มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2876
เพียงพริบตาเดียว กองทัพใหญ่นับแสนของชนเผ่าเฉว่ซ่าก็บุกมาถึง มีพลังออร่าที่น่าสยดสยองอย่างยิ่งผนึกตัวตู๋กูเจี้ยนเฉินเอาไว้ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม บนหน้าผากเต็มเปี่ยมไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“หลัวซิวระวัง ฝ่ายตรงข้ามมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่ต่ำกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ!”
ตู๋กูเจี้ยนเฉินรีบใช้ตัวสำนึกส่งเสียงตักเตือนหลัวซิวเป็นเวลาแรก พร้อมกับแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ทว่ากลับไม่เจอเลยว่าต้นตอของพลังออร่าที่น่าสยดสยองนั่นมาจากที่ใดกันแน่
หลัวซิวไม่มีเวลาไปตอบตู๋กูเจี้ยนเฉิน เพราะวินาทีนี้มีจอมยุทธ์นับหมื่นคนในชนเผ่าเฉว่ซ่าได้รวมตัวกันแล้วประกอบเป็นค่ายโลหิตมารฉกรรจ์หนึ่งค่าย แล้วแผ่คุมมาทางเขาแล้ว
“หึ่ง!”
จิตสังหารที่ไร้ขอบเขตทำให้ปริภูมิสั่นสะเทือนขึ้นมา แล้วเกิดเป็นระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมออกมา จิตสังหารที่น่าสยดสยองพุ่งเข้ามาถึงภายในเสี้ยววินาที หวังจะทำให้ตัวธรรมที่หนักแน่นแน่วแน่นั่นของหลัวซิวสั่นคลอน
“หึ!”หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ตัวธรรมไม่มีการสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะไม่สูง แต่ถ้าเกิดพูดถึงความหนักแน่นของตัวธรรมแล้ว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งจำนวนมากก็เทียบเคียงกับเขาไม่ได้
ตัวธรรมเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปณิธาน ในทางตรงกันข้ามมันกลับไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับผลการฝึกตนมากเท่าไหร่นัก
ไอสังหารม้วนซัด วินาทีนี้สิ่งที่กำลังปกคลุมร่างหลัวซิวคือค่ายโลหิตมารฉกรรจ์เจี้ยนเฉินที่ผนึกรวมมาจากราชาเทพระดับเก้านับหมื่นคน ภายใต้การปลุกเสกจากค่ายใหญ่ จำนวนตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ทำให้พลานุภาพของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์นี้เพียงพอที่จะสามารถเทียบทัดระดับมกุฎเทพหกกงล้อขั้นสูง!
พลังโจมตีระดับนี้ยังไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่หลัวซิวได้มากเท่าไหร่นัก ทว่าเขากลับไม่กล้าดูแคลน เนื่องจากมีวิกฤตการณ์แห่งความตายที่มองไม่เห็นทำให้เขางุ่นง่านเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ
“ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวเลือกที่จะปลดปล่อยพลังอมตะ วิชาตราประทับหนึ่งวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสนปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ กวาดล้างออกไปทั่วทุกสารทิศ
แม้นจะอยู่ภายใต้การกดอัดจากค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ หลัวซิวก็ยังคงเหมือนดั่งเสือที่กระโจนเข้าไปในฝูงแกะ รัศมีของพลังอมตะแวววาวจับตา ทุกพลังอมตะล้วนลึกลับและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เหล่าจอมยุทธ์แห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าจะสามารถเทียบเคียงได้
ภายในเวลาชั่วขณะ ก็มีคนนับร้อยดับสลายสูญสิ้น ร่างตายธรรมสูญ!
“ช่างเป็นพลังอมตะที่แข็งแกร่งยิ่งนัก การตระหนักในธรรมของเจ้าหมอนี่ลึกซึ้งมากเลยนี่!”กลางอนัตตานอกค่ายใหญ่กักกัน ทูตเพ้าดำเพ่งมองสนามรบ และเฝ้าสังเกตลาดเลาฝั่งหลัวซิวโดยเฉพาะ
แดนของเขาอยู่เหนือมหาจักรพรรดิยุทธ์ โลกทัศน์และสิ่งที่ได้พบเห็นรู้จักนั้นกว้างขวางมากเพียงใด จึงสามารถดูออกอยู่แล้วว่าพลังอมตะอย่างตราสรรพสิทธิ์มีศักยภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ภายในค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ หลัวซิวลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีพลังโจมตีจากไอสังหารที่น่ากลัวโจมตีใส่ร่างกายเขาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ร่างเนื้อเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“ร่างเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?”
ทูตเพ้าดำจ้องมองอย่างไม่ละสายตา จิตใจรู้สึกตะลึงงันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าความแข็งแกร่งในร่างเนื้อของหลัวซิว ไม่ได้เกิดจากการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างของเขาลึกซึ้งอย่างเดียวเท่านั้น
“ผลการฝึกตนที่แท้จริงของมันก็เทียบเท่ามกุฎเทพหกกงล้อ สาเหตุที่สามารถเทียบทัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อได้นั้น สิ่งที่มันพึ่งพาก็คือร่างเนื้อที่เกะกะระรานนั่นแหละ!”
ทูตเพ้าดำสังเกตจากการลงมือต่อสู้ของหลัวซิว ก่อนจะคาดการณ์ศักยภาพของเขาโดยคร่าว ๆ โลกทัศน์เช่นนี้อยู่เหนือมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว อย่างน้อยก็เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับผู้สูงส่ง
ทว่าทูตเพ้าดำก็ไม่ได้รีบลงมือเช่นกัน เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว หากต้องการสังหารหลัวซิวละก็ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก ๆ
“หากสามารถจับกุมตัวมันในแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็จักยิ่งดี เจ้าหมอนั่นต้องฝึกวรยุทธ์และพลังอมตะที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแน่นอน หากสามารถได้ครอบครองวรยุทธ์พลังอมตะบนตัวมัน มาตรแม้นว่าเป็นข้าก็จะได้รับผลประโยชน์เยอะมาก!”ทูตเพ้าดำนึกคิดอยู่ในใจ
……
กลางสนามรบ หลัวซิวอาศัยเกราะป้องกันร่างเนื้อที่แข็งแกร่งของตัวเอง พุ่งสังหารออกไปทั่วทุกสารทิศ แม้นจะถูกพลังโจมตีจากค่ายโลหิตมารฉกรรจ์โจมตี มันก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่เขาได้เลยแม้แต่น้อย
ร่างเนื้อของเขาเทียบเท่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชั้นยอด แม้แต่ผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพนั่นจากชนเผ่าเฉว่ซ่าก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวติดต่อกัน จนปัญญา ไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไร
“ท่านทูต ท่านยังไม่ลงมืออีกหรือขอรับ?”ผู้อาวุโสเฉว่เนี่ยนบินออกมาจากค่ายใหญ่กักกัน มาพูดข้างกายทูตเพ้าดำ สีหน้าดูย่ำแย่อย่างยิ่ง เนื่องจากยิ่งทูตเพ้าดำท่านนี้ลงมือช้าเท่าไหร่ คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าของพวกเขาก็จะตายมากเท่านั้น
“เจ้ากำลังซักถามข้าอยู่หรือ?”มีจิตสังหารที่เยือกเย็นทะลุออกมาจากแววตาของทูตเพ้าดำ ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสเฉว่เนี่ยนที่ฝึกวิถีแห่งการสังหารเปลี่ยนไปอย่างมาก ร่างกายก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน
“ผู้……ผู้น้อยมิกล้าขอรับ……”ผู้อาวุโสเฉว่เนี่ยนก้มหน้าลง สีหน้าอารมณ์ดูเคารพยำเกรง ภายในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นปนอยู่ด้วย
ทูตเพ้าดำทำเสียงหึเบา ๆ ทีหนึ่ง ไม่ได้สนใจผู้อาวุโสเฉว่เนี่ยน ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา: “ตี๋ซัน เจ้าไปสยบมัน”
พอสิ้นเสียงทูตเพ้าดำ เห็นเพียงจู่ ๆ พื้นที่ว่างเปล่าข้างทูตเพ้าดำก็สั่นกระเพื่อมขึ้นมา ชายที่ร่างกายกำยำ ทั้งร่างกายถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะสีดำก็ก้าวเท้าเดินออกมา
สีหน้าของผู้อาวุโสเฉว่เนี่ยนเปลี่ยนเป็นเล็กน้อย ชายเกราะดำนี่ปรากฏตัวกะทันหัน จากผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อของเขา ไม่นึกเลยว่าจะสัมผัสอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หากฝ่ายตรงข้ามประสงค์ร้ายต่อตน เช่นนั้นก็หมายความว่า……
“ขอรับ นายท่าน”
ชายเกราะดำตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นร่างกายเขาก็เหมือนดาวหางสีดำหนึ่งดวง พุ่งทลายอนัตตา กดอัดปริภูมิ เงาลวงสีดำหนึ่งดวงพุ่งเข้าไปในค่ายใหญ่กักกัน แล้วพุ่งตรงไปทางหลัวซิวโดยตรง
กำลังสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญอยู่ในสนามรบที่ถูกค่ายใหญ่กักกันปกคลุม จู่ ๆ หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีภัยคุกคามหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังประชิดใกล้เข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ตัวสำนึกของเขาสัมผัสเงาลวงสีดำที่จู่โจมเข้ามาทางตัวเองได้ภายในพริบตา ความเร็วในการเคลื่อนที่ของฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือความเร็วนั้นไม่ด้อยกว่าเขาที่โคจรเกณฑ์ปริภูมิและความเร็วพร้อมกัน
เพียงพริบตาเดียว เงาลวงสีดำก็มาถึงตรงหน้าหลัวซิว ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็มองเห็นชัดเจนแล้วว่าทั้งร่างกายของฝ่ายตรงข้ามถูกปกคลุมอยู่ในชุดเกราะสีดำขลับ ใบหน้าถูกหมวกนักรบบดบัง มองไม่เห็น สัมผัสได้แค่พลังออร่าที่ดุร้ายน่ากลัวบนตัวฝ่ายตรงข้าม
ความเร็วในการโจมตีของชายเกราะดำก็รวดเร็วมากเช่นกัน กวัดแกว่งค้อนใหญ่สีทองเหลืองทั้งสองอันภายในเสี้ยววินาทีเดียว แล้วฟาดทุบลงมาหลัวซิว
หลัวซิวไม่ได้ใช้อาวุธแต่อย่างใด แต่เป็นการยกหมัดทั้งสองข้างขึ้นมา ต้านทานกับค้อนใหญ่ทั้งสองอัน!
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
เพียงพริบตาเดียว กำปั้นของหลัวซิวก็ประสานงากับค้อนใหญ่มาไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว หลังจากประสานงากันอย่างดุเดือดครั้งสุดท้ายเสร็จ ร่างกายของหลัวซิวก็กระเด็นออกไปภายในพริบตา
“แข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?”สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป และรู้สึกตะลึงงัน ต้องท้าวความก่อนว่าร่างเนื้อของเขาสามารถเทียบทัดสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพเชียวนะ ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงโจมตีจนทำให้เขาต้องถดถอย ยังทำให้มือทั้งสองข้างของเขาเจ็บปวดด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
เพ่งตามองไป มีรัศมีเทวสีทองดำเปล่งประกายอยู่บนชุดเกราะดำของชายคนนั้น หลัวซิวสัมผัสพลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างได้จากพลังออร่าที่ตลบฟุ้งอยู่บนตัวฝ่ายตรงข้าม
ยอดฝีมือกลั่นร่าง!
หลัวซิวต้องการชี้ขาดได้ภายในเสี้ยววินาที ระดับฝีมือบนธรรมเวชกาลร้างของคนดังกล่าวสูงมาก ๆ หลังศรีษะมีกงล้อเทพปรากฏเจ็ดวง ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งแดงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่เน้นฝึกธรรมเวชกาลร้าง ถัดกลั่นร่างและต่อสู้ในระยะประชิดด้วย
ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อที่มีสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ แข็งแกร่งกว่าเขาที่มีแค่ร่างเนื้อที่เทียบเท่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพจริง ๆ
“กงล้อเทพไร้ลักษณ์!”
หลัวซิวใช้จิตนึกคิดทีหนึ่ง กงล้อเทพวงหนึ่งก็ปรากฏหลังศีรษะเขา แม้จะมีกงล้อเทพแค่วงเดียวก็ตาม แต่พลังออร่าอันมากมายมหาศาลที่แพร่กระจายออกมาจากกงล้อเทพวงนี้กลับเพียงพอที่จะสามารถเทียบทับพลังกงล้อเทพเจ็ดกงล้อของจักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว
“นี่คือวรยุทธ์อะไร? แค่กงล้อเทพเพียงวงเดียวอย่างนั้นรึ?”เมื่อทูตเพ้าดำเห็นภาพฉากดังกล่าว รูม่านตาก็หดลงอย่างควบคุมไม่ได้
“วิชาเซียนสิบช่อง!”
ชายเกราะดำเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา เห็นเพียงเขาใช้มือปลดปล่อยวิชาตราประทับออกมาได้รวดเร็วอย่างยิ่ง มีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมาจากร่างกายเขา แล้วเผยให้เห็นเงาร่างอีกคนหนึ่งที่เหมือนเขาทุกประการ
อย่างไรก็ตามแค่นี้ยังไม่จบ ถัดจากนั้นก็มีร่างที่สาม ร่างที่สาม ร่างที่สี่ ร่างที่ห้า……
เพียงชั่วพริบตาเดียว ตรงหน้าหลัวซิวก็มีชายเกราะดำปรากฏสิบร่าง พลังออร่าที่แพร่กระจายออกมาจากตัวชายเกราะดำทุกคนล้วนแข็งแกร่งเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นคือทำให้เขาแยกแยะไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร่างใดคือร่างจริง ร่างกายคือร่างแยกกันแน่
“นี่คือพลังอมตะอะไร?”
แม้แต่สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไปมากอย่างควบคุมไม่ได้ แค่ชายเกราะดำคนเดียวก็แข็งแกร่งมากแล้ว บัดนี้มีร่างแยกเก้าร่างปรากฏในทีเดียวเลยหรือ? ในโลกหล้านี้ยังมีพลังอมตะที่แข็งแกร่งและแหกกฎสวรรค์เช่นนี้อยู่อีกหรือ?
วิชาเซียนสิบช่อง? หรือจะเป็นพลังอมตะวิถีเซียน?
“ตู้มม!”
ทันใดนั้นเอง ชายเกราะดำสิบคนก็พุ่งสังหารเข้ามาพร้อมกัน เรื่องการดำเนินการมาถึงขั้นนี้ หลัวซิวก็ไม่มีทางปิดบังศักยภาพของตัวเองได้อีกแล้ว เขาทำการเรียกเตาอลวนหวูจี๋ออกมา ถึงจะพอต้านทานพลังโจมตีอันดุดันของชายเกราะดำสิบคนได้
“ตี๋ซันใช้ท่าไม้ตายแล้ว มันยังสามารถต้านทานไหวอีกอย่างนั้นหรือ?”
กลางอนัตตานอกค่ายใหญ่กักกัน แววตาของทูตเพ้าดำเป็นประกายไม่แน่วแน่ เนื่องจากหลัวซิวคนนี้ทำให้เขารู้สึกช็อกมากจริง ๆ
วิชาเซียนสิบช่องเป็นวรยุทธ์วิถีเซียนที่แท้จริงเชียวนะ ทันทีที่ใช้พลังอมตะดังกล่าว ก็จะสามารถเรียกร่างแยกที่เหมือนร่างแท้ทุกประการออกมาเก้าร่าง ซึ่งแตกต่างจากพลังอมตะแยกร่างประเภทอื่น ๆ ศักยภาพของร่างแยกที่เกิดจากพลังอมตะนี้จะไม่ลดลง ศักยภาพของร่างแยกทุกร่างล้วนเท่ากับร่างจริง!
ในขณะเดียวกัน การใช้พลังอมตะที่ทรงพลังเช่นนี้ ก็ทำให้ผลการฝึกตนของผู้ใช้สูญเสียเยอะมากเช่นกัน ซึ่งไม่สามารถประคองได้นานมากนัก
แต่ทว่าพลังอมตะวรยุทธ์เซียนนี้ของชายเกราะดำตี๋ซันแข็งแกร่งแหกกฎสวรรค์ก็จริง แต่เตาอลวนหวูจี๋ของหลัวซิวก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน หลังจากเงาลวงผู้สูงส่งปรากฏแล้ว ก็ถึงขั้นต้านทานพลังโจมตีอันดุดันที่ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้เลย
“ช่างเป็นของขลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก หากสมบัติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ถูกยึดกุมอยู่ในมือข้า ต้องสามารถทำให้ศักยภาพของข้าพุ่งพรวดได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นเตาอลวนหวูจี๋ที่หลัวซิวเรียกออกมา ทูตเพ้าดำก็หวั่นไหวขึ้นมากะทันหันเช่นกัน!
อาวุธเทพมหาศักดิ์หาไม่ยาก แต่อาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอดกลับหาไม่ง่าย
“ตายซะเถอะ!”
ดำเนินการมาถึงบัดนี้ ในที่สุดทูตเพ้าดำก็ลงมือแล้ว เห็นเพียงเขาค่อย ๆ ง้างมือขึ้นมา นิ้วมือข้างหนึ่งก็ปรากฏกลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แล้วจิ้มไปทางหลัวซิวที่อยู่ภายในค่ายใหญ่กักกัน
“ชัวะ!”
เห็นเพียงนิ้วดังกล่าวของทูตเพ้าดำกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ยื่นออกไปหลายพันเมตรแล้ว ราวกับเสาเทพที่ค้ำฟ้า กดอัดไปทางหลัวซิวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ระวัง!”
และในเวลานี้เอง เงาร่างของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ก็พุ่งเข้ามา ขวางอยู่ตรงหน้าหลัวซิว กระบี่เทพตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ แล้วทิ่มแทงก็ยังนิ้วมือที่กดอัดมา
“ฟึ่บ!”
เพียงพลังโจมตีเดียว กระบี่เทพชีวีของค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่เพิ่งหลอมสร้างกลับคืนมาได้ไม่นานก็แตกสลาย ซึ่งแตกต่างจากการหักเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้กระบี่เทพของเขาได้แตกสลายโดยสิ้นเชิงแล้ว กระบี่เทพกลายเป็นฝุ่นผง แล้วสลายหายไปกลางอากาศ
ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญกระบี่ กระบี่เทพชีวีถูกโจมตีจนแตกสลาย ทำให้ตัวค่ายโลหิตมารฉกรรจ์เองก็ถูกพลังแว้งกัดอย่างหนักหน่วงเช่นกัน มีเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากร่างกาย บาดเจ็บสาหัสคาที่ แทบจะตายไปเลย!
“เจี้ยนเฉิน!”
หลัวซิวโกรธมากจนดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขานึกไม่ถึงเลยว่าในบรรดาจอมยุทธ์ที่ชนเผ่าเฉว่ซ่าส่งมาล้มล้างสำนักเยี่ยนหยุน จะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้คงอยู่ด้วย ศักยภาพของชายเกราะดำนั่นเทียบเท่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสุดยอด วินาทีนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่านิ้วมือที่กดอัดลงมาคือผู้สูงส่งคนหนึ่ง!
ชนเผ่าเฉว่ซ่ามีผู้สูงส่งตั้งแต่เมื่อไหร่?
เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเจ็ดกงล้อ มาตรแม้นว่าว่าเป็นจักรพรรดิเทพที่เกะกะระรานอย่างชายเกราะดำ หลัวซิวก็รู้ตัวเองดีอยู่ว่าตนสามารถคว้าชัยได้อย่างแน่นอน แม้จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้แต่ก็สามารถเอาชีวิตรอดได้
แต่ถ้าเกิดได้ปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเป็นต้นไป หลัวซิวกลับรู้ดีมาก ๆ ว่าตนไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หลบหนียังทำไม่ได้เลย!
แม้นจะอยู่ในช่วงวิกฤตการณ์เช่นนี้ หลัวซิวก็ไม่มีความคิดที่จะรอความตายมาเยือนเช่นกัน เขายกมือโบกทีหนึ่ง ทำการเก็บตู๋กูเจี้ยนเฉินเขาไปในเตากลั่นนภาจื่อเซียว
“หอคอยฮวง!”
หลัวซิวคำรามอย่างบ้าคลั่งในใจ หอคอยฮวงดั้งเดิมที่แฝงซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรงในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ครั้งก่อนเขาเรียกหอคอยฮวงออกมาไม่สำเร็จ แค่เรียกพลังชี่ของหอคอยฮวงออกมาได้เสี้ยวเดียวเท่านั้น ปัจจุบันผลการฝึกตนศักยภาพของเขาแข็งแกร่งกว่าอดีต เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงและถูกหอคอยฮวงยอมรับจะไม่สามารถใช้อำนาจเรียกหอคอยฮวงที่อยู่ในมือฮวงจวินมาได้!