้อง แต่ข้าเพิ่งได้รับรางวัลของชั้นที่สิบเก้าเท่านั้น”
“ถ้าข้าบุกทะลวงไปถึงชั้นที่สิบเก้า ข้าจะได้รางวัลครั้งเดียว แต่ศิษย์พี่ เจ้าจะได้รับรางวัลหลายครั้งเมื่อเจ้าบุกทะลวงขึ้นไปที่ชั้นที่สิบเก้าทีละขั้น มันไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเลยสักนิดเหรอไม่ใช่หรือ?”
หลังจากคำพูดนี้ของหลัวซิวพูดออกมา ทำให้ตู๋กูตกตะลึง นอกจากจะตกตะลึงแล้วก็ยังคงตกตะลึง
“นี่… ศิษย์น้อง สิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนจะมีเหตุผล…”
หลังจากนั้นไม่นาน ตู๋กูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม เรื่องของรางวัลไม่ได้ขึ้นอยู่กับศิษย์พี่ ต้องทำตามข้อตกลงของอาจารย์”
ขณะที่พูด ตู๋กูหยิบยันต์หยกออกมา เขายกมือขึ้นและผนึกสูตร จากนั้นจึงส่งสิ่งที่เขาต้องการพูดกับมกุฎเต๋าหวูจี๋ส่งผ่านยันต์หยกโดยตรง
ในบรรดาศิษย์หลายคนของ มกุฎเต๋าหวูจี๋มีเพียงตู๋กูเท่านั้นที่สามารถติดต่ออาจารย์ได้โดยตรง เช่น หลัวซิวและศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น ๆ จะพบ มกุฎเต๋าหวูจี๋ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาถูกอาจารย์เรียก