มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2885 คืนก่อนสงคราม

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2885 คืนก่อนสงคราม

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2885

ย่างเท้าเดินอยู่ในห้วงดารา ประมุขเต๋าเยว่เทียนมองคนที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “ปัจจุบันคือยุคอะไร?”

“ตอบกลับท่านอาวุโส หลังจากสิ้นสุดยุคไท่ชูแล้วคือยุควัฏสงสาร ปัจจุบันคือยุคมหาศักดิ์ขอรับ”ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม

“ข้าถูกปิดผนึกมานานเช่นนี้เลยหรือ?”ประมุขเต๋าเยว่เทียนขมวดคิ้วลงเล็กน้อย

“ท่านอาวุโสใจเย็นก่อนนะขอรับ เนื่องจากตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สถานภาพของสามโลกาค่อนข้างมั่นคง ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้มาช่วยเหลือท่านตลอดมา”

“ฟังจากคำพูดของเจ้า สถานภาพในปัจจุบันของสามโลกาไม่มั่นคงแล้วหรือ?”

“ใช่ขอรับ มีการปะทะและความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งมหันตภัยก็ใกล้จะปะทุแล้วขอรับ!”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ประมุขเต๋าเยว่เทียนก็พยักหน้าแล้วมองห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตรอบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง: “เราไปกันเถอะ หลังจากกลับมาคราวหน้า เกรงว่าห้วงดาราแห่งนี้คงไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว”

และในเวลานี้เอง ก็มีระรอกคลื่นลูกหนึ่งปรากฏตรงหน้าอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง สีหน้าอารมณ์ของเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงล้วนดูตึงเครียดขึ้นมา แต่ละคนราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ

เนื่องจากขณะที่พวกเขาจะเดินทางมา เจ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตักเตือนพวกเขาแล้วว่ามีโอกาสเจอศัตรูตัวฉกาจของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดที่นี่สูงมาก

มีเพียงประมุขเต๋าเยว่เทียนคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าเรียบนิ่ง แม้นนางเพิ่งจะหลุดออกจากพันธนาการ ผลการฝึกตนยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนมา ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นประมุขเต๋าคนหนึ่ง ต่อให้ผู้มาเยือนคือประมุขเต๋าที่อยู่ในสภาวะเฟื่องฟูที่สุด นางไม่ใช่คู่ต่อสู้แต่ก็มั่นใจว่าสามารถถอยกลับอย่างปลอดภัยได้แน่นอน

มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่นสีดำ ดวงตาที่ดูค่อนข้างขุ่นมัวมีความซับซ้อนปนอยู่ พลางเพ่งมองเรือนร่างที่งดงามนั่นของประมุขเต๋าเยว่เทียน

“เยว่ฮว๋า ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็หลุดจากการพันธนาการอยู่ดีสินะ……ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้”ผู้อาวุโสถอนหายใจแล้วพูด

เยว่ฮว๋าคือชื่อจริงของประมุขเต๋าเยว่เทียน ครั้นเมื่อนางยังฝึกตนไม่ถึงประมุขเต๋าขจ เยว่ฮว๋าก็คือชื่อของนาง กระทั่งต่อมาหลังจากบรรลุเป็นประมุขเต๋าแล้ว นางถึงจะได้รับราชทินนามเยว่ฮว๋า กลายเป็นหนึ่งในประมุขเต๋าสวรรค์

“เหอะ ๆ แล้วข้าควรเรียกเจ้าว่าอาจารย์? หรือเรียกชื่อเจ้าว่ามกุฎเต๋าเทียนชูดี?”

เมื่อประมุขเต๋าเยว่เทียนพ่นคำพูดดังกล่าวออกมา ความเป็นมาของผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ซึ่งเขาก็คือผู้เฒ่าเทียนชูที่ไปแดนเซียนนอกนภา และเป็นศิษย์พี่น้องกับมกุฎเต๋านอกนภานั่นเอง!

ผู้เฒ่าเทียนชูก็เป็นมกุฎเต๋าคนหนึ่งเช่นกัน!

“เยว่ฮว๋า เจ้าไม่เจียมตัวมากเกินไปแล้วนะ”มกุฎเต๋าเทียนชูขมวดคิ้วลงเล็กน้อย มีพลังอำนาจที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้แพร่กระจายออกมาจากตัวเขา

เพียงชั่วพริบตาเดียว เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งที่ยืนอยู่ด้านหลังประมุขเต๋าเยว่เทียนก็ต่างเหงื่อแตกท่วมตัว ใบหน้าขาวซีด ราวกับกำลังแบกภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูกอยู่บนหลัง กดอัดจนพวกเขาหายใจไม่ออก

“คิกคักคิกคัก……”

เมื่อเผชิญหน้ากับมกุฎเต๋าเทียนชูที่โกรธเกรี้ยว ประมุขเต๋าเยว่เทียนกลับหัวเราะคิกคัก เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในห้วงดาราที่มืดมน

“ตาแก่ เจ้ามิต้องหลอกข้าหรอก นี่เป็นเพียงร่างผันหนึ่งของเจ้าเท่านั้นแหละ นอกเสียจากร่างแท้ของเจ้ามาเยืนอด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแค่อาศัยร่างผันร่างหนึ่ง ยังสร้างภัยคุกคามอะไรให้แก่ข้าไม่ได้”

ประมุขเต๋าเยว่เทียนพูดอย่างไม่เก็บมาใส่ใจ เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของนาง เหล่าผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงก็ต่างรู้สึกโล่งอก

พวกเขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้เจอผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของสามโลกาที่นี่ หากไม่มีประมุขเต๋าเยว่เทียนอยู่ที่นี่ด้วยละก็ แม้จะเป็นร่างผันร่างหนึ่งของมกุฎเต๋า ก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งอย่างพวกเขาสามารถต่อกรได้

“เยว่ฮว๋า บัดนี้อาจารย์รู้สึกเสียใจเล็กน้อยแล้ว เมื่อปีนั้นข้าไม่ควรกดอัดเจ้า แต่ควรสังหารเจ้าต่างหาก”

มกุฎเต๋าเทียนชูถอนหายใจเฮือกยาวอีกครั้ง “เดิมทีคิดว่าเมื่อผนึกกดอัดเจ้าแล้ว จะสามารถทำให้เจ้าคิดทบทวนความผิดพลาดของตัวเองดี ๆ ไม่นึกเลยว่าหลังจากเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว ก็ยังคงทรยศอาจารย์อยู่ดี!”

“ตาแก่ ครั้นเมื่อเจ้าสังหารหลิงเฟิงด้วยฝ่ามือเดียว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเจ้าก็ทรยศข้า?”

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าประมุขเต๋าเยว่เทียนหายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือความเย็นยะเยือก รวมไปถึงความเกลียดชังที่มากล้นในแววตาที่งดงามคู่นั้น

อารมณ์รักทำให้คนคนหนึ่งเกิดความเกลียดแค้นได้ง่ายมาก ซึ่งประมุขเต๋าเยว่เทียนก็คือคนประเภทนี้นี่แหละ เมื่อหลายแสนล้านปีก่อน นางคบหาดูใจบุรุษคนหนึ่ง แม้นจะรู้อยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามคือคนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงแห่งโลกาฟ้าดินหลิงหลง นางก็ไม่มีความโกรธแค้นใด ๆ

แต่ว่าต่อมาตัวตนของหลิงเฟิงถูกเปิดโปง ซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง มกุฎเต๋าเทียนชูจึงทำการสังหารเขาด้วยน้ำมือตนเอง และเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเช่นกัน จึงมีความเกลียดแค้นที่มากล้นกำเนิดขึ้นมาในใจประมุขเต๋าเยว่เทียน

นางไม่มีวันลืมเลยว่าเมื่อปีนั้นตนขอร้องอ้อนวอนอย่างไร แต่อาจารย์คนนี้ของตัวเองกลับไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย ทำการสังหารบุรุษที่นางรักอย่างราบคาบในฝ่ามือเดียว ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก วิญญาณสูญสิ้น!

……

หลัวซิวไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวฝั่งวังดับฟ้าอีก แต่เขาที่อยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋ก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า หาเวลาว่างเดินทางไปแดนสุขาวดีหนหนึ่ง

แดนสุขาวดีดูเหมือนจะเป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคที่สอง ครั้นเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ครั้งแรกผลการฝึกตนยังค่อนข้างต่ำฌบ จึงไม่สามารถเสาะหาความลับที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด

แต่ตอนนั้นจอมเซียนหยุนเซวียนเคยบอกกับเขาว่า ภายในโลงศพเทวที่อยู่ในส่วนลึกของสถานฌาปนเป็นโลงเปล่า!

หลัวซิวเคยได้ยินจอมเซียนหยุนเซวียนบอกว่า จ้าววัฏสงสารในยุคสมัยแรกมีเล่ห์เพทุบายที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนเขากำลังฝึกวรยุทธ์บางอย่างอยู่

ตั้งแต่จ้าววัฏสงสารยุคที่สองตลอดจนยุคที่เก้าในภายหลัง ล้วนเป็นของบำรุงของเขา

แล้วเมื่อปีนั้นสาเหตุที่จอมเซียนหยุนเซวียนไล่ล่าเมิ่งเชียนชางนั้น ก็เป็นเพราะเมิ่งเชียนชางเป็นผู้สืบทอดของจ้าววัฏสงสารยุคที่เก้า นางต้องการกำจัดเมิ่งเชียนชางทิ้ง เพื่อที่จะทำให้วรยุทธ์ที่จ้าววัฏสงสารยุคแรกฝึกไม่บรรลุผล

“ที่แท้ก็เป็นโลงเปล่าจริง ๆ ด้วย”

ครั้งนี้หลัวซิวได้เข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของแดนสุขาวดี โลงศพเทวที่ลอยอยู่ในแรงเต๋าวัฏสงสารถูกเขาเปิดออก ซึ่งภายในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย

นี่จึงทำให้เขาเริ่มเชื่อคำพูดของจอมเซียนหยุนเซวียน ตั้งแต่ที่จากลากันในแดนเซียนนอกนภา เขาก็ไม่เคยพบสตรีที่มีความเป็นมาลึกลับนั่นอีกเลย

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางเติบโตหรือยัง”นึกย้อนกลับไปถึงสภาพที่ยังเป็นเด็กน้อยเจ็ดแปดขวบของแดนเซียนนอกนภา หลัวซิวก็รู้สึกน่าขำเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีแดงที่อยู่ไกลถึงโลกใต้ดินก็จามครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมึนงง

“มีคนแอบพูดลับหลังข้าหรือ?”หญิงสาวเบ้ปาก ใช้มือเท้าสะเอว ดวงตาที่งดงามคู่นั้นจ้องมองไปยังโพรงใต้ดินหนึ่งแห่ง ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วถาม: “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ออกมาใช่ไหม? ไม่นึกเลยว่าท่านจะมีนิสัยแบบเดียวกับเจ้านอกนภาและเทียนชูนั่นเลยนะ!”

ซึ่งหญิงสาวคนดังกล่าวก็คือหยุนเซวียนนั่นเอง แต่ทว่ารูปร่างลักษณะภายนอกของนางเติบโตขึ้นมาแล้วจริง ๆ กลายเป็นหญิงสาวที่งดงามดั่งเด็กอายุสิบสองสิบสามแล้ว

ส่วนผลการฝึกตนของนางก็อยู่เหนือแดนมกุฎเทพครั้นยังอยู่แดนเซียนนอกนภา ซึ่งบรรลุถึงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลางแล้ว

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ากลับไปดีกว่า ศิษย์พี่ข้ากลัวว่าหากออกไปพบเจ้า เกล็ดมังกรทั้งร่างข้าคงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ”ในส่วนลึกของโพรงใต้ดินญด มีสิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจนปัญญาสะท้อนออกมา

“เจ้าขี้งก บนตัวท่านมีเกล็ดมังกรมากมายเช่นนั้น แบ่งให้ข้าหน่อยจะเป็นกระไรไป?”หยุนเซวียนเบ้ปาก แล้วทำเสียงหึด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็ใช่ว่าศิษย์พี่ขี้งกหรอก ขอแค่ศิษย์น้องเล็กยินดียืนอยู่ฝั่งเรา อย่าว่าแต่ไม่ชิ้นสองชิ้นเลย ต่อให้เป็นสิบชิ้นร้อยชิ้น ศิษย์พี่ก็ยกให้เจ้าได้”เสียงที่อยู่ในโพรงใต้ดินสะท้อนออกมาอีกครั้ง แต่กลับไม่ปรากฏตัวสักที

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา จู่ ๆ หยุนเซวียนที่อยู่ด้านนอกกลับนิ่งเงียบไป

“เมื่อปีนั้นบรรดาศิษย์เต็มตัวของอาจารย์ พวกเราศิษย์พี่น้องทั้ง 14 คนฟังอาจารย์ธรรมกถา ทุกคนยังถือว่าสมานฉันท์กันอยู่ ทว่าตั้งแต่อาจารย์ท่านนั่งฌานละสังขารไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว……”

เสียงที่อยู่ในโพรงใต้ดินเต็มเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจและปลง “เมื่อบรรลุเป็นเซียน ศิษย์น้องเก้าและศิษย์น้องสิบสองก็จู่โจมพวกเราศิษย์พี่น้องทั้งแปด มิเช่นนั้นเราทั้งแปดจำเป็นต้องบุกเบิกโลกาดาราแล้วคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้หรือ?”

“ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์พี่ใหญ่และข้า รวมไปถึงศิษย์น้องอีกหกคนที่เหลือ เราทุกคนล้วนทำได้เพียงอยู่ในโลกาดาราที่ตัวเองบุกเบิก ไม่อาจก้าวออกไปจากโลกาดาราแม้แต่ก้าวเดียว!”

……

ชีวิตที่สงบสุขในอาณากระบี่หวูจี๋ของหลัวซิวไม่ได้ดำเนินการไปนานเท่าไหร่นัก ชนเผ่าเฉว่ซ่าและแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจร่วมมือกัน ประกาศสงครามกับเมืองต้าฮวงโบราณอย่างโจ่งแจ้ง!

ทหารผู้บัญชาการคนหนึ่งของเมืองต้าฮวงโบราณมาถึงอาณากระบี่หวูจี๋พร้อมกับคำสั่งลับ และส่งคัมภีร์สำนักฉบับหนึ่งไปถึงมือหลัวซิว

บัดนี้ตู๋กูกำลังปิดขัง เขาจึงเป็นผู้ชี้ขาดสถานการณ์ทั้งปวงของอาณากระบี่หวูจี๋

ไม่เพียงแค่ฝั่งอาณากระบี่หวูจี๋เท่านั้น คำสั่งลับของเมืองต้าฮวงโบราณก็ถูกส่งไปยังกองกำลังอื่น ๆ เช่นกัน

อีกทั้งไม่เพียงแค่เมืองต้าฮวงโบราณที่ทำเช่นนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน ก่อนศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่จะปะทุขึ้น ต่างก็พยายามดึงกองกำลังทั้งหลายในโลกร้างเข้ามาเป็นพวกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

และฝั่งอาณากระบี่หวูจี๋ไม่ได้รับคำสั่งลับจากแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าแต่อย่างใด เพราะอาณากระบี่หวูจี๋เลือกที่จะยืนข้างเมืองต้าฮวงโบราณอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน

“ให้ผู้อาวุโสทุกท่านมารวมตัวกัน”

หลัวซิวเรียกซิงเฉินมา ก่อนจะออกคำสั่งให้เขามุ่งหน้าไปยังดินแดนของอาณากระบี่ เพื่อเชิญให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวกันในวังซิวหลัว

ซิงเฉินปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่นานนัก เหล่าผู้อาวุโสก็ทยอยมาถึง

เมื่อทุกคนมาครบแล้ว หลัวซิวจึงเปิดคัมภีร์สำนักที่เมืองต้าฮวงโบราณส่งมา ให้ผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุสามารถมองเห็นเนื้อหาที่บันทึกอยู่บนคัมภีร์สำนักได้อย่างชัดเจน

“จะเปิดสงครามแล้วหรือ?”

“สงครามเริ่มขึ้นเร็วเช่นนี้เลยหรือ?”

“นะนี่……”

หลังจากอ่านคัมภีร์สำนักเสร็จเรียบร้อยแล้ว จิตใจของผู้อาวุโสแต่ละคนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ก็ตึงเครียดขึ้นมา ถึงแม้ทุกคนจะเริ่มมีการเตรียมใจตั้งแต่โลกร้างเริ่มวุ่นวายภท แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าสงครามจะมาเยือนเร็วขนาดนี้

“เจ้าสำนักน้อย ก่อนหน้านี้ครั้นเมื่อแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจทำสงครามกับเมืองต้าฮวงโบราณ อาณากระบี่หวูจี๋ของเราไม่ได้ลงมือช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย”ผู้อาวุโสไท่ซ่างตู๋กูโม่ซานพูดกระแทกเสียงต่ำ

“ผู้อาวุโสโม่ซาน หมายความว่าอยากให้อาณากระบี่ของเราเป็นกลางหรือ?”

หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ พูด: “ทว่าทันทีที่สงครามเริ่มต้นขึ้น ทั้งโลกร้างล้วนจะตกอยู่ในความวุ่นวายอันเกิดจากภัยสงคราม แม้แต่อาณากระบี่หวูจี๋ของเราก็จะคำนึงแต่ส่วนได้ส่วนเสียของตนไม่ได้”

“ในสถานการณ์เช่นนี้ เราจำเป็นต้องเลือกฝั่ง แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าต่างเคยคิดที่จะสังหารข้า ข้าคิดว่าไม่ต้องพูดทุกท่านก็น่าจะทราบแล้วนะว่าอาณากระบี่หวูจี๋ควรยืนอยู่ฝั่งใด”

“ปัจจุบันในเมื่อข้าเป็นผู้มีอำนาจตัดสินเรื่องทุกอย่างของอาณากระบี่หวูจี๋ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แหละ”

น้ำเสียงของหลัวซิวเรียบนิ่งมาก ๆ ทว่าคำพูดที่พูดออกมากลับทำให้คนฟังรู้สึกไม่อาจคัดค้านได้

นี่จึงทำให้สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างที่อยู่ในที่เกิดเหตุดูไม่ค่อยดี แต่ติดอยู่ที่ตัวตนในปัจจุบันของหลัวซิว พวกเขาจึงพูดอะไรไม่ได้เช่นกัน

หลัวซิวก็ไม่ใช่คนที่พูดจาไม่ไว้หน้าเช่นกัน อันที่จริงที่เขาทำเช่นนี้มันก็เป็นการทดสอบหยั่งเชิงด้วย ถ้าเกิดเขาตัดสินใจที่จะยืนอยู่ฝั่งเมืองต้าฮวงโบราณ แล้วมีคนลุกขึ้นมาคัดค้านเวลานี้ เช่นนั้นคนดังกล่าวก็มีโอกาสเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ถูกสอดแทรกเข้ามาในอาณากระบี่หวูจี๋สูงมาก

ตู๋กูโม่ซานไม่ทราบแต่อย่างใดว่าท่าทีที่อ่ำ ๆ อึ้ง ๆ ในเมื่อครู่นี้ของเขา ได้ทำให้จิตใจหลัวซิวเกิดความสงสัยแล้ว

แน่นอนอยู่แล้วว่านี่ก็เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น หลัวซิวไม่มีหลักฐานใด ๆ

“อ้างอิงจากเนื้อหาที่บรรยายบนคัมภีร์สำนัก อีกสิบวันภายหน้าข้าจะมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าฮวงโบราณด้วยตนเอง ส่วนฝั่งอาณากระบี่นั้น ก็ฝากให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งห้ารวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสดูแลจัดการต่อก็แล้วกัน”หลัวซิวเอ่ยปากพูด

สงครามระหว่างเมืองต้าฮวงโบราณและแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกับชนเผ่าเฉว่ซ่าในครั้งนี้ หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะนำพาทั้งอาณากระบี่หวูจี๋เข้าร่วม สาเหตุที่เขาจะเดินทางไปด้วยตนเองรอบหนึ่งนั้น อันที่จริงมันก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าอาณากระบี่หวูจี๋ยืนอยู่ฝั่งเมืองต้าฮวงโบราณ ซึ่งจำเป็นต้องมีคนเฝ้าดูแลดินแดนของอาณากระบี่ด้วย

ข้อมูลนี้ถือว่าค่อนข้างเป็นความลับเลย ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของอาณากระบี่หวูจี๋ ก็มีเพียงหลัวซิวและเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้

แต่ทว่าวันที่สองหลังจากอาณากระบี่หวูจี๋ได้รับคำสั่งลับ ข้อมูลดังกล่าวก็แพร่งพรายออกไปผ่านเส้นสายบางอย่างที่ลึกลับ

“อีกสิบวันภายหน้าหลัวซิวจะออกจากอาณากระบี่หวูจี๋แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าฮวงโบราณ!”

“นี่คือโอกาสอันดีงามเลย เพราะผู้อาวุโสไท่ซ่างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งห้าของอาณากระบี่หวูจี๋ล้วนจะคอยคุ้มกันดินแดนของอาณากระบี่ ข้างกายมันไม่มีผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มกัน!”

“ส่งคนไปเฝ้าที่นอกดินแดนอาณากระบี่หวูจี๋ ขอแค่หลัวซิวปรากฏ เมื่อนั้นก็จะเป็นวันตายของมัน!”

“……”

หลังจากได้รับข่าวคราวแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าต่างก็คันไม้คันมืออยากลงมือ เนื่องจากโลกาฟ้าดินหลิงหลงและโลกาเทพมังกรไท่ชูที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างได้ออกคำสั่งให้สังหารหลัวซิวแล้ว

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท