มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2874
ชนเผ่าเฉว่ซ่าเป็นชนเผ่าทที่ขึ้นชื่อเรื่องจิตใจคับแคบแห่งโลกร้างเลย ครั้งนี้ถูกหลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินเข้ามาก่อความวุ่นวายในหุบเขาเฉว่ซ่า ทำให้ชนเผ่าเฉว่ซ่าได้รับความเสียหายหนักมาก จากอุปนิสัยของชนเผ่าเฉว่ซ่า ย่อมไม่มีทางกลืนความเจ็บแค้นในครั้งนี้ลงไปอยู่แล้ว
“รายงาน! ……”
นอกวังซิวหลัว มีแสงกลดวงหนึ่งบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสงกลดังกล่าวก็คือลูกศิษย์คนหนึ่งของอาณากระบี่หวูจี๋ คนดังกล่าวถือป้ายบังคับบัญชาชิ้นหนึ่ง จึงผ่านเข้ามาในนี้ได้อย่างง่ายดาย
บัดนี้หลัวซิวที่กำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ในวังซิวหลัวก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็เห็นศิษย์อาณากระบี่หวูจี๋คนดังกล่าวพุ่งเข้ามาในวังซิวหลัว ชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้นอย่างเคารพนอบน้อม แล้วพูดเสียงดัง: “รายงานเจ้าสำนักน้อย ข้าน้อยมีเรื่องจักรายงานขอรับ”
“เรื่องอันใดรึ?”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หากไม่มีเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ต่อให้เป็นศิษย์ที่มีหน้าที่ส่งข่าวสารโดยเฉพาะก็ไม่กล้าบุกรุกเข้ามาในวังซิวหลัวเช่นนี้
“เมื่อสองชั่วโมงก่อน ชนเผ่าเฉว่ซ่าได้ทำการล้มล้างสำนักเยี่ยนหยุนไปแล้วขอรับ”ศิษย์อาณากระบี่รีบตอบกลับ
“ชนเผ่าเฉว่ซ่า?”
หลัวซิวหรี่ตาลง ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ เขาย่อมต้องรู้จักสำนักเยี่ยนหยุนอยู่แล้ว นั่นคือสำนักเล็ก ๆ สำนักหนึ่งในโลกร้าง ซึ่งเป็นกองกำลังที่ขออาณากระบี่หวูจี๋พึ่งพิงมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกร้างหรืออีกเจ็ดโลกมหาศักดิ์ที่เหลือ กองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง นอกจากกองกำลังที่สามารถมองเห็นได้ผ่านภายนอกแล้ว สำนักตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่ขอแดนศักดิ์สิทธิ์พึ่งพิงก็เป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน
แม้นศักยภาพของสำนักเยี่ยนหยุนจะไม่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเกิดอาณากระบี่หวูจี๋ต้องการละก็ อย่างน้อยก็สามารถจัดเสนอมกุฎเทพหกกงล้อสิบกว่าคน ราชาเทพห้ากงล้อหลายสิบคน รวมไปถึงยอดฝีมือมกุฎเทพหนึ่งกงล้อนับร้อยพันให้แก่สำนักเยี่ยนหยุนได้
ศักยภาพเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่โดดเด่นอะไร แต่ถ้าเกิดมีกองกำลังที่เป็นทำนองเดียวกันกับสำนักเยี่ยนหยุนผสมรวมกันสิบถึงร้อยกองกำลัง เช่นนั้นมันก็เป็นพลังที่พอดูมากเลยล่ะ
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลสำนักใด ๆ ที่ขออาณากระบี่หวูจี๋พึ่งพิงนั้น ก็เท่ากับเป็นผู้ช่วยของอาณากระบี่หวูจี๋
“ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซ่าง มาอัญเชิญเจ้าสำนักน้อยให้มุ่งหน้าไปปรึกษาหารือเรื่องนี้ที่สำนักใหญ่ขอรับ”ศิษย์อาณากระบี่ตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม
หลัวซิวพยักหน้า ก่อนจะลุกตัวขึ้นแล้วเดินออกไปจากวังซิวหลัว เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าสาเหตุที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าลงมือนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะตนเอง ดังนั้นเขาจึงจะนิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ไม่ได้
หุบเขาสยบปีศาจถูกหลัวซิวอพยพมา ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนที่ติดกับดินแดนของอาณากระบี่หวูจี๋ ดังนั้นใช้เวลาเพียงครู่เดียว หลัวซิวก็มาถึงสำนักอภิปรายรายงานแล้ว
เมื่อเขามาถึงที่นี่ ผู้อาวุโสไท่ซ่างห้าคนรวมไปถึงผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมาถึงแล้ว
ในอาณากระบี่หวูจี๋ มีเพียงผู้ที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อถึงจะสามารถกลายเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่าง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้คนในโลกภายนอกล้วนคิดว่าในอาณากระบี่หวูจี๋มีเพียงเจ้าแดนเท่านั้นที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่ในความเป็นจริงอาณากระบี่หวูจี๋มีผู้อาวุโสไท่ซ่างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สี่คนตั้งนานแล้ว แต่ทว่าพวกเขาปิดขังตลอดทั้งปี ซึ่งออกมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกาภายนอกน้อยมาก ๆ
ปัจจุบันเมื่อนับรวมกับตู๋กูเจี้ยนเฉินที่บรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งห้าคนล้วนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ซึ่งในจำนวนทั้งห้าคนนี้ มีสองคนที่บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อแล้ว
ขณะที่หลัวซิวสังเกตผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านั้นอย่าพินิจพิเคราะห์ ฝ่ายตรงข้ามก็กำลังสังเกตหลัวซิวอยู่เช่นกัน เนื่องจากพวกเขาล้วนรู้สึกสงสัยมาก ๆ ว่าเจ้าสำนักน้อยที่ทำให้เจ้าแดนให้ความสำคัญมากขนาดนี้ เป็นอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างไรกันแน่
ทั้งสำนักอภิปรายรายงานตลบฟุ้งไปด้วยพลังออร่าของมหาจักรพรรดิยุทธ์รวมไปถึงจักรพรรดิเทพ ทว่าเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เขากลับเดินเหินได้อย่างสุขุม สีหน้าอารมณ์เรียบนิ่ง
ผู้อาวุโสที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงกลางคนหนึ่งค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น แววตาที่ร้อนผ่าวร่วงลงบนตัวหลัวซิว แล้วพูดอย่างเสียงดัง: “เจ้าสำนักน้อยน่าจะทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วกระมัง?”
ผู้อาวุโสคนดังกล่าวเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งห้า ซึ่งมีนามว่าตู๋กูโม่ซาน
หลัวซิวพยักหน้าอย่างไม่ปฏิเสธแล้วตอบกลับว่า: “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสตู๋กูโม่ซาน ตู๋กูโม่ซานมีความคิดอย่างไรขอรับ?”
หลัวซิวไม่แน่ชัดว่าผู้อาวุโสเหล่านี้คิดอย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงลองทดสอบหยั่งเชิงดูก่อน
“เจ้าแดนบอกว่าในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง”
ตู๋กูโม่ซานยิ้มกริ่ม ไม่ได้ถามหาความรับผิดชอบเหมือนอย่างที่หลัวซิวคิดเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้หลัวซิวเข้าใจเช่นกันว่าที่แท้ศิษย์พี่ก็ทราบเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว
แม้นตู๋กูจักซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขากระบี่แล้วเปิดตัวสู่โลกภายนอกน้อยมาก ๆ แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอาณากระบี่หวูจี๋จะเล็กใหญ่มากเพียงใด ก็หลุดไม่พ้นสายตาเขาเลย
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ตู๋กูโม่ซานก็พลิกมือหยิบป้ายบัญชาการออกมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะใช้มือโยนทีหนึ่ง ป้ายบัญชาการก็กลายเป็นแสงกล บินตรงไปทางหลัวซิว
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า ป้ายบัญชาการจึงร่วงลงกลางฝ่ามือ เพ่งตามองไป พบว่าป้ายบัญชาการดังกล่าวเป็นสีเขียว ซึ่งหลอมสร้างมาจากตัวเซียนระดับผู้สูงส่งประเภทหนึ่ง ด้านหนึ่งมีคำว่าหวูจี๋สลักอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีคำว่ามาเยือนด้วยตนเองสลักอยู่
“ป้ายบัญชาการชิ้นนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าแดนฝากให้ข้ามอบให้เจ้าเช่นกัน ป้ายดังกล่าวมีนามว่าบัญชาหวูจี๋ เมื่อพบป้ายบัญชาการดังกล่าว ก็เหมือนดั่งเจ้าแดนมาเยือนด้วยตนเอง ทุกคนในอาณากระบี่หวูจี๋ล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านขอรับ!”
ในระหว่างที่ตู๋กูโม่ซานพูดคำพูดเหล่านี้อยู่นั้น แววตาเขาก็เป็นประกายอย่างไม่หยุดหย่อน อันที่จริงเขาก็ไม่เข้าใจมาก ๆ เหมือนกันว่าเหตุใดเจ้าแดนจึงต้องนำสิ่งของที่สำคัญเช่นนี้มอบให้กับผู้น้อยเล็ก ๆ ที่เป็นเพียงราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิคนหนึ่งด้วย
สงครามมันเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือ?
ณ สำนักอภิปรายรายงาน ตำแหน่งที่นั่งของเจ้าแดนที่อยู่บนจุดสูงสุดยังว่างอยู่ หลังจากหลัวซิวได้ทราบความสำคัญของบัญชาหวูจี๋จากปากตู๋กูโม่ซาน เขาก็รู้แล้วว่าตนที่มีป้ายบัญชาการดังกล่าว เท่ากับมีอำนาจของเจ้าแดน!
“นี่ศิษย์พี่ท่านจะทดสอบข้ารึ?”หลัวซิวมองบัญชาหวูจี๋ที่อยู่ในมือ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด ในเมื่อศิษย์พี่เป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่เบื้องหลัง หลัวซิวยังมีอะไรต้องกังวลอีกหรือ?
เห็นเพียงเขาย่างเท้าเดินไปข้างหน้า ภายใต้สายตาของผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งห้า รวมไปถึงผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพหลายคน ทิ้งตัวนั่งลงบนบัลลังก์ของเจ้าแดน!
นอกจากตู๋กูเจี้ยนเฉินแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างและผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพคนอื่น ๆ ล้วนขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แต่ติดที่เรื่องบัญชาหวูจี๋และคำสั่งของเจ้าแดน พวกเขาจึงกลั้นใจไม่ได้พูดอะไรออกมา
ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้หลัวซิวจะมีตัวตนอย่างเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ แต่ผลการฝึกตนของเขาก็ต่ำเกินไป เมื่อผลการฝึกตนต่ำก็ยากที่จะสยบผู้อื่น ยากที่จะทำให้เหล่ามหาจักรพรรดิยุทธ์และจักรพรรดิเทพที่หยิ่งผยองเลื่อมใสยังหมดใจ
ทว่าหลัวซิวกลับไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากเท่าไหร่นัก
“ชนเผ่าเฉว่ซ่าบุกฆ่ามาถึงที่แล้ว เจ้าสำนักน้อยวางแผนที่จะทำอย่างไรหรือ?”มีผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกคนหนึ่งเอ่ยปากพูด ยิงคำถามไปให้หลัวซิวทันที
ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนดังกล่าวมีนามว่าฉือสุน ซึ่งไม่ใช่สายเลือดตู๋กูแต่อย่างใด มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงกลาง
หลัวซิวยิ้มหลังจากได้ยินคำถามดังกล่าว เล่นบัญชาหวูจี๋ในมือ นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเจ้าแดนพลางมองกราดลงมาด้านล่าง มองเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านล่างแล้วพูดอย่างเสียงดัง: “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า……”
ไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของเขาเคยนำกองทัพใหญ่ทำสงครามอยู่ทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นประสบการณ์ด้านการจัดแจงโยกย้ายกำลังคนของหลัวซิวจึงครบครันมาก ๆ
อ้างอิงจากข่าวคราวที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าส่งกำลังคนออกา เขาจึงทำการวางแผนเสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว ก่อนจะให้เหล่าผู้อาวุโสจัดแจงกำลังคน รวบรวมกำลังคน
อ้างอิงจากแผนการของหลัวซิว เขาจะนำทหารออกไปทำสงครามในครั้งนี้ด้วยตนเอง ในบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่าง เขาให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินออกรบเพียงคนเดียวเท่านั้น และเลือกเก้าคนจากผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพ ส่วนผู้อาวุโสที่เหลือล้วนคอยคุ้มกันรักษาอยู่ในดินแดนของสำนัก
นี่คือสงคราม ขณะที่หลัวซิวทำลายล้างหุบเขาเฉว่ซ่า และชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ย้อนกลับมาล้มล้างสำนักเยี่ยนหยุน ศึกสงครามระหว่างกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ได้ปะทุขึ้นแล้ว
ในขณะเดียวกันการปะทุของสงครามในครั้งนี้ ก็จะเป็นการเร่งมหันตภัยที่ใกล้จะปะทุในครั้งนี้ด้วย
“เวิ่ง! ……”
เสียงคำรามกระบี่ดังก้องอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋ เนื่องจากศิษย์แห่งอาณากระบี่ทุกคนล้วนฝึกวิถีกระบี่ ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินเสียงคำรามกระบี่ดังกล่าว สามารถพูดได้เลยว่าเสียงดังกล่าวดังก้องอยู่ในหัวของศิษย์แห่งอาณากระบี่ทุกคน
ศิษย์แห่งอาณากระบี่ทั้งหลายต่างพากันเดินออกมาจากสถานที่พักของตน เพราะทุกคนล้วนทราบแล้วว่าเมื่อเสียงกระบี่สะท้อนมาถึงหัวใจ ก็หมายความว่ามีเรื่องราวที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้นกับสำนัก
ภายใต้การเรียกร้องของหลัวซิว คำสั่งทั้งหลายล้วนถูกถ่ายทอดลงไป ทั้งอาณากระบี่หวูจี๋ ขอแค่เป็นจอมยุทธ์ที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเก้า ต่างก็พากันมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่สนามจัตุรัสหน้าสำนักอภิปรายรายงาน
ศึกสงครามระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยก็ต้องมีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไปถึงจะมีสิทธิ์ร่วมสงคราม หากจอมยุทธ์ที่ต่ำกว่าเทพมารระดับเจ็ดไปละก็ จักสร้างประโยชน์อะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากขอแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ด ก็ได้สัมผัสกับพลังแห่งเกณฑ์แล้ว แม้นผลการฝึกตนและศักยภาพจะแตกต่างกันเยอะมาก แต่ในด้านระดับขั้นของวิถี พวกเขาก็อยู่ในขอบข่ายเกณฑ์เดียวกันกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเช่นกัน
……
บนสำนักเขาของสำนักเยี่ยนหยุนที่ถูกล้มล้าง กองทัพใหญ่ของชนเผ่าเฉว่ซ่าปักหลักอยู่ที่นี่
กองทัพใหญ่ของจอมยุทธ์และกองทัพใหญ่ของมนุษย์ทั่วไปนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย ทว่าก็มีระบบระเบียบเหมือนกัน บริเวณรอบสถานที่ที่กองทัพใหญ่ปักหลักปักฐาน ถูกจัดวางไปด้วยค่ายกลต้องห้ามที่แน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นบนอากาศหรือบนพื้นดิน ล้วนมีจอมยุทธ์ที่คอยลาดตระเวนเพื่อเฝ้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดรอบคอบ
ตรงจุดศูนย์กลางของสถานที่ตั้งของกองทัพใหญ่ ภายในพระราชวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยลมปราณกลิ่นคาวเลือด มีผู้อาวุโสแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาที่ประกายไปด้วยแสงโลหิตกำลังเพ่งมองภาพฉากที่ปรากฏบนกระจก
วินาทีนี้สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่บนกระจก ก็คือภาพฉากที่หลัวซิวนำพากองทัพใหญ่ของอาณากระบี่หวูจี๋ เคลื่อนพลเร่งมุ่งหน้ามาฝั่งสำนักเยี่ยนหยุน
ธงแห่งชัยชนะโบกสะบัด กองทัพใหญ่มโหฬารพันลึก เรือรบทอดยาวอยู่กลางนภา กำลังคนของอาณากระบี่หวูจี๋รวมตัวเข้าด้วยกัน ห้วงกระบี่ของทุกคนฮึกเหิม ราวกับกระบี่เทพเล่มหนึ่งลอยอยู่ตรงขอบฟ้า แล้วฆ่าสังหารทุกคนที่เข้าใกล้!
“นั่นคือมันรึ?”
มีเสียงที่เย็นยะเยือกดังขึ้น จากนั้นก็มีคนที่ทั้งร่างกายถูกปกคลุมด้วยชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด ยืนอยู่ข้างกายผู้อาวุโสชนเผ่าเฉว่ซ่า
“ท่านทูต มันก็คือหลัวซิวนี่แหละขอรับ ผลการฝึกตนแค่ราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ ศักยภาพเทียบทัดจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ยิ่งกว่านั้นคือมันแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อทั่วไปด้วยขอรับ”
บนใบหน้าของผู้อาวุโสชนเผ่าเฉว่ซ่ามีความเคารพยำเกรงปรากฏเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจรายละเอียดความเป็นมาของท่านทูตท่านนี้ แต่กลับรู้อยู่ว่าแม้แต่บรรพอาจารย์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เผชิญหน้ากับทูตท่านนี้ ก็ทำตัวเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งเช่นกัน
“ไม่นึกเลยว่าในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดจักยังมีอัจฉริยะเช่นนี้ด้วย ศักยภาพเช่นนี้เทียบเท่าปัญญาแห่งวิถีเซียนแล้ว ดังนั้นมันจึงจำเป็นต้องตาย”ทูตเพ้าดำผู้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
ระดับความเร็วในการเคลื่อนพลของกองทัพใหญ่รวดเร็วอย่างยิ่ง หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังแล้วยืนอยู่บนหัวเรือรบลำหนึ่ง ส่วนด้านหลังเขานั้น คือเรือรบนับร้อยที่ทอดยาวเรียงกัน บนเรือรบทุกลำล้วนมีลูกศิษย์แห่งอาณากระบี่หวูจี๋นับร้อยคน
การทำสงครามในครั้งนี้ เขาได้นำพากำลังคนมานับหมื่นคน ในจำนวนจอมยุทธ์ทั้งหมดส่วนมากคือผู้ที่ต่ำกว่าเทพมารระดับเก้า ทว่าจากจำนวนคนที่มากมายมหาศาลควบคู่กับการปลุกเสกจากค่ายกล พวกเขากลับสามารถแสดงกำลังรบที่เทียบเท่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพออกมาได้บนสนามรบ
จากการที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้สำนักเขาของสำนักเยี่ยนหยุน ก็มีจิตสังหารสีแดงเลือดวงกว้างปรากฏตรงหน้า ราวกับดาบเทพเล่มหนึ่งที่ฉีกกระชากอนัตตา ก่อนจะมีจอมยุทธ์แห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าพุ่งฆ่าออกมา เสียงตะโกนฆ่าดังก้องไปทั่วฟ้าดิน!
หลัวซิวเพ่งตามองไป สีหน้าอารมณ์เย็นชา เป็นเพียงเขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นมา แล้วพูดแค่พยางค์เดียวว่า “ฆ่า!”
หลังจากสิ้นเสียงเขา ก็มีเงาดำทั้งหลายพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ประกอบเป็นค่ายกระบี่หวูจี๋ แล้ววิวัฒนาการปราณกระบี่ที่นับไม่ถ้วนออกมา ปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วฆ่าสังหารไปทางจอมยุทธ์แห่งอาณากระบี่หวูจี๋
หวูจี๋ที่กล่าวถึงนั้นก็คือความไร้ขีดจำกัด ยิ่งจำนวนคนที่ประกอบเป็นค่ายกระบี่หวูจี๋มีมากเท่าไหร่ อานุภาพของค่ายกระบี่ก็จะทรงพลังมากเท่านั้น ลูกศิษย์นับพันที่เป็นเทพมารระดับเจ็ดของอาณากระบี่ประกอบเป็นค่ายกระบี่หวูจี๋ ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถสังหารเทพมารระดับเก้าได้อย่างง่ายดายแล้ว!
มิหนำซ้ำครั้งนี้หลัวซิวยังพามานับหมื่นคนด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีผู้แข็งแกร่งระดับอย่างตู๋กูเจี้ยนเฉินค่อยบัญชาการด้วยตนเองอีก ค่ายกระบี่หวูจี๋ที่ประกอบมาจากกำลังคนที่เก่งกาจเช่นนี้ แล้วพลานุภาพของมันจะน่าสยดสยองมากเพียงใด?