ณ หุบเขากระบี่ ตู๋กูพาหลัวซิวกลับมาถึงอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว
การทำสงครามกับชนเผ่าเฉว่ซ่าในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพิรุธข้อสงสัยต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่กลับมาถึงหุบเขากระบี่ หลัวซิวก็จ้องมองไปทางศิษย์พี่ของตัวเองด้วยสายตาที่สงสัย
ก่อนหน้านี้ตู๋กูบอกแล้วว่าให้กลับมาก่อนค่อยว่ากันอีกที ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้เป็นฝ่ายที่เอ่ยปากสอบถามก่อน
“เรื่องนี้ศิษย์พี่เองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน ศิษย์แห่งอาณากระบี่หวูจี๋มีมากมายเช่นนี้ การที่จะถูกศัตรูแอบส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามานั้น สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี”ตู๋กูพูดกับหลัวซิวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ตู๋กูก็ถือเป็นการยอมรับแล้วว่าภายในอาณากระบี่หวูจี๋มีผู้ทรยศ มิเช่นนั้นหากทราบล่วงหน้าว่าฝ่ายชนเผ่าเฉว่ซ่ามีกองทัพนับแสนละก็ หลัวซิวคงไม่มีทางนำกำลังคนสองหมื่นคนบุกฆ่าเข้าไปอย่างโง่เง่าแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลัวซิวใส่ใจที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วถาม: “ความเป็นมาของผู้สูงส่งที่จะสังหารข้าเป็นอย่างไรขอรับ?”
ดูจากกระบวนท่าโจมตีของทูตเพ้าดำนั่น หลัวซิวสามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่คนในอาณากระบี่หวูจี๋ ดังนั้นเขาถึงได้รู้สึกสงสัยเช่นนี้ เหตุใดฝ่ายตรงข้ามจึงต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อสังหารตน?
“หากศิษย์พี่คาดเดาไม่ผิดละก็ ทูตเพ้าดำนั่นน่าจะมาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง”
ตู๋กูไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดคำพูดที่น่าทึ่งออกมา “มหันตภัยใกล้จะปะทุ ศึกสงครามระหว่างทั้งสามโลกาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้นแหละ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกาฟ้าดินหลิงหลงหรือโลกาเทพมังกรไท่ชู ต่างก็จะคิดหาหนทางกำจัดผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา”
สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมหันตภัยนั้น หลัวซิวเคยฟังอาจารย์กล่าวถึงแล้ว ดังนั้นเมื่อตู๋กูอธิบายเช่นนี้ หลัวซิวก็ถือว่าเข้าใจแล้ว
คนที่เป็นภัยคุกคามที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงอัจฉริยะไร้เทียมทานที่มีศักยภาพสูงส่งอย่างยิ่ง รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด
แน่นอนอยู่แล้วว่าการกำจัดภัยคุกคามทิ้งเป็นเพียงอุบายประเภทหนึ่ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็คอยยุยงและดึงบางกองกำลังในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเข้าไปเป็นพวกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่า ก็ต่างถือว่าเป็นกองกำลังที่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวกหรือถูกซื้อตัวไปแล้ว
แนวโน้มที่จะเอนไปในทิศทางที่เลวร้ายของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดในปัจจุบันชัดเจนมาก อย่าว่าแต่ตู๋กูเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของพวกเขามกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกด้านได้ ปัจจุบันจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ตกลงมีกองกำลังใดที่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวก กองกำลังใดที่ยังไม่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวก มีเพียงกองกำลังนั้น ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
“สามารถตอบกลับได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่าศิษย์น้องเจ้าถูกหมายตาไว้แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ที่เจ้าแสดงออกมา ได้สร้างภัยคุกคามให้แก่โลกาฟ้าดินหลิงหลงแล้ว ดังนั้นพวกเขาถึงได้อยากกำจัดเจ้าทิ้ง”
จู่ ๆ สีหน้าอารมณ์ของตู๋กูก็ดูตึงเครียดขึ้นมา แล้วพูดกระแทกเสียงต่ำ: “ซึ่งนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น บางทีคนในโลกาเทพมังกรไท่ชูก็อาจจะหมายตาเจ้าไว้เช่นกัน ฉะนั้นหากไม่มีความจำเป็นละก็ ทางที่ดีเจ้าอย่าออกจากผืนดินของอาณากระบี่หวูจี๋จะดีกว่า”
หลัวซิวไม่ได้ตอบกลับอะไร แม้เขาจะรู้อยู่ว่าศิษย์พี่ทำเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่ถ้าเกิดให้เขาหดตัวอยู่แต่ในอาณากระบี่หวูจี๋แล้วไม่ออกไป นี่กลับไม่ใช่อุปนิสัยของเขา
ในขณะที่ตู๋กูกำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่ออยู่นั้น ก็มีปณิธานดวงหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปในหัวเขากะทันหัน สีหน้าอารมณ์ของตู๋กูดูงุนงงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดกับหลัวซิวว่า “ศิษย์น้อง อาจารย์ท่านให้เจ้าไปพบ”
“อาจารย์?”หลัวซิวก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน ตั้งแต่กราบไหว้อาจารย์เป็นศิษย์เป็นต้นมา นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่อาจารย์เรียกพบเขา
“เคราะห์หามยามร้ายในครั้งนี้ของเจ้า ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ท่านย้ำเตือนข้าเช่นกัน ดังนั้นแม้นข้าจะเป็นผู้ลงมือช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ทว่าผู้ที่ช่วยเจ้าเอาไว้จริง ๆ ก็ยังเป็นอาจารย์เราอยู่ดี”ตู๋กูอธิบาย
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกตะลึงมาก พลางคิดในใจว่าอาจารย์ท่านนี้ของตนนี่ทำนายได้แม่นยำไม่มีผิดพลาดจริง ๆ
เดินตามตู๋กู หลัวซิวมาถึงโลกาอนัตตาอู๋จี๋อีกครั้ง ก่อนหน้านี้แม้นเขาจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ทว่าครั้งที่ได้พบหน้าอาจารย์อย่างแท้จริง ก็มีเพียงครั้งแรกที่มาที่นี่เท่านั้น
ยังคงเป็นเขาเซียนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพสุดาราแห่งนี้อยู่เช่นเคย ซึ่งสถานที่พักของอาจารย์ก็อยู่ในตำหนักหวูจี๋
เมื่อมองจากลักษณะภายนอก ตำหนักหวูจี๋คือพระราชวังหลังหนึ่ง ส่วนภายในพระราชวังหลังนี้กลับมีโลกอีกใบหนึ่ง ราวกับโลกาเล็ก ๆ หนึ่งใบยังไงอย่างนั้น
เมื่อตู๋กูส่งหลัวซิวมาถึงที่นี่เขาก็ถอยกลับ ส่วนหลัวซิวนั้นกลับย่างกรายเดินเข้าไปในตำหนักหวูจี๋ ก่อนจะมาถึงหุบเขาเล็ก ๆ ที่เคยกราบไหว้อาจารย์เมื่อครั้นนั้น
เมื่อมาถึงที่นี่ หลัวซิวก็เจอมกุฎเต๋าหวูจี๋ทันที เห็นเพียงมกุฎเต๋ากำลังหลับตาทั้งสองข้าง หลังศีรษะมีวงแหวนเทวที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียน พลังออร่าอันมากมายมหาศาลที่ตลบฟุ้งอยู่บนร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบสุขและเป็นมงคล
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า แล้วก้มคำนับอย่างเคารพนอบน้อม “ศิษย์หลัวซิวกราบคารวะอาจารย์ขอรับ”
เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ท่านนี้ของตน จิตใจหลัวซิวก็เคารพมาก ๆ ถึงแม้ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติหรือปัจจุบัน หลังจากเขากราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์แล้ว อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่แยแสตัวเองเลย ทว่าจากคำพูดของตู๋กู เขาถึงจะทราบว่าอันที่จริงอาจารย์ท่านเฝ้าติดตามตัวเองมาโดยตลอด แต่แค่ตัวเองสัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง
มกุฎเต๋าหวูจี๋ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาที่สงบและเป็นมงคลร่วงลงบนตัวหลัวซิว ตรงมุมปากมีรอยยิ้มอ่อน ๆ “ภัยพิบัติครั้งหนึ่งแต่กลับทำให้เจ้าได้ดีจากเรื่องร้าย ผสมผสานการตระหนักรู้ทั้งหลายเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเจ้าได้ริเริ่มวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของตัวเจ้าเองออกมาแล้ว”
จากความสามารถในการมองของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ย่อมต้องดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าปัจจุบันภายในเลือดเนื้อเอ็นกระดูกของหลัวซิวมีแสงเซียนแฝงซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถควบคุมพลังแห่งวิถีเซียนได้แล้ว!
พลังแห่งวิถีเซียนเป็นพลังที่ระดับสูงกว่าพลังแห่งมกุฎเต๋า ถึงแม้หลัวซิวจะถูกพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตัวเอง พลังแห่งวิถีเซียนที่เขาผนึกรวมออกมายังไม่สามารถเทียบทัดพลังของเซียนที่แท้จริง แต่ก็ทำให้ศักยภาพของเขาได้รับการยกระดับอย่างมากเช่นกัน
ส่วนศักยภาพที่ได้รับการยกระดับกลับเป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญคือร่างเนื้อเขาผ่านการลอกคราบใหม่ ภายใต้การบ่มเพาะจากแสงเซียน ฐานร่างของเขาจะค่อย ๆ วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนบรรลุเป็นกายร่างเซียนศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด!
ทันทีที่บรรลุเป็นกายร่างศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออาศัยร่างเนื้อก็สามารถเทียบทัดเซียนที่แท้จริงได้แล้ว
นอกเหนือจากนี้แล้ว การริเริ่มวิถีเซียนแล้วผนึกรวมพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้นั้นยังมีผลประโยชน์อื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นเมื่ออาศัยพลังแห่งวิถีเซียน หลัวซิวสามารถปลดปล่อยความลึกลับมหัศจรรย์และพลานุภาพของพลังอมตะวรยุทธ์เซียนออกมาได้มากยิ่งขึ้น
การใช้พลังแห่งวิถีเซียนปลดปล่อยพลังอมตะวรยุทธ์เซียน ย่อมต้องเป็นวิธีการที่สมบูรณ์แบบที่สุดอยู่แล้ว
“หากอาจารย์ไม่ให้ศิษย์พี่ตู๋กูลงมือช่วยเหลือข้า ศิษย์คงตายไปตั้งนานแล้ว”หลัวซิวกล่าว
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์จนตรอกที่ต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยนั่น ดอกผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลัวซิวก็คือวิถีไร้ลักษณ์ของตัวเองยกระดับถึงระดับของวิถีเซียนแล้ว ซึ่งระดับธรรมประเภทนี้อยู่เหนือธรรมดั้งเดิม!
ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะยังต่ำมาก ๆ เป็นเพียงแดนราชาเทพระดับเก้าช่วงกลาง แต่พลังแห่งวิถีเซียนของเขากลับสามารถปลดปล่อยพลานุภาพที่ไม่ด้อยกว่าธรรมดั้งเดิมแดนบรรลุผล
“เจ้าเป็นศิษย์ของข้า แล้วอาจารย์จักมองดูเจ้าถูกสังหารโดยไม่แยแสได้อย่างไรเล่า?”
มกุฎเต๋าหวูจี๋อมยิ้ม “แม้นอดีตชาติของเจ้าก็มีภัยพิบัติแห่งการถูกสังหารเช่นกัน ทว่าเมื่อตอนนั้นสาเหตุที่อาจารย์ไม่ช่วยเจ้านั้น เป็นเพราะชีวิตเจ้าถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องได้ตายหนึ่งหน ดังคำกล่าวที่ว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง หากไม่มีการสิ้นสุดของอดีตชาติ เจ้าก็จะไม่มีดอกผลอย่างในปัจจุบัน”
สำหรับคำพูดดังกล่าวของมกุฎเต๋าหวูจี๋นั้น ตัวหลัวซิวเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน แม้เขาในอดีตชาติจะบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง แต่ศักยภาพในการฝึกธรรมกลับมีขีดจำกัด และเป็นเพราะเมื่อปีนั้นสัมผัสได้ว่าวิถียุทธ์ของตัวเองมีจุดบกพร่องนี่เอง ดังนั้นเขาถึงได้เลือกที่จะกลับชาติมาเกิดอย่างไม่ลังเลใจ จนได้ริเริ่มวิถีไร้ลักษณ์ในภพชาตินี้!
ถ้าเกิดบอกว่าไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของหลัวซิวสามารถฝึกตนสูงสุดได้ถึงแดนประมุขเต๋า เช่นนั้นหลัวซิวในภพชาตินี้ก็มีศรัทธาที่เต็มเปี่ยมว่าต้องสามารถบรรลุเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน!
เนื่องจากเขาเชื่อว่าวิถีไร้ลักษณ์ของตัวเองมีศักยภาพที่จะทำเช่นนี้ได้ ยิ่งกว่านั้นคือการบรรลุเป็นเซียนอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น!
“เจ้าผนึกรวมพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้แล้ว เช่นนั้นในด้านระดับของธรรมนั้น เจ้าก็อยู่เหนือคนส่วนมากแล้ว เนื่องจากผลการฝึกตนในปัจจุบันของเจ้ายังต่ำมาก ๆ ฉะนั้นพลังแห่งวิถีเซียนยังไม่สามารถแสดงพลานุภาพที่แข็งแกร่งออกมาได้ ทว่าจากแดนผลการฝึกตนของเจ้าที่เพิ่มขึ้น ความล้ำลึกของพลังแห่งวิถีเซียนก็จะถูกขุดคุ้ยออกมา มีศักยภาพที่น่าทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
มกุฎเต๋าหวูจี๋พูดอย่างผ่อนคลาย “มาตรแม้นว่าเป็นเจ้า ณ วินาทีนี้ เมื่ออาศัยพลังแห่งวิถีเซียนก็แทบจะเข้าใกล้ธรณีประตูของมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็แอบพยักหน้าหงึก ๆ เช่นกัน เนื่องจากก่อนที่จะผนึกรวมพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้ อย่างมากสุดศักยภาพของเขาก็แค่เทียบทัดประมาณจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ
แต่หลังจากที่ผนึกรวมพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้แล้ว ศักยภาพของเขาก็ยกระดับถึงระดับที่เทียบเท่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสูงโดยตรง เข้าใกล้มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อแล้ว!
แต่ว่าแม้นศักยภาพของเขาจะเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของทูตเพ้าดำ ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุของช่วงระยะความต่างของแดนผลการฝึกตน มาตรแม้นว่าเป็นพลังแห่งวิถีเซียน เนื่องจากถูกจำกัดโดยผลการฝึกตนของตัวเอง สุดท้ายแล้วมันก็มีข้อจำกัดอยู่ดี
ไม่มีผู้ใดเข้าใจความแข็งแกร่งของพลังแห่งวิถีเซียนดีไปมากกว่าหลัวซิวแล้ว
“หากผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เช่นนั้นเมื่ออาศัยพลังแห่งวิถีเซียน เจ้าก็มีศักยภาพที่สามารถเทียบทัดผู้สูงส่งได้อย่างสมบูรณ์เลย”มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวเช่นนี้
แดนแห่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เทียบทัดผู้ส่งสูง นี่เป็นการประเมินค่าที่น่าสยดสยองมากแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็เคยบอกแล้วว่าผลการฝึกตนบนวิถียุทธ์ยิ่งสูง ช่วงระยะความต่างก็จะยิ่งมาก
ยกตัวอย่างเช่นหลัวซิวในปัจจุบันที่มีผลการฝึกตนราชาเทพช่วงกลางแต่กลับสามารถเทียบทัดจักรพรรดิเทพขั้นสูง ซึ่งระหว่างทั้งสองแดนนี้แตกต่างกันมากกว่าสองแดนใหญ่ ทว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์และผู้สูงส่งกลับห่างกันแค่หนึ่งแดนใหญ่เท่านั้น แต่นี่ก็เท่ากับช่วงระยะความต่างของราชาเทพและจักรพรรดิเทพแล้ว
ถ้าเกิดนำผู้สูงส่งมาเปรียบเทียบกับประมุขเต๋าละก็ เช่นนั้นช่วงระยะความต่างของทั้งสองแดนนี้ก็จะแตกต่างจากมหาจักรพรรดิยุทธ์และผู้สูงส่งมากเลยล่ะ!
เมื่อปีนั้นเมิ่งเชียนชางที่อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สามารถเทียบทัดไท่ซ่างฉิงที่อยู่ในแดนผู้สูงส่ง แต่เมิ่งเชียนชางก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง อีกทั้งครอบครองอัญประมุขเต๋าด้วย
ในส่วนของไท่ซ่างฉิงเมื่อครั้นนั้น ผลการฝึกตนเป็นเพียงผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ ทั้งในมือยังไม่มีของขลังอาวุธเทพที่ทรงพลังด้วย
“ในเมื่อเจ้าผนึกรวมพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้แล้ว เช่นนั้นก็มีพลังอมตะวิชาหนึ่งที่เหมาะสมกับเจ้ามาก”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ใช้นิ้วจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่าทีหนึ่ง รัศมีเทวดวงหนึ่งจึงบินออกมาจากปลายนิ้วเขา แล้วหายเข้าไปกลางหว่างคิ้วหลัวซิว
หลัวซิวรู้อยู่ว่าอาจารย์ตนจักไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้รัศมีเทวดังกล่าวเข้าไปกลางหว่างคิ้วตนเต็มที่ ถัดจากนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีข้อมูลหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความล้ำลึกได้พรั่งพรูเข้ามาความทรงจำตัวหยั่งรู้ของตัวเอง
วิชาเซียนสิบช่อง!?
แววตาของหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมา เขานึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ตัวเองจะเป็นพลังอมตะวรยุทธ์เซียนวิชานี้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นสีหน้าอารมณ์ที่ดูตื่นเต้นดีใจของหลัวซิว มกุฎเต๋าหวูจี๋จึงอมยิ้มแล้วพูดว่า: “แม้นในยุคปัจจุบันจะไม่มีเซียน แต่ทว่าเมื่อหลายแสนล้านปีที่ผ่านมา ในห้วงดาราของเราเคยมีเซียนอุบัติขึ้นมาอยู่ จึงต้องทิ้งการถ่ายทอดสืบสานและโบราณวัตถุส่วนหนึ่งของเซียนเอาไว้อยู่แล้ว”
“ยกตัวอย่างเช่นตรามหาหัตถ์ราชาเซียนที่เจ้าร่ำเรียนได้จากแดนเซียนนอกนภา แล้วก็วิชาทะยานเซียน รวมไปถึงวิชาเซียนสิบช่องนี้ด้วย ซึ่งต่างเป็นวรยุทธ์ที่มีต้นกำเนิดตามที่กล่าวมาข้างต้น”
“หากเป็นเช่นนี้ละก็ มหันตภัยพรหมเซียนที่อาจารย์กล่าวถึงก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกันหรือขอรับ?”หลัวซิวอดถามอย่างรู้สึกสงสัยไม่ได้
มกุฎเต๋าหวูจี๋ส่ายหน้า “การถ่ายทอดสืบสานของเซียนเป็นเพียงพรหมเซียนเล็ก ๆ ยกตัวอย่างเช่นหากเจ้าได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากเซียนชั้นฟ้าองค์หนึ่ง เช่นนั้นผลสำเร็จสูงสุดของเจ้าก็จะเป็นเพียงเซียนชั้นฟ้า ซึ่งไม่มีทางฝึกถึงแดนที่สูงกว่าได้ นอกเสียจากเจ้าสามารถริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้”
“การถ่ายทอดสืบสานทุกอย่างล้วนเป็นในทำนองเดียวกัน หากได้รับการถ่ายทอดสืบสานของราชาเซียน เช่นนั้นขอแค่พรสวรรค์ของเจ้าสูงมากพอ ก็จะมีโอกาสฝึกถึงแดนราชาเซียน แต่ถ้าเกิดเจ้าต้องการฝึกถึงแดนที่อยู่เหนือราชาเซียน ยังจำเป็นต้องริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองด้วย”
“และมีเพียงริเริ่มวิถีเซียนของตัวเองได้แล้ว ถึงจะมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด……”