มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2877 ศักยภาพของตู๋กู

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2877 ศักยภาพของตู๋กู

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2877

สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์

วินาทีนี้ใบหน้าของผู้สูงส่งแห่งโลกร้างในยุคปัจจุบัน หรือผู้สูงส่งอัมพรเทวบรรพอาจารย์แห่งสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ดูหม่นหมองมากจนน่ากลัว

ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากที่มีคนใช้อำนาจฝืนเรียกหอคอยฮวงแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง ก็มีคนใช้อำนาจฝืนเรียกร่างดั้งเดิมของหอคอยฮวงอีกครั้ง!

เมื่อปีนั้นหอคอยฮวงได้เปิดออก แล้วทำการเลือกเจ้านายด้วยตนเอง ผู้สูงส่งอัมพรเทวไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ทว่าสำหรับเขาแล้วขอแค่ตัวเองยังเป็นผู้สูงส่งแห่งโลกร้างอยู่ เขาก็มองว่าหอคอยฮวงเป็นของตัวเองมาโดยตลอด

ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา เขาล้วนใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการตระหนักรู้ความล้ำลึกของธรรมเวชกาลร้าง หวังว่าสักวันจะสามารถกลั่นแปรหอคอยฮวงได้โดยสิ้นเชิง ฝึกเซ่นอัญมณีดั้งเดิมชิ้นนี้ให้กลายเป็นอัญแห่งบรรลุชีวีของตัวเอง

ค่ายใหญ่ของสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดออกอีกครั้ง สีหน้าของผู้สูงส่งอัมพรเทวยิ่งอยู่ยิ่งย่ำลง เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่า พลังการเรียกหอคอยฮวงในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนมาก ๆ แม้นเขาจะอยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศ เกรงว่าก็คงไม่สามารถหยุดยั้งหอคอยฮวงที่จะบินจากไปได้

……

นิ้วมือของทูตเพ้าดำกดอัดลงมา พลังอำนาจมากมายมหาศาลอย่างไร้ขอบเขต ตี๋ซันก็ถอนร่างแยกทั้งเก้าออกเช่นกัน เหลือเพียงร่างแท้แล้วถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย

“ฟึ่บ!”

​​เงาลวงมหาศักดิ์ที่ผนึกรวมมาจากเตาอลวนหวูจี๋ต้านทานพลังโจมตีชุดแรกเอาไว้ก่อน ต่างก็เป็นผู้สูงส่งเหมือนกัน ทว่ามันเป็นเพียงเงาลวงร่างหนึ่งที่ของขลังอาวุธเทพผนึกรวมออกมา ส่วนผู้ที่ลงมือกลับเป็นผู้สูงส่งที่แท้จริง ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ​​เงาลวงมหาศักดิ์ก็แตกสลายไปแล้ว ส่วนตัวหลัวซิวก็ถูกพลังแว้งกัดเช่นกัน กระอักเลือด ร่างกายเซไปมา

อย่างไรก็ตามเขากลับอาศัยตัวธรรมปณิธานที่แน่วแน่ฝืนอดกลั้นเอาไว้ วิชาตราประทับที่อยู่ในมือทั้งสองข้างแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อน ใช้หอคอยฮวงดั้งเดิมที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ สัมผัสตำแหน่งของหอคอยฮวงของจริงแล้วใช้อำนาจเรียกมา!

เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าหอคอยฮวงของจริงถูกพันธนาการไว้ บัดนี้มันกำลังทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อทำให้หลุดพ้นจากการถูกพันธนาการ

“ไอ้หอคอยฮวงขยะ!”ภายในจิตใจหลัวซิวโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ครั้งก่อนก็เป็นเพราะการขัดขวางของฮวงจวินนี่แหละ ถึงทำให้เขาไม่สามารถเรียกหอคอยฮวงที่แท้จริงมาได้ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะตู๋กูเจี้ยนเฉินมาได้ทันเวลา บางทีเขาคงตายไปแล้ว

ส่วนวิกฤตการณ์ในครั้งนี้กลับรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก หากยังไม่สามารถเรื่องหอคอยฮวงมาได้ เช่นนั้นก็สามารถพูดได้เลยว่าฮวงจวินเป็นคนฆ่าตัวเองทางอ้อม!

“กวง!”

หลัวซิวไม่มีเวลาไปครุ่นคิด หลังจากเงาลวงมหาศักดิ์แตกสลายไปแล้ว นิ้วมือที่เหมือนดังเสาเทพก็พุ่งชนเข้ากับเตาอลวนหวูจี๋ อาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอดชิ้นนี้ราวกับถูกฟ้าผ่า กลายเป็นแสงกลดวงหนึ่งแล้วกระเด็นออกไปทันที

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหนือศีรษะหลัวซิวก็ไม่มีอาวุธชิ้นใดคอยป้องกันเลย เปิดเผยอยู่ภายใต้การโจมตีของนิ้วมือค้ำฟ้านั่นโดยสิ้นเชิง!

อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง เขากลับไม่สามารถเรียกหอคอยฮวงมาได้

“ตายซะเถอะ!”

มีเสียงที่เยือกเย็นสะท้อนมาจากอนัตตา ทูตเพ้าดำไม่มีความคิดที่จะสังหารหลัวซิวจริง ๆ แต่เตรียมพร้อมที่จะบดขยี้ร่างเนื้อเขา จับกุมวิญญาณดั้งเดิมของเขา ขอแค่ทำการค้นวิญญาณหลัวซิว เช่นนั้นความลับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาก็จะตกเป็นของตนเอง

“ไสหัวไป!”

ภายใต้วิกฤตการณ์แห่งความตาย จู่ ๆ หลัวซิวก็คำรามเสียงดังลั่นจนท้องฟ้าสนั่นหวั่นไหว

วินาทีนี้พลังทั้งหมดในร่างกายเขาได้ผนึกรวมกันอยู่ที่กำปั้นทั้งสองข้างสองเขา แม้แต่การตระหนักรู้ในวิถียุทธ์ทั้งปวงของเขาก็ผนึกรวมกันอย่างบ้าระห่ำเช่นกัน

เขาไม่ใช่คนที่จะรอให้ความตายมาเยือนโดยไม่ทำอะไร ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้สูงส่งคนหนึ่ง เขาก็จะตอบโต้อย่างฮึกเหิมโดยที่ไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร แม้นต้องตายแต่ก็ต้องปลดปล่อยศักยภาพให้ถึงขีดสูงสุด มาตรแม้นว่าตายไปแล้วจะได้ไม่เสียดาย!

“เวิ่ง! ……”

วินาทีนี้ มีแสงเซียนที่งดงามเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนตัวหลัวซิว เขาฝ่าฟันไปถึงชั้นที่ 23 ของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้วได้รับสัญลักษณ์วิถีเซียนมา 22 ชิ้น บัดนี้สัญลักษณ์เหล่านั้นได้พากันปรากฏบนผิวหนังชั้นนอกของเขา

ความล้ำลึกอันนับไม่ถ้วนที่มีวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์แฝงซ่อนดังก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ วินาทีนี้หลัวซิวได้ระเบิดรัศมีที่แวววาวจับตาที่สุดในชีวิตออกมา ร่างกายเขาปกคลุมอยู่ในแสงเซียน ราวกับจักกลายเซียนโบยบินสู่สวรรค์ยังไงอย่างนั้น

“ตู้มม!”

เสียงที่ดังกึกก้องก้องกังวาน กำปั้นทั้งสองข้างของหลัวซิวพุ่งชนเข้ากับนิ้วมือของทูตเพ้าดำ จากการที่มีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปากเขา ต่อมาร่างกายเขาก็กระเด็นออกไป ผิวหนังระเบิดแตก เลือดอาบท่วมตัว

“ว่าอย่างไรนะ!”

ทูตเพ้าดำเบิกตากว้างจนดวงตากลมโต “นี่มันจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร!”

จากผลการฝึกตนผู้สูงส่งช่วงปลายของเขา เพียงนิ้วมือเดียวก็สามารถสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อได้อย่างง่ายดาย ทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงอล้อบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นรึ?

ทูตเพ้าดำรู้สึกตะลึงช็อกมากขนาดนี้ไม่ว่า แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

บางทีอาจเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์จนตรอกแห่งวิกฤตการณ์ความตาย ร่างกายเขาจึงทลายพันธนาการบางอย่าง ใช้ธรรมเวชกาลร้างเป็นพื้นฐาน การตระหนักรู้ที่นับไม่ถ้วนในกฎธรรมทั้งปวงของเขาถึงขั้นผสมผสานกันในเวลานี้!

มีแนวคิดธรรมประเภทหนึ่งที่ใหม่เอี่ยมผุดขึ้นมาในหัวเขา……

“นี่ก็คือวิถีเซียนหรือ? วิถีเซียนของตัวข้าเอง?”

แนวคิดธรรมที่ใหม่เอี่ยม ราวกับมีประตูใหญ่บานใหม่ที่อยู่ตรงหน้าหลัวซิวถูกเปิดออก ซึ่งนี่คือวิถีเส้นทางที่แปรเปลี่ยนจากพื้นฐานของวิถีกลั่นร่างสู่วิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์!

วิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ของเขาแตกต่างจากวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์เพราะมันเป็นการผสมผสานของการตระหนักรู้ที่เขาได้รับจากวังเซียนศักดิ์สิทธิ์บวกกับการตระหนักรู้ในเคล็ดเซียนแปรเก้าของเขา แล้วก็การตระหนักรู้ที่ทำให้ถ้วนในธรรมทั้งปวงของเขา นี่ถึงจะวิวัฒนาการวิถีที่ใหม่เอี่ยมออกมาได้!

“หึ่ง!”

มีรัศมีที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากตัวหลัวซิว รัศมีเหล่านี้ล้วนเป็นแสงเซียน ส่วนร่างกายเขาที่อยู่ในแสงเซียนประเภทนี้ก็เริ่มได้รับการแปรเปลี่ยนที่ใหม่เอี่ยมเช่นกัน!

“ไม่นึกเลยว่าจะบรรลุในสถานการณ์จนตรอกที่ไร้โอกาสรอดอย่างนั้นหรือ?”

สีหน้าของทูตเพ้าดำหม่นหมองอย่างยิ่ง จิตสังหารที่อยู่ในแววตาทั้งสองข้างเข้มข้นในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าคลื่นผลการฝึกตนบนตัวหลัวซิวกำลังเพิ่มขึ้นตามจังหวะ จากราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิในตอนแรก ยกระดับถึงราชาเทพระดับเก้าช่วงกลางอย่างรวดเร็ว

การยกระดับของหนึ่งแดนเล็กไม่มีประโยชน์อะไรต่อการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ทูตเพ้าดำใส่ใจอย่างแท้จริงกลับเป็นแสงเซียนที่แย้มบานออกมาจากตัวหลัวซิว!

“มันกำลังลอกคราบใหม่ มีแรงเต๋าหนึ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งกำลังผนึกรวมกันอยู่ในร่างกายมัน!”

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง พลังที่ทูตเพ้าดำปลดปล่อยก็คือแรงเต๋ามหาศักดิ์ แต่เขากลับสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าพลังที่กำลังผนึกรวมกันในร่างกายหลัวซิว ณ วินาทีนี้ กลับเป็นแรงเต๋าบางอย่างที่มีระดับสูงกว่าแรงเต๋ามหาศักดิ์!

ราชาเทพเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่กลับสามารถผนึกรวมแรงเต๋าที่ทรงพลังกว่าแรงเต๋ามหาศักดิ์ออกมาได้ เรื่องนี้มันน่าสยดสยองมากเกินไปแล้ว!

ยิ่งเป็นเช่นนี้ ทูตเพ้าดำก็ยิ่งอยากสังหารหลัวซิวอย่างอดใจรอไม่ไหว! ยิ่งกว่านั้นคือเขายอมไม่เอาความลับที่อยู่บนตัวหลัวซิว แต่ก็ต้องกำจัดภัยคุกคามอันใหญ่หลวงในอนาคตนี้ทิ้งให้ได้!

“ตาย!”

มีแสงมืดดวงหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วทูตเพ้าดำ เห็นเพียงแสงมืดดังกล่าวขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม ก่อนจะกลายเป็นตราประทับสีดำที่ปกคลุมพื้นที่หนึ่งหมื่นลี้ บดบังท้องฟ้า อานุภาพมโหฬารพันลึกจนน่ากลัว

ภายใต้การสยบจากพลานุภาพที่น่าสยดสยองนี้ ทุกคนที่อยู่ภายในค่ายใหญ่กักกันล้วนสัมผัสได้ถึงออร่าแห่งความตาย

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสิ่งที่ทูตเพ้าดำคนนี้ฝึกคือธรรมเวชมรณา ซึ่งนี่คือธรรมดั้งเดิมประเภทหนึ่ง กฎและเกณฑ์ความตายที่จอมยุทธ์ทั่วไปรู้จักนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมเวชมรณา

กฎก็ดี เกณฑ์ก็ช่าง ทั้งสองสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมไม่ใช่ทั้งหมดของธรรมแต่อย่างใด

ทูตเพ้าดำเรียกอาวุธเทพมหาศักดิ์ออกมา ก่อนจะโจมตีอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถ แม้นหลัวซิวจักบรรลุในสถานการณ์ที่จนตรอก แต่ก็ต้านทานพลังโจมตีนี้ไม่ได้แน่นอน

พลังโจมตีในครั้งนี้แตกต่างจากนิ้วมือที่ทูตเพ้าดำปลดปล่อยออกมาอย่างผ่อนคลายในเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิงเลย ต่างกรรมต่างวาระเปรียบเทียบกันไม่ได้

ตราประทับสีดำมืดพุ่งลงมาอย่างเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ยิ่งไปกว่านั้นคือทูตเพ้าดำไม่สนใจความเป็นความตายของผู้คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าด้วยซ้ำ อานุภาพของตราประทับได้แผ่คลุมทุกคน!

“การที่มีคนตายเป็นเพื่อนมึงเยอะเช่นนี้นั้น มึงก็ถือว่าคุ้มกับการตายแล้วล่ะ!”เสียงที่เย็นเยือกของทูตเพ้าดำดังก้องอยู่ในอนัตตา

ในขณะที่หลัวซิวรู้สึกว่าตัวเองต้องได้ตายอย่างแน่นอนอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีระลอกคลื่นปริภูมิปรากฏข้างกายหลัวซิว จากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่นดังกล่าว

คนดังกล่าวคือชายที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีเขียว ใบหน้าเรียบนิ่ง ใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง เก็บซ่อนพลังออร่า รู้สึกมากจนไม่อาจคาดเดาได้!

“ศิษย์พี่!”มีรัศมีแห่งความสุขใจปรากฏในแววตาหลัวซิว

ซึ่งคนดังกล่าวที่เร่งเดินทางมาย่อมต้องเป็นเจ้าแดนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ตู๋กูอยู่แล้ว!

เห็นเพียงหลังจากที่เขาปรากฏแล้ว กระบี่เทพเล้มหนึ่งที่สูงเสียดเมฆก็ปรากฏกะทันหัน ประคองฟ้าดินเอาไว้ ปลายกระบี่ได้ทำการต้านทานตราประทับสีดำมืดนั่นเอาไว้!

“เตี๊ยง!”

ตราประทับสีดำมืดพุ่งชนเข้ากับกระบี่เทพ พลานุภาพควันหลงที่มากมายมหาศาลทำให้สุญญากาศแตกสลาย ทำให้ตราประทับสีดำมืดไม่สามารถร่วงหล่นลงมาได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว

“ผู้ใดกัน?”

สีหน้าของทูตเพ้าดำที่อยู่นอกค่ายใหญ่กักกันเปลี่ยนไป ภายในดวงตาที่หลบซ่อนอยู่ในชุดคลุมยาวดำมีรัศมีแห่งความระแวดระวังปรากฏ

เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าคนดังกล่าวที่ปรากฏร่างกายหลัวซิวกะทันหันนั่น แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

“เจ้าแดนมาแล้ว!”

ตู๋กูเจี้ยนเฉินที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในเตาอลวนหวูจี๋ถอนหายใจโล่งอก อดีตเขาเคยมีโอกาสได้พบหน้าเจ้าแดนหนหนึ่ง จึงต้องจำท่านได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว อีกทั้งหลังจากเขาบรรลุเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่าง ก็ได้ทราบข่าวลับบางอย่าง ทราบอย่างลึกซึ้งเลยว่าเจ้าแดนคนดังกล่าวคือบรรพบุรุษเชื้อสายตู๋กู ซึ่งมีชีวิตคงอยู่มายาวมาก ๆ แข็งแกร่งมากจนไม่อาจคาดเดาได้!

“เป็นเพียงคนตาย มิจำเป็นต้องทราบว่าข้าคือผู้ใด”

ตู๋กูเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา เห็นเพียงเขาค่อย ๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา จากนั้นก็มีกระบี่เทพสองเล่มที่เฉียบคมอย่างยิ่งพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ฉีกกระชากอนัตตา

“ฟึ่บ!”

เพียงสายตาเดียว ค่ายใหญ่กักกันที่ปกคลุมพื้นที่นับล้านลี้ก็ถูกฉีกกระชาก แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

ในขณะเดียวกัน ตู๋กูก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กระบี่เทพที่สูงเสียดเมฆจึงสั่นสะเทือนร้องเสียงดังหึ่ง ๆ ตราประทับสีดำมืดจึงถูกทลายจนแตกสลายภายในพริบตา แล้วกลายเป็นฝุ่นผง

“แข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?”

หลัวซิวมองดูจนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง เขารู้อยู่ว่าศิษย์พี่ของตนอยู่ในแดนผู้สูงส่ง ส่วนผู้ที่คอยจัดวางค่ายใหญ่กักกันอยู่ในที่ลับนั่นก็เป็นผู้ส่งส่งเช่นกัน ต่างอยู่ในแดนผู้สูงส่งเหมือนกัน แต่ดูเหมือนอุบายและศักยภาพของศิษย์พี่ท่านนี้ของตน ไม่เพียงอยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่ยังสามารถสยบฝ่ายตรงข้ามได้โดยสิ้นเชิงเลย!

“แย่แล้ว! ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนดังกล่าว หนี!”

ณ เสี้ยววินาทีที่ตราประทับสีดำมืดถูกทลาย ค่ายใหญ่กักกันถูกฉีกกระชาก ทูตเพ้าดำก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนจะฉีกกระชากอนัตตาอย่างไม่ลังเลใจ แล้วหลบหนีเข้าไปในอนัตตา ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะไปสนใจตี๋ซันนั่นแล้ว

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามหลบหนี จึงมีความดูหมิ่นกระพริบผ่านไปในแววตาตู๋กู เขาไม่ได้ไล่ล่าออกไปแต่อย่างใด แต่เป็นการหันหน้ามองไปทางหลัวซิวที่อยู่ข้างกาย

“ศิษย์น้อง”มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชา ก็มีเพียงขณะที่เผชิญหน้ากับศิษย์น้องคนนี้เท่านั้นแหละ เขาถึงจะแสดงด้านที่อบอุ่นออกมา

“ขอบพระคุณศิษย์พี่อย่างยิ่งขอรับ”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขารู้อยู่ว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ศิษย์พี่ท่านนี้ได้ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ครั้งก่อนครั้นตู๋กูเจี้ยนเฉินไปช่วยตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่แนะนำเช่นกัน มิเช่นนั้นตู๋กูเจี้ยนเฉินที่อยู่ในสภาวะปิดขังไม่มีทางรู้ได้เลยด้วยซ้ำว่าเขาตกอยู่ในความอันตราย

“ระหว่างเจ้าและข้ามิจำเป็นต้องเกรงใจหรอก”ตู๋กูอมยิ้ม สายตาร่วงลงบนตัวหลัวซิว “ดูท่าศิษย์น้องเล็กมีการบรรลุอีกแล้วสินะ”

ในระหว่างที่พูดประโยคนี้ มีความอิจฉาเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาตู๋กู ทว่ากลับไม่มีความริษยาเลยแม้แต่น้อย

“ศิษย์พี่ ข้า……”

หลัวซิวอ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับเห็นตู๋กูโบกมือ ตัดบทพูดของเขาไปก่อน “มีเรื่องอะไรกลับไปค่อยพูด”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เห็นเพียงตู๋กูยกมือโบกทีหนึ่ง ห้วงกระบี่ที่ไร้ขอบเขตก็ปะทุ ม้วนซัดพื้นที่บริเวณโดยรอบนับล้านลี้

ภายในเขตพื้นที่ดังกล่าว จอมยุทธ์ทุกคนในชนเผ่าเฉว่ซ่าไม่ทันได้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ ก็ต่างถูกห้วงกระบี่สังหารบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่นผง

ถัดจากนั้น ตู๋กูก็โบกมือทีหนึ่งแล้วบุกเบิกประตูอนัตตาออกมาหนึ่งบาน เมื่อข้ามผ่านประตูดังกล่าว จะสามารถก้าวข้ามผ่านอนัตตานับหมื่นลี้ ย้อนกลับไปยังดินแดนของอาณากระบี่หวูจี๋ได้โดยตรง

……

ในขณะเดียวกัน ทูตเพ้าดำที่กำลังบินหนีอยู่ในอนัตตารู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผล เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่ามีปราณกระบี่เล่มหนึ่งที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง กำลังไล่ตามหลังเขามาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าความเร็วในการบินหนีของเขาจะรวดเร็วมากเพียงใด ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการไล่ล่าของปราณกระบี่ดังกล่าวได้เลย

การฝึกยุทธ์ของจอมยุทธ์ทั่วไปนั้น หลังจากบรรลุถึงเทพมารก็จะเริ่มตระหนักกฎเกณฑ์ เมื่อบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดแล้ว ก็จะแปรเปลี่ยนจากกฎเป็นพลังแห่งเกณฑ์ วิถีแห่งเกณฑ์

ส่วนกฎและเกณฑ์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมดั้งเดิมเท่านั้น จอมยุทธ์จำนวนมากที่ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้า อาจไม่สามารถได้สัมผัสกับความล้ำลึกที่แท้จริงของธรรมดั้งเดิมด้วยซ้ำ

ลือกันว่าในดาราจักรวาลทั้งปวงมีธรรมดั้งเดิมทั้งหมด 33 ประเภท หากสามารถฝึกธรรมดั้งเดิมทุกประเภทจนถึงแดนบริบูรณ์ ก็จะสามารถย่างกรายสู่วิถีเซียนได้โดยตรง

การฝึกธรรมดั้งเดิมนั้นแบ่งออกเป็นห้าแดน ซึ่งได้แก่ขั้นปฐมภูมิ สำเร็จน้อย บรรลุผล ขั้นสูงและบริบูรณ์

ต่างเป็นผู้สูงส่งเหมือนกัน และได้สัมผัสกับธรรมดั้งเดิมเช่นกัน ทว่าการยึดกุมธรรมเวชมรณาของทูตเพ้าดำแค่บรรลุถึงขั้นปฐมภูมิเท่านั้น ส่วนธรรมเวชกระบี่ของตู๋กูกลับบรรลุถึงแดนบรรลุผลแล้ว!

แม้นจักเป็นผู้สูงส่ง แต่การควบคุมธรรมดั้งเดิมของตู๋กูกลับเป็นสิ่งที่แม้แต่ประมุขเต๋าจำนวนมากยังเทียบเคียงด้วยไม่ได้!

ช่วงระยะความต่างของระดับธรรม ส่งผลให้ช่วงระดับของศักยภาพแตกต่างกันมาก……

ฟึ่บ!

หลังจากไม่รู้ว่าทูตเพ้าดำบินหนีไปได้นานเท่าไหร่ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ถูกปราณกระบี่ตามทันในที่สุด ปราณกระบี่เล่มหนึ่งทลายทุกสรรพสิ่งที่มาขวางกั้น ทำให้วิญญาณดั้งเดิมและร่างเนื้อของเขาต่างดับสลายหายไปอยู่ในส่วนลึกของอนัตตา

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท