มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2869
“นี่เพียงแค่ชั้นที่ยี่สิบสามเท่านั้น…”
หลัวซิวส่ายหัวด้วยรอยยิ้มบางๆและพึมพำกับตัวเอง คู่ต่อสู้บนชั้นยี่สิบสามนั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นคู่ต่อสู้บนชั้นสามสิบสาม ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งระดับไหนกัน?
“อะไรนะ ศิษย์น้อง เจ้าบุกทะลวงขึ้นไปถึงชั้นที่ยี่สิบสามแล้วรึ?”
เมื่อตู๋กูได้ยินเขาพูดพึมพำ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที
ในเวลาเดียวกัน มกุฎเต๋าหวูจี๋ซึ่งให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย
“อาจารย์ ศิษย์น้องเล็กคนนี้ขึ้นไปได้กี่ชั้นแล้ว?” เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอาจารย์ ฉินจ้านก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่ธรรมดาเลย” มกุฎเต๋าหวูจี๋พูด “เขาบุกทะลวงผ่านชั้นที่ยี่สิบสอง และมาถึงชั้นที่ยี่สิบสาม ราวกับเซียนแท้!”
“เก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ?” สีหน้าฉินจ้านเปลี่ยนไป ไม่สามารถซ่อนความตกตะลึงไว้ได้
“ไม่ใช่แค่เก่งกาจเท่านั้น” มกุฎเต๋าหวูจี๋หลุดเสียงหัวเราะออกมา “คู่ต่อสู้ที่เจ้าพบใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ต่างฝึกฝน วิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากเป็นเจ้า ฝึกฝนระบบวิถีเซียนทันที ไม่ว่าผลการฝึกตนหรือความแข็งแกร่งของเจ้าก็จะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายเท่า!”
“ฝึกฝนวิถีเซียนตั้งแต่เริ่มต้น จุดเริ่มต้นสูงเกินไป ความแข็งแกร่งจะแข็งแกร่งมากโดยธรรมชาติ แต่ศิษย์น้องเล็กของเจ้าฝึกฝนวิถีที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง เขาสามารถทะลวงผ่านชั้นที่ยี่สอบสองของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหมายความว่าวิถีที่เขาสร้างขึ้นมาเทียบได้กับวิถีเซียนแท้แล้ว!”
“แม้แต่ จ้านเอ๋อร์ เจ้าเกิดมาก็เป็นภูตเซียน และตอนนี้เจ้ามีความเข้าใจวิถีเซียนของตนเอง แต่ถ้าเจ้าไปบุกทะลวง วังเซียนศักดิ์สิทธิ์อย่างมากเจ้าจะไปถึงชั้นที่ยี่สิบสาม วิถีเซียนของเจ้าในปัจจุบันน่าจะเป็นหนึ่งในระดับของวิถีเซียนแท้แล้ว”
“นี่มันน่ากลัวจริงๆ…” ฉินจ้านตกตะลึง อัจฉริยะในโลกนี้ ไม่ใช่อัจฉริยะที่ฝึกฝนวิถีเซียน แต่เป็นอัจฉริยะที่สร้างวิถีเซียนขึ้นมา!
อาจารย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋คือราชาเซียน ศึกษาวิถีเซียนกับราชาเซียนมาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการฝึกฝนราชาเซียนที่สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษเพื่อกลายเซียนนั้นเป็นเพียงกลายเซียนธรรมดา และมีเพียงฝึกฝนวิถีเซียนของตนเองกลายเซียนเท่านั้น ถึงจะเป็นเซียนแท้ที่แท้จริง
ความแตกต่างระหว่างเซียนแท้ ความแตกต่างหนึ่งคำ ‘แท้’ ความแข็งแกร่งก็แตกต่างกันมากราวฟ้ากับเหว
มกุฎเต๋าหวูจี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกศิษย์ของเขาประสบความสำเร็จเช่นนี้ เพื่อที่เขาจะไม่โดดเดี่ยวในทางวิถีเซียน
เมื่อนับรวมหลัวซิวแล้ว มีศิษย์เพียงเจ็ดคนเท่านั้น ในศิษย์เหล่านี้ หยุนอี้ ศิษย์คนที่สองที่มีความเข้าใจสูงสุด และฉินจ้านศิษย์คนโตที่เกิดมาก็เป็นภูตเซียน ล้วนมีคุณสมบัติที่จะเป็นภูตเซียน และตอนนี้ก็มีหลัวซิวเพิ่มอีกหนึ่งคน
ตามกฎแล้ว หากหลัวซิวทะลวงไปถึงชั้นที่ยี่สิบสาม เขาจะได้รับรางวัลอีกครั้งสำหรับการทะลุผ่านระดับนั้น
สำหรับรางวัล มกุฎเต๋าหวูจี๋ไม่ได้ตระหนี่ ส่งข้อความถึงตู๋กูโดยตรง ให้เขาพาหลัวซิวไปที่ห้องโถงสมบัติและเลือกตามที่ต้องการ!
รางวัลสำหรับการทะลุผ่านชั้นที่สิบเก้า รางวัลชั้นที่ยี่สิบ และรางวัลชั้นที่ยี่สิบเอ็ด และยี่สิบสอง มีโอกาสให้เลือกมากถึงสี่โอกาส!
ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิต หลัวซิวมีตาอลวนหวูจี๋อยู่แล้ว เตาเทพนี้มีทั้งการโจมตีและการป้องกันซึ่งเพียงพอสำหรับเขาที่จะไม่ต้องเปลี่ยนมันเป็นเวลานาน เขาจึงไม่คิดจะใช้โอกาสเลือกสี่รางวัลนี้เพื่อไปเลือกสมบัติอาวุธเทพ
สิ่งที่เขาเลือกคือสมบัติหายากทุกประเภท สมบัติที่เพิ่มผลการฝึกตน สมบัติชุบร่างเนื้อ สมบัติที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณดั้งเดิม สมบัติทุกชนิด นับไม่ถ้วน!
ตู๋กูมองจนอยากได้ ตอนนี้เขาชื่นชมศิษย์น้องเล็กของเขาจากใจจริงแล้ว นี่เป็นเพียงแดนราชาเทพระดับเก้าเท่านั้น ก็น่าสะพรึงกลัวแล้ว ถ้าเขาไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แดนผู้สูงส่งหรือประมุขเต๋า ก็ไม่เหมือนคนปกติน่ะสิ?
“ศิษย์น้อง ได้สมบัติมากมายรวดเดียวเช่นนี้ เจ้าคิดจะนำไปทำอะไร?” ตู๋กูถาม
“แน่นอนว่ามีความแค้นก็แก้แค้น มีความไม่พอใจก็ใส่อารมณ์น่ะสิ” หลัวซิวหรี่ตาและยิ้ม
“กระบี่เทพชีวีของศิษย์พี่ยังขาดวัสดุบางอย่างก็เลื่อนเป็นชั้นยอดอาวุธเทพมหาศักดิ์ได้ เมื่อครู่นี้ศิษย์น้องบังเอิญมีชิ้นส่วนเหล็กเซียนชิ้นหนึ่งอยู่ในสมบัติที่ข้าเพิ่งเลือก”
หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม พลิกมือและหยิบกล่องหยกออกมาจากแหวนเก็บของ ภายในกล่องหยกมีชิ้นส่วนเหล็กเซียนสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง
แม้เหล็กเซียนชิ้นนี้จะมีขนาดเล็ก แต่น้ำหนักของมันก็เทียบได้กับดาวเคราะห์หนึ่งดวง และมีพลังงานที่เหนือจินตนาการซ่อนอยู่ เป็นคุณภาพสูงสุดในการตีสมบัติอาวุธเทพ!
“เหล็กมหาศักดิ์จิตกาฬ!”
ดวงตาของตู๋กูเบิกกว้างและลมหายใจของเขาติดขัดเล็กน้อย ถ้าเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขา เขาคงคว้าชิ้นส่วนเหล็กเซียนชิ้นนี้มาจากมือของหลัวซิวแล้ว
เหล็กเหล็กเซียนชนิดนี้เป็นเหล็กมหาศักดิ์ สามารถเพาะพันธุ์ได้เฉพาะในตรีภพเท่านั้น จึงหายากและมีค่านัก
“ศิษย์น้องอยากได้สมบัติอะไรจากศิษย์พี่? บอกข้ามาได้ แค่ศิษย์พี่เอาออกมาได้ก็จะไม่พูดอะไรอีกแน่นอน”
ตู๋กูพูดด้วยดวงตาที่สว่างวาบ ในฐานะศิษย์พี่ แน่นอนว่าเขาจะไม่เอาเหล็กเซียนชิ้นนี้ของหลัวซิวไปฟรีๆ
“ฮ่าฮ่า ด้วยความสัมพันธ์ของศิษย์พี่มีต่อข้า ข้ามอบเหล็กเซียนชิ้นนี้ให้ศิษย์พี่ก็สมควร”
หลัวซิวยิ้มและพูดว่า “แต่ศิษย์พี่ก็รู้ว่าข้ายังมีคนจากหุบเขาสยบปีศาจอยู่ คนเหล่านี้ต้องการทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนด้วย และสิ่งที่ข้าขาดคือทรัพยากรจำนวนมาก ศิษย์พี่ เจ้าสร้าง อาณากระบี่หวูจี๋ขึ้นมา มีคนจำนวนมากและการค้าขายขนาดใหญ่ แบ่งให้ข้าบ้างเป็นเช่นไร?”
“ไม่มีปัญหา ศิษย์พี่จะให้เจ้าพอใจอย่างแน่นอน!” ตู๋กูตกลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ มีเหล็กเซียนชิ้นนี้ กระบี่เทพชีวีของเขาสามารถอัพเกรดได้ระดับหนึ่ง และพลังอมตะวิถีกระบี่ของเขาก็สามารถเพิ่มได้อย่างแน่นอน!
ต้องบอกว่า ตู๋กูใจดีมากจริงๆ ไม่นานหลังจากกลับมาจาก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ในโลกาอนัตตาอู๋จี๋ ก็มีเรือขนาดใหญ่กว่าสิบลำที่มีความยาวหลายร้อยไมล์ก็บินออกจากอาณากระบี่หวูจี๋ จากนั้น ก็มาถึงหุบเขาสังหารปีศาจ
เรือขนาดใหญ่เหล่านี้มีขนาดมหึมา ทรัพยากรและสมบัติทุกชนิดบนเรือ กองพะเนินราวกับภูเขา ทำให้ทุกคนตื่นตาและหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมองดู
ผู้อาวุโสสองคนที่คุ้มกันสมบัติชุดนี้รู้สึกงุนงงมาก แต่เนื่องจากคำสั่งนั้นออกโดยเจ้าแดนเอง ไม่ว่าพวกเขาจะเสียดายมากแค่ไหน พวกเขาทำได้เพียงคุ้มกันสมบัติมาที่นี่
มีเสียงโห่ร้องอย่างยินดีในหุบเขาสยบปีศาจและใบหน้าของทุกคนตื่นเต้นและประหลาดใจ ทรัพยากรจำนวนมากนี้เพียงพอสำหรับทุกคนในหุบเขาสยบปีศาจได้เพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งหรือสองระดับ
ภายใต้การจัดการของหลัวซิว ทรัพยากรเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของสองสาวสองคน เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ คำขอของหลัวซิวก็ง่ายมาก เขาหวังว่าด้วยทรัพยากรเหล่านี้ หุบเขาสยบปีศาจสามารถกายเป็นกองทับเทพมารระดับเก้าขนาดใหญ่ที่มีผู้คนนับหมื่นภายในพันปี!
ใช่ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่กองทัพเทพมารธรรมดา แต่เป็นกองทัพเทพมารระดับเก้า!
เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อมหันตภัยที่แท้จริงปะทุขึ้น เทพมารธรรมดาก็เป็นเพียงมดตัวเล็ก และจะไม่มีประโยชน์ใดๆในวังวนแห่มหาทัณฑ์
มีเพียงกองทัพเทพมารระดับเก้าที่มีผู้คนนับหมื่นรวมตัวกันเท่านั้น และด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลที่สามารถแสดงพลังการต่อสู้จำนวนมากในการต่อสู้มหาทัณฑ์ได้
คำขอของหลัวซิวอาจกล่าวได้ว่าหนักมาก แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝนให้ถึงเทพมารระดับเก้าภายในหนึ่งพันปี ต้องรู้ว่ามีเทพมารระดับเก้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในหุบเขาสยบปีศาจ จำนวนเทพมารระดับแปดก็ไม่ถึงร้อยคน
แต่ไม่ว่าเป้าหมายนี้จะยากแค่ไหน หลัวซิวก็ยังคงส่งคำขอของเขาไปยังเผ่าจี้ ภูเขาว่านเริ่นและตระกูลเทพสงคราม และจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและทักษะของพวกเขาเอง
“ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับปิงหยูและคนอื่นๆ อีกรึ?”
ในวังซิวหลัว หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เสิ่นปิงหยูพาอสูรกลืนจิตออกไปตามหาเขา หลายปีผ่านไปแล้ว ถ้าเสิ่นปิงหยูได้ยินว่าเขาได้กลายเป็นเจ้าสำนักน้อยของ อาณากระบี่หวูจี๋ นางควรจะกลับมานานแล้ว แต่ในความเป็นจริงตั้งแต่นางออกจากหุบเขาสยบปีศาจก็ไม่มีข่าวของนางอีกเลย
ในขณะนี้ องครักษ์จากนอกวังซิวหลัวคนหนึ่งได้เข้ามา คุกเข่าข้างหนึ่งและพูดด้วยความเคารพ “รายงานประมุขหุบเขาและฮูหยินทั้งสอง ผู้คุมกฎชุย แห่งอาณากระบี่หวูจี๋ขอพบขอรับ”
“ผู้คุมกฎชุย?” หลัวซิวดูงงงวยและมองไปที่เยว่เอ๋อร์และซีโรว่
“สามี เจ้ายังเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ เจ้าไม่รู้หรือว่า ผู้คุมกฎชุยหมิงเป็นคนที่รับผิดชอบการรวบรวมข่าวสารในอาณากระบี่หวูจี๋?” เหยียนเยว่เอ๋อร์กลอกตาขาวใส่หลัวซิวอย่างยั่วยวนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซีโรว่ที่นั่งอยู่ด้านข้างปิดปากหัวเราะเสียงเบา และพูดกับองครักษ์คนนั้นว่า “ไปเชิญผู้คุมกฎชุย เข้ามา”
“ขอรับ!” องครักษ์ตอบด้วยความเคารพ จากนั้นถอยกลับอย่างความเคารพ
จากคำพูดของเยว่เอ๋อร์และซีโรว่ ทำให้หลัวซิวได้รู้เกี่ยวกับที่มาของผู้คุมกฎชุย และเรื่องการค้นหาที่อยู่ของเสิ่นปิงหยู ก็ได้มอบให้กับผู้คุมกฎชุยคนนี้
แต่เรื่องทั้งหมดเหล่านี้เป็นเยว่เอ๋อร์และซีโรว่จัดการ หลัวซิวไม่ได้ทำเอง ดังนั้นเขาจึงรู้ไม่ชัดเจน
ตอนนี้มหาทัณฑ์กำลังใกล้เข้ามา ความคิดทั้งหมดของหลัวซิวอยู่ที่การเพิ่มผลการฝึกตนและความแข็งแกร่งของเขาให้เร็วที่สุด เรื่องของหุบเขาสยบปีศาจ เขาไม่ค่อยมีใจดูแล และเขาเป็นประมุขหุบเขาได้ไม่ค่อยสมกับตำแหน่งนัก
แต่เยว่เอ๋อร์และซีโรว่ไม่เคยบ่นอะไรเลย พวกนางพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาการดำเนินงานที่ดีของหุบเขาสยบปีศาจและแก้ไขความกังวลทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังของเขา
ผู้ชายอยู่ข้างนอกเพื่อกำบังลมและฝน ผู้หญิงอยู่ข้างหลังเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวม นี่คือวิถีของสามีภรรยา!
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คุมกฎชุย ก็เดินเข้ามา ในฐานะผู้คุมกฎ อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นมกุฎเทพระดับเก้า แต่เมื่อเขาเห็นหลัวซิว เขาก็กำหมัดด้วยความเคารพและเรียกเจ้าสำนักน้อย
หลัวซิวในวันนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงในอาณากระบี่หวูจี๋ ในฐานะเจ้าสำนักน้อย ในอาณากระบี่ ตำแหน่งเกือบจะเท่ากับผู้อาวุโส ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ผู้อาวุโสไท่ซ่างตู๋กูเจี้ยนเฉิน เป็นที่รู้จักกันดี
“ผู้คุมกฎชุย สุภาพแล้ว มีข่าวเกี่ยวกับพวกเสิ่นปิงหยูหรือไม่?” หลัวซิวถามโดยตรง
“มีขอรับ!” ชุยหมิงพยักหน้าและหยิบม้วนกระดาษออกมาทันทีแล้วยื่นให้
ซีโรว่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกล่าวว่า ผู้คุมกฎชุยลำบากแล้ว หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา จากนั้นเดินไปที่ด้านข้างหลัวซิวและมอบม้วนกระดาษให้เขา
หลัวซิวคลี่ม้วนกระดาษออกทันที และเมื่อเขาเห็นข่าวที่บันทึกไว้ในม้วนกระดาษ สีหน้าของเขาก็ขรึมลงทันที เจตนาสังหารที่รุนแรงก็แพร่กระจายไปทั่ววังซิวหลัว
“ช่างเป็นออร่าแห่งการสังหารที่น่ากลัวเสียจริง!” ชุยหมิงรู้สึกหวาดกลัวในใจ แม้ว่าเขาจะอยู่ในแดแนมกุฎเทพระดับเก้า แต่ภายใต้การปกคลุมของเจตนาสังหารนี้ เขาก็ยังมีความรู้สึกที่น่าขนลุก ในใจเกิดความยำเกรงและกลัวขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
“ชนเผ่าเฉว่ซ่า ช่างกล้านัก!”
หลังจากหลัวซิวอ่านจบ เขาก็ปิดม้วนกระดาษอย่างแรง สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ ชุยหมิง “เสิ่นปิงหยูถูกชนเผ่าเฉว่ซ่าจับตัวไป ข่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
“เจ้าสำนักน้อยไม่ต้องกังวล พวกเราที่เป็นลูกน้องย่อมไม่กล้าแต่งเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้นมาขอรับ” ชุยหมิงพูดอย่างเร่งรีบ
หลัวซิวก็รู้ว่าผู้ที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลมักได้รับความไว้วางใจจากสำนัก ในเมื่อชุยหมิงส่งข่าวนี้ให้เขาจึงต้องเป็นความจริงในแน่นอน
ระหว่างเขากับชนเผ่าเฉว่ซ่า นับว่ามีความแค้นอันยาวนาน เจ้าสำนักน้อยท่านชายเฉว่ซ่าของชนเผ่าเฉว่ซ่าเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขา ชนเผ่าเฉว่ซ่าอยากหาทางแก้แค้นเขา แต่หาที่อยู่ของเขาได้ยาก และเอาแน่เอานอนไม่ได้
ต่อมาในแดนสุขาวดี เขาหลอกพวกหัวหน้าเผ่าเฉว่ซ่าหนึ่งครั้ง ด้วยนิสัยของชนเผ่าเฉว่ซ่าที่ใจแคบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดาย
ดังนั้นเมื่อเขากลับไปที่โลกร้างและกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ ชนเผ่าเฉว่ซ่าจึงไม่ลังเลที่จะโจมตีเขา และไล่ล่าเขาโดยตรงในเมืองต้าฮวงโบราณ!
“กล้าแตะต้องคนของข้า ข้าจะล้มล้างชนเผ่าเฉว่ซ่าของพวกเจ้า!” หลัวซิวโกรธมาก เขายอมให้คนอื่นโจมตีเขา แต่เขาไม่สามารถทนได้ที่คนอื่นโจมตีคนรอบข้างเข้า