มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2875 ตกอยู่ในความอันตราย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2875 ตกอยู่ในความอันตราย

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2875

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“……”

จิตสังหารที่ฉีกกระชากฟ้าดินม้วนซัดไปทั่วท้องฟ้า ภาพฉากของสงครามในครั้งนี้เอิกเกริกยิ่งใหญ่มมาก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฉากสงครามที่มองเห็นครั้นเมื่อตระหนักรู้ตราประทับปรปักษ์สวรรค์ และหมัดจ้านเทียน

อาณากระบี่หวูจี๋มีค่ายกระบี่ ชนเผ่าเฉว่ซ่าที่เป็นกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันก็ย่อมมีค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว

ยอดฝีมือชนเผ่าเฉว่ซ่านับหมื่นคนกระโจนสังหารเข้ามา วิวัฒนาการค่ายใหญ่ ประกอบเป็นดาบเทพสีเลือดเล่มหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ซึ่งมีพลานุภาพที่ไม่เป็นรองค่ายกระบี่หวูจี๋เลย

เมื่อมองมาจากที่ไกล ๆ ละก็ จะเห็นว่ามีดาบเลือดเล่มหนึ่งและกระบี่เทพเล่มหนึ่งพุ่งชนกันอย่างรุนแรงกลางอนัตตา ณ เสี้ยววินาทีที่ค่ายใหญ่ทั้งสองพุ่งชนเข้าด้วยกัน จอมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในค่ายใหญ่ก็ได้เปิดศึกเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเช่นกัน

ในเมื่อชนเผ่าเฉว่ซ่าส่งกำลังคนมาดักสังหาร ในกลุ่มคนชุดนี้ย่อมต้องไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งยอดฝีมืออยู่แล้ว จอมยุทธ์ชนเผ่าเฉว่ซ่าหกคนที่ผลการฝึกตนอยู่ในแดนมกุฎเทพหกกงล้อพุ่งสังหารเข้าไปทางหลัวซิวโดยตรง

ตู๋กูเจี้ยนเฉินทำเสียงหึเบา ๆ ทีหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะลงมืออยู่นั้น แต่กลับถูกหลัวซิวยกมือขึ้นมาหยุดยั้งเอาไว้ก่อน เนื่องจากในมุมมองของเขา การต่อสู้ระดับนี้ยังไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินลงมือ

“แผะ!”

เห็นเพียงหลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า ฝ่าเท้าย่ำอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า รอยร้าวปริภูมิทั้งหลายจึงค่อย ๆ แผ่กระจายออกไปจากเท้าเขา ราวกับฟ้าดินกำลังจะถูกเขาเหยียบแตกสลายยังไงอย่างนั้น

ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของหลัวซิวเร็วปานสายฟ้า พุ่งจู่โจมเข้ามาภายในเสี้ยววินาที กระบี่ร่องฟ้าที่อยู่ในมือเขากระพริบระยิบระยับ ฟาดฟันออกไปกลางอากาศ

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……

เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ห้าในหกของมกุฎเทพหกกงล้อที่โจมตีเข้ามาทางเขาเบิกตากว้าง ศีรษะลอยขึ้นฟ้า ส่วนร่างกายนั้นกลับร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า

“ฆ่ามันซะ!”

มกุฎเทพหกกงล้ออีกห้าหกคนที่เหลือต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตะคอกเสียงดังลั่นทีหนึ่ง จากนั้นก็มีเปลวไฟสีแดงเลือดแผดเผาขึ้นมาบนตัวทุกคน

พวกเขาเผาผลาญดั้งเดิม อยู่ในสภาวะที่เหมือนคุ้มคลั่ง พลังออร่าของแต่ละคนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่กองกำลังอื่น ๆ เรียกขานว่าชนเผ่าเฉว่ซ่าเป็นพวกบ้าคลั่งนั่นเอง เพราะเมื่อชนเผ่าของพวกเขาทำสงครามขึ้นมา ก็จะใช้วิธีต่อสู้กับศัตรูอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถเลย เอะอะ ๆ ก็จะเผาผลาญชีวีดั้งเดิม เข่นฆ่ากับเจ้าอย่างสุดชีวิต

อย่างไรก็ตามสำหรับหลัวซิวแล้ว ต่อให้จอมยุทธ์แดนมกุฎเทพหกกงล้อจะเผาผลาญชีวีดั้งเดิม ศักยภาพก็ไม่มีทางยกระดับขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแน่นอน ดังนั้นอุบายบ้าคลั่งที่ทุ่มสุดชีวิตเช่นนี้ จึงไม่มีความหมายอะไรต่อเขาเลยด้วยซ้ำ

“ฟึ่บ! ……”

เพียงพริบตาเดียว ก็มีแสงโลหิตอีกห้าดวงพุ่งกระฉูด การที่จะสังหารคู่ต่อสู้ที่อยู่ในแดนมกุฎเทพหกกงล้อ หลัวซิวไม่จำเป็นต้องใช้อุบายไพ่เด็ดอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่อาศัยกระบี่ร่องฟ้าเล่มเดียว บวกกับความเร็วที่รวดเร็วจนถึงสุดขีดของเขา ก็สามารถทรมานสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายแล้ว

เห็นเพียงเงาร่างของเขากระพริบอย่างไม่หยุดหย่อน ขอแค่ลงมือ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานอานุภาพแห่งกระบี่ของเขาได้

ท่านทูต……”

ณ สถานที่ตั้งของชนเผ่าเฉว่ซ่า ผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นเห็นว่าคนในชนเผ่าของตนที่อยู่ในกระจกเทพถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง จึงมีความโกรธเกรี้ยวทะลุออกมาจากดวงตา

แม้นหลายกองกำลังในโลกร้างจะเกลียดชังและเอือมระอาต่อชนเผ่าเฉว่ซ่า ทว่าภายในชนเผ่าเฉว่ซ่ากลับสามัคคีอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าคนในชนเขาถูกฆ่าอย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นอดไม่ได้ที่จะนำพากองทัพใหญ่พุ่งสังหารเข้าไปบัดนี้เลย

“แค่พวกมดตัวจ้อยกระจอก ๆ เอง ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”

ทูตเพ้าดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาคำหนึ่ง จึงทำให้จิตสังหารที่เดือดพล่านอยู่ในใจผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นราวกับถูกน้ำเย็นสาดจนดับหายไปยังไงอย่างนั้น

สำหรับทูตเพ้าดำแล้ว ผู้คนในชนเผ่าที่ตายไปเป็นเพียงมดตัวจ้อยเท่านั้น สาเหตุที่ส่งจอมยุทธ์นับหมื่นในชนเผ่าเฉว่ซ่าออกไปสกัดนั้น อันที่จริงมันก็เป็นเพียงการทดสอบหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง

เห็นเพียงทูตเพ้าดำไม่สนใจผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นที่อยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ สายตาที่ยืนเยือกเพ่งมองเงาร่างของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่อยู่ในกระจกเทพนั่น

“อัจฉริยะผู้มีปัญญาแห่งเซียนเชียวนะ น่าเสียดายจริง……”พูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดาย ทว่าตรงมุมปากทูตเพ้าดำกลับมีรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่เหี้ยมโหดปรากฏ

เขาเป็นทูตที่มาจากพื้นโลกดาราอื่น ๆ ซึ่งภารกิจของเขาก็คือพยายามสังหารภัยคุกคามที่มีโอกาสซ่อนอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภัยคุกคามซ่อนเร้นที่กล่าวถึงนั้น ก็คือเหล่าอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงส่ง เนื่องจากทันทีที่มหันตภัยปะทุ เหล่าอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงส่งก็อาจมีโอกาสได้รับการขัดเกลาและเติบโตในมหันตภัย จนกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องกำจัดภัยคุกคามตั้งแต่ยังไม่เติบใหญ่ อัจฉริยะที่ถูกเขาชี้ขาดว่ามีปัญญาแห่งเซียนอย่างหลัวซิวนั้น ยิ่งถูกเขามองว่าเป็นหนามยอดอก เป็นคู่กรณีที่จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง!

ส่วนชนเผ่าเฉว่ซ่านั้น เป็นหมากลูกหนึ่งของพื้นโลกดาราที่เขาอยู่สอดแทรกไว้ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาโดยตลอด

ในขณะที่หลัวซิวนำทหารออกรบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ปิดขังติดต่อกันมาสองเดือนกว่ากลับออกจากการปิดขังในเวลานี้

และหลังจากที่นางออกจากการปิดขัง ก็ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ ซึ่งเป็นมหาทัณฑ์แห่งราชาเทพระดับเก้า!

ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิว นางเป็นผู้ที่ติดตามหลัวซิวมานานที่สุด ดังนั้นนางจึงอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจตลอดทั้งปี และเป็นผู้ที่ตั้งใจฝึกตนมากที่สุดเช่นกัน

เดิมทีสายเลือดหงส์โบราณที่นางมีเล็กน้อยมากไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย ทว่าจากการที่แดนผลการฝึกตนของนางยิ่งอยู่ยิ่งสูง สายเลือดกลับค่อย ๆ มีท่าทีที่จะหวนบรรพ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกตนหรือศักยภาพด้านสติปัญญาของนาง ต่างได้รับการยกระดับอย่างมาก

ในฐานะที่เป็นฮูหยินใหญ่ที่อยู่ข้างกายจ้าวหุบเขา การข้ามผ่านทัณฑ์ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญของหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว พวกลวี่โหลว จี้หานยู่ต่างพากันมาถึงนอกวังซิวหลัว เพื่อคอยคุ้มกันนาง

ทัณฑ์สายฟ้าทั้งหลายจุติลงมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าล้วนถูกเปลวไฟที่โอบล้อมอยู่รอบกายเหยียนเยว่เอ๋อร์ทำลายล้าง ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายนางได้เลยแม้แต่น้อย

นางเหมือนเทพหงส์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในเพลิงอัคคี มีโลกาเพลิงอัคคีใบหนึ่งวิวัฒนาการออกมาด้านหลังนาง ในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกาเพลิงอัคคีดังกล่าว มีไข่ใบหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยลายเส้นที่ล้ำลึกลอยอยู่ในเพลิงอัคคี และมีแสงเซียนอ่อน ๆ เป็นประกายระยิบระยับ!

ถ้าเกิดหลัวซิวมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวละก็ เขาต้องตกตะลึงอย่างมากแน่นอน เนื่องจากแสงเซียนประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถบังเกิดขึ้นมาได้ง่าย ๆ และทันทีที่มีแสงเซียนบังเกิดขึ้นละก็ เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่าเซียนแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นขณะที่เขาปลดปล่อยพลังอมตะวรยุทธ์เซียนอย่างวิชาทะยานเซียน หรือขณะที่ปลดปล่อยตรามหาหัตถ์ราชาเซียนก็จะมีแสงเซียนปรากฏขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่เขาโคจรวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ก็มีแสงเซียน ยิ่งไปกว่านั้นคือพลังอมตะอย่างเข้าล็อกเดิมของเขาก็มีแสงเซียนบังเกิดขึ้นเช่นกัน

ส่วนแสงเซียนจากไข่ที่ถูกวิวัฒนาการออกมาจากโลกาเพลิงอัคคีของเหยียนเยว่เอ๋อร์นี้ กลับเป็นสิ่งที่ผนึกรวมมาจากสายเลือดหวนบรรพของเผ่าพันธุ์หงส์โบราณที่อยู่ในร่างกายนาง

สายเลือดหวนบรรพหล่อเลี้ยงตัวอ่อนเซียนออกมาหนึ่งใบ และทันทีที่ตัวอ่อนเซียนฟักออกมา ก็จะเป็นวันที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ลอกคราบใหม่อย่างแท้จริง

หลังจากมหาทัณฑ์แห่งราชาเทพระดับเก้าผ่านพ้นไปแล้ว แสงเซียนที่กระพริบระยิบระยับอยู่บนไข่แห่งตัวอ่อนเซียนก็เข้มข้นมากกว่าเดิม

มีความจำการถ่ายทอดสืบสานบางอย่างที่คงอยู่ในสายเลือด ค่อย ๆ ทยอยปรากฏในส่วนลึกของสมองเหยียนเยว่เอ๋อร์โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

……

จอมยุทธ์นับหมื่นของชนเผ่าเฉว่ซ่าถูกฆ่าล้าง ส่วนฝั่งหลัวซิวกลับได้รับความเสียหายน้อยมาก แค่เขาคนเดียวก็สังหารคนในชนเผ่าเฉว่ซ่าไปเกือบสองพันกว่าคนแล้ว!

เนื่องจากจำนวนคนที่เขาฆ่าเยอะเกินไป รอบกายเขาจึงมีไอสังหารสีเลือดที่ราวกับแก่นแท้ลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป ยิ่งกว่านั้นคือไอสังหารได้กลายเป็นรูปร่างลักษณะของชุดเกราะแล้ว ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ราวกับอสุรภูมิที่เดินออกมาจากนรก

“มีศักยภาพแค่นี้ ชนเผ่าเฉว่ซ่าก็กล้าประกาศสงครามกับเราอย่างนั้นรึ?”

ตู๋กูเจี้ยนเฉินดูหมิ่นดูแคลนมาก เขาอดไม่ไหวที่จะเร่งเดินทางไปฆ่าล้างคนทั้งชนเผ่าเฉว่ซ่าให้หมดสิ้นแล้ว

“อย่าได้ประมาทไป”หลัวซิวขมวดคิ้วแล้วพูด “ชนเผ่าเฉว่ซ่ากล้าเปิดสงครามกับอาณากระบี่ของเรา แสดงว่าพวกมันต้องมีที่พึ่งพิงอาศัยอย่างแน่นอน”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เรือรบที่รออยู่บนฟ้าก็เคลื่อนไปยังด้านหน้าต่อ ด้านหน้าสามารถมองเห็นสำนักเขาของสำนักเยี่ยนหยุนได้ลาง ๆ แล้ว

สำนักข่าวดังกล่าวล้วนถูกล้มล้างไปแล้ว จิตสังหารที่ไร้ขอบเขตลอยวนเวียนอยู่กลางของท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ยอดฝีมือจำนวนมากของชนเผ่าเฉว่ซ่าล้วนปักหลักอยู่ที่นั่น

“ฆ่า!”

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ฝั่งหลัวซิวยังไม่มีท่าทีอะไร ก็มีเสียงตะโกนฆ่าที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินสะท้อนมาจากฝั่งชนเผ่าเฉว่ซ่าแล้ว เห็นเพียงมีประตูหลายบานปรากฏบนค่ายใหญ่ที่อยู่รอบสถานที่ตั้งของชนเผ่าเฉว่ซ่า ก่อนจะมีจอมยุทธ์ถี่ยิบที่มีไอสังหารโอบล้อมอยู่รอบกายบินออกมา พลังออร่าของทุกคนล้วนน่าทึ่งอย่างยิ่ง

“ข้อมูลผิดพลาด!”

รูม่านตาหลัวซิวหดลง เมื่อเขาเห็นเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าที่พุ่งออกมาจากสถานที่ตั้งของชนเผ่าเฉว่ซ่าก่อน จู่ ๆ ก็มีลางสังหรณ์ผุดขึ้นมาในใจเขา

เนื่องจากอ้างอิงจากข่าวกรองที่อาณากระบี่หวูจี๋ยึดกุม ชนเผ่าเฉว่ซ่าล้มล้างสำนักเยี่ยนหยุน อีกทั้งในบรรดากองทัพทหารที่ปักหลักอยู่ที่นี่ มีมกุฎเทพหกกงล้อไม่ถึงหนึ่งร้อยคน

ทว่าวินาทีนี้ผู้ที่ปรากฏตรงหน้าเขา แค่มกุฎเทพหกกงล้อก็มีนับพันคนแล้ว

ผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำสีเลือดก็เดินออกมาจากถิ่นฐานตนเช่นกัน แล้วเพ่งมองมาด้วยสายตาที่เยือกเย็นอย่างยิ่ง ก่อนจะโบกมือครั้งหนึ่ง “ฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก!”

มีเงาร่างที่ถี่ยิบพุ่งออกมาจากฐานที่มั่น เดิมทีในข่าวกรองได้บรรยายว่ามีกำลังคนสามหมื่นกว่า วินาทีนี้ผู้คนที่พุ่งสังหารออกมากลับมีเกือบแสนคนเลยทีเดียว!

สีหน้าของหลัวซิวหม่นหมองลงไปภายในพริบตา “วัน ๆ หน่วยข่าวกรองของอาณากระบี่หวูจี๋ทำแต่อะไรน่ะ? ไม่นึกเลยว่าข่าวกรองจะผิดพลาดมหันต์เช่นนี้เลยรึ?”

ก็ไม่แปลกหรอกที่หลัวซิวจะรู้สึกช็อกและโกรธขนาดนี้ เนื่องจากสำหรับสงครามแล้ว เรื่องข่าวกรองเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง หากมีข่าวกรองผิดพลาดแม้แต่น้อย ก็มีโอกาสเป็นตัวการที่ตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามได้เลย

ยกตัวอย่างเช่นวินาทีนี้ เนื่องจากเขาอ้างอิงจากเขากรองจึงนำกำลังคนมาแค่สองหมื่นกว่าคน ส่วนฝ่ายตรงข้ามกลับมีเป็นแสนเลย หากไม่มีมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างผลการฝึกตนคอยบัญชาการด้วยตนเอง พวกเขาก็มีโอกาสได้ตายอยู่ที่นี่กันหมดแล้วล่ะ!

สีหน้าของตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ดูย่ำแย่มากเช่นกัน แต่สิ่งที่หลัวซิวคำนึงถึงกลับมีมากกว่า นั่นก็คือบางทีอาจมีผู้ทรยศแฝงซ่อนอยู่ในกลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านข่าวกรองของอาณากระบี่หวูจี๋!

“ถอยทัพ!”

หลัวซิวออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลใจ เขาจะไม่นำชีวิตของศิษย์อาณากระบี่ไปล้อเล่น ถึงแม้ฝั่งเขาจะมีตู๋กูเจี้ยนเฉินคอยคุ้มกันรักษา แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้เช่นกันว่าฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีผู้แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งกว่าตู๋กูเจี้ยนเฉิน

“เวิ่ง!”

ทว่าในเวลานี้เอง ก็มีม่านแสงผืนหนึ่งจุติลงมาจากฟ้า ทำการผนึกอนัตตาฟ้าดินบริเวณโดยรอบนับล้านลี้เอาไว้ภายในพริบตา!

“ค่ายใหญ่กักกัน!”

สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ลางสังหรณ์ที่อยู่ในใจเข้มข้นมากกว่าเดิม เขาก็ถือว่าเชี่ยวชาญในวิถีค่ายเช่นกัน ทว่าขณะที่เดินทางมาถึงที่นี่ เขาสังเกตร่องรอยการคงอยู่ของค่ายใหญ่กักกันไม่ได้แต่อย่างใด

แสดงว่าระดับฝีมือบนวิถีค่ายของผู้ที่จัดวางค่ายใหญ่กักกันของที่นี่สูงส่งกว่าเขา!

ระดับฝีมือบนวิถีค่ายของเขาเทียบเท่าระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ส่วนวิถีค่ายของฝ่ายตรงข้ามกับสูงกว่าเขา หรือจะเป็นระดับผู้สูงส่ง?

“ฆ่า!”“ฆ่าให้หมด! ……”

ณ บัดนี้วินาทีนี้ หลัวซิวไม่มีเวลาไปคิดมากได้เลยด้วยซ้ำ ณ เสี้ยววินาทีที่ค่ายใหญ่กักกันนั่นปรากฏ กองทัพทหารนับแสนของชนเผ่าเฉว่ซ่าก็พุ่งสังหารเข้ามาแล้ว

ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่ผนึกรวมมาจากทหารนับแสนนั้นน่าสยดสยองมากเพียงใด? ด้วยค่ายกระบี่หวูจี๋ฝั่งหลัวซิวที่ประกอบจากคนสองหมื่นคน เกรงว่าแค่ปะทะเพียงครั้งเดียวก็คงถูกทลายจนแตกสลายแล้ว!

“ดูท่ามีคนอยากให้ข้าตายสินะ……”

จากประสบการณ์ของทั้งสองภพชาติ เรื่องราวดำเนินการมาจนถึงขั้นนี้แล้ว หากหลัวซิวยังไม่เข้าใจอีกละก็ เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้แล้วล่ะ

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน อย่างไรเสียความเกลียดแค้นระหว่างเขาและชนเผ่าเฉว่ซ่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว หากชนเผ่าเฉว่ซ่าใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะให้เขาตายละก็ มันก็เป็นเรื่องที่ปกติมากเช่นกัน

“เวิ่ง!”

ตู๋กูเจี้ยนเฉินฟาดฟันกระบี่ในมือออกมาหนึ่งครั้ง อนุภาพของหนึ่งกระบี่เพียงพอที่จะฉีกกระชากฟ้าดิน ทว่าเมื่อแสงกระบี่ที่เฉียบคมอย่างไร้ที่ตินั่นฟาดฟันลงบนม่านแสงของค่ายใหญ่กักกัน กลับถูกดีดออกกะทันหัน แสงกระบี่แตกสลาย!

“ช่างเป็นตัวต้องห้ามที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”

สีหน้าของตู๋กูเจี้ยนเฉินก็หม่นหมองลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน เป็นค่ายกลต้องห้ามที่แม้แต่เขายังทำอะไรไม่ได้ แสดงว่าระดับขั้นของค่ายใหญ่กักกันนี่ อย่างน้อยก็เป็นค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสุดยอด!

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท