มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2892
ตำหนักหลักของตำหนักหลักเมือง เงียบเป็นเป่าสาก ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น!
หลายคนต่างคิดไม่ถึงว่าฮวงจวินจะปรากฏตัว และที่ยิ่งทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ มีคนสามารถเอาชนะฮวงจวินได้!
แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ฮวงจวินที่แท้จริง แต่สามารถเอาชนะฮวงจวินที่อยู่ในแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดขั้นสูงสุดได้ ก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าเจ้าหนุ่มชุดคลุมดำผู้นี้มีกำลังแฝงและพรสวรรค์ที่เหนือกว่าฮวงจวิน!
ฮวงจวินนั้นเป็นผู้แกร่งเลิศแล้ว หรือว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้จะสามารถกลายเป็นประมุขเต๋าได้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ บรรดาผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ที่พึ่งพาอาณากระบี่หวูจี๋ ที่พากันนั่งอยู่ใกล้กับหลัวซิว ภายในใจของแต่ละคนต่างก็ฮึกเหิมเป็นที่สุด
นั่นคือฮวงจวิน ซึ่งเป็นถึงผู้แกร่งเลิศเชียวนะ นายน้อยสามารถสังหารข้ามแดนได้ มันเป็นพลานุภาพอันน่าเกรงขามเพียงใด?
โจว๋ชิวตายไป ฮวงจวินไม่ได้สูญเสียเพียงศิษย์สืบทอดคนหนึ่งเท่านั้น แม้กระทั่งภาพพจน์ไร้เทียมทานที่ฮวงจวินรักษาเอาไว้มาตลอด ก็ถูกหลัวซิวเหยียบหย่ำเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า บดขยี้ให้อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี!
มองดูชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่นั่งอย่างสงบอยู่ด้านล่าง เจ้าเมืองต้าฮวงพลันมีความรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา เขาที่มีผลการฝึกตนในระดับผู้สูงส่งเป็นที่เรียบร้อย ความรู้สึกบางอย่างที่มาจากสัญชาตญาณได้บอกกับตัวเอง ในตัวของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำมีกำลังแฝงอันมหาศาลที่อยากจะจินตนาการได้!
บางทีอาจมีหลายคนที่ไม่ใส่ใจชาติก่อนของเขา เพราะแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังในชาติที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงผู้ที่ได้สิ้นชีพหลังจากบรรลุแดนผู้สูงส่งได้ไม่นานเท่านั้นเอง แม้แต่บรรดาบรรพอาจารย์ที่อยู่ในสถานบรรพบุรุษชนเผ่าฮวง ต่างก็คิดว่าต่อให้ชายหนุ่มผู้นี้มีผลสำเร็จเหนือกว่าชาติที่แล้ว อย่างมากก็คงหยุดอยู่ที่ผู้สูงส่งช่วงปลาย อยู่เพียงในแดนผู้แกร่งเลิศเท่านั้น
ไม่เป็นประมุขเต๋า สุดท้ายก็เป็นเพียงมดแมลง สำหรับบรรพอาจารย์ในสถานบรรพบุรุษเหล่านั้น อัจฉริยะที่ไม่อาจกลายเป็นประมุขเต๋าได้ จะไม่ถูกพวกเขาเห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด
ทว่าว่าวันนี้ หลัวซิวสามารถจัดการฮวงจวินที่อยู่ในแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดขั้นสูงสุดได้ภายในกระบวนท่าเดียว พูดได้ว่าเป็นการตบหน้าบรรดาพวกคนที่ดูถูกเขาได้อย่างเด็ดขาดรุนแรง
กำลังแฝงของเขา ใช่แค่ผู้แกร่งเลิศเสียที่ไหนกัน?
“สร้างวิถีเซียนขึ้นเองอย่างนั้นหรือ? ……”
ในอีกห้วงเวลาหนึ่ง บรรดาบรรพอาจารย์ที่อยู่ในส่วนลึกในสถานบรรพบุรุษชนเผ่าฮวงต่างพากันเฝ้าสังเกตสถานการณ์ทางด้านนี้อยู่ตลอดเวลา ตอนพวกเขาเห็นภาพหลัวซิวสังหาร ‘โจว๋ชิว’ นั่นเอง บรรดาบรรพอาจารย์ที่มีตำแหน่งสูงส่งลึกลับเหล่านี้ ต่างพากันลุกพรวดขึ้นด้วยความตกตะลึง!
“แม้แต่ผู้บุกเบิกยังไม่สามารถสร้างวิถีเซียนขึ้นมาเองได้!”
“รีบรายงานผู้บุกเบิกเร็วเข้า!”
“แจ้งฮวงเจิ้นเทียน ให้รั้งเจ้าหนุ่มผู้นี้เอาไว้ให้ได้!”
“……”
บรรดาบรรพอาจารย์พูดจาหารือกัน ภายในใจและบนใบหน้าของแต่ละคน ต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากมาย ซึ่งไม่อาจสงบลงได้
“เจิ้นเทียน รั้งเจ้าหนุ่มผู้นี้เอาไว้ ข้าต้องการพบเขาด้วยตนเอง!”
ตำหนักหลักตำหนักหลักเมืองของเจ้าเมืองต้าฮวง ร่างของเจ้าเมืองต้าฮวงสะท้านเบา ๆ เสียงของบรรพอาจารย์ดังขึ้นมาในสมอง
เมื่อครู่ก็เป็นบรรพอาจารย์ที่ไม่ให้เขายับยั้งฮวงจวินลงมือแย่งหอคอยดั้งเดิมกลับไป ส่วนฮวงเจิ้นเทียนก็คือชื่อของเขานั่นเอง
“เพื่อนผู้ยุทธ์หลัว……”
เจ้าเมืองต้าฮวงมองไปยังหลัวซิว ตอนที่เขากำลังกล่าวขึ้นนั่นเอง กลับเห็นหลัวซิวพลันส่ายศีรษะขึ้นมา
“ท่านเจ้าเมือง เมื่อครู่ข้าได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว เหมือนอย่างที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนฮวงได้กล่าว อาณากระบี่หวูจี๋ของข้ามียอดฝีมือไม่มากนัก คิดจะรวบรวมกำลังพลให้เพียงพอควบคุมเรือรบอสูรร้างยี่สิบลำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อะไรนะ? นี่……”
เจ้าเมือต้าฮวงชะงักไปในทันที ขณะเดียวกันความขมขื่นได้ปรากฏขึ้นมาภายในใจเป็นระลอกอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อสักครู่นั่นเอง หลัวซิวยังได้รับปากเองว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตอนนี้จู่ ๆ ก็เปลี่ยนคำพูดเสียอย่างนั้น เขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดได้อย่างไรกัน?
นี่คือตำหนักหลักของตำหนักหลักเมือง ฮวงจวินลงมือกับหลัวซิวอยู่ตรงนี้ เขาในฐานะเป็นเจ้าเมืองของที่นี่กลับไม่ได้ทำหน้าที่ที่ควรกระทำ แล้วจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ก็ดั่งเช่นที่เจ้าเมืองต้าฮวงคิดอยู่ในใจ หลัวซิวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยจริง ๆ ไม่ว่าจะด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับฮวงหวูจี๋ หรือว่าจะเป็นบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่า เขาเป็นตัวแทนของอาณากระบี่หวูจี๋สนับสนุนเมืองต้าฮวงโบราณอย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้
แต่ตอนเขาต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของฮวงจวิน เจ้าเมืองต้าฮวงกลับมองเฉยอยู่ด้านข้าง พันธมิตรเช่นนี้ ยังจะนับว่าเป็นพันธมิตรอีกหรือ?
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว ที่ข้าอยากจะพูดมิใช่เรื่องนี้”
เจ้าเมืองต้าฮวงแอบถอดถอนใจ เขากล่าวกับหลัวซิวผ่านทางตัวสำนึก “บรรพอาจารย์เผ่าฮวงของเราต้องการพบเจ้า”
“ต้องขอโทษท่านเจ้าเมืองด้วย ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลา” สีหน้าท่าทางของหลัวซิวเย็นชามาก เขาปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
สีหน้าของเจ้าเมืองต้าฮวงดูแย่มาก แต่เขาเองก็รู้ว่าหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ท่าทีของเขาอาจสู้หลัวซิวไม่ได้ด้วยซ้ำ
“หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าก็จะไม่รบกวนการประชุมหารือของท่านเจ้าเมืองแล้ว อาณากระบี่ยังมีเรื่องต้องไปจัดการ ข้าน้อยขอตัว”
หลัวซิวลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยท่าทีในเมื่อสักครู่ของเจ้าเมืองต้าฮวง อย่างว่าแต่ช่วยอย่างเต็มที่เลย แม้แต่เล็กน้อยเขาก็จะไม่ช่วย!
พวกเจ้าเมืองต้าฮวงโบราณยังไม่ใส่ใจความเป็นตายของข้าเลยสักนิด แล้วความอยู่รอดของเมืองต้าฮวงโบราณของพวกเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า?
“เจ้าบังอาจนัก!”
สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเจ้าเมืองต้าฮวงพลันลุกพรวดขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็น
สตรีวัยกลางคนนางนี้มาจากสถานบรรพบุรุษของชนเผ้าฮวง และก็เป็นผู้สูงส่งคนหนึ่ง ได้มาจากสถานบรรพบุรุษโดยเฉพาะ เพื่อให้การช่วยเหลือเจ้าเมืองต้าฮวง
รัศมีพลังของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งได้ล็อกหลัวซิวเอาไว้แน่น ทำให้เขารู้สึกว่าปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ ถูกบีบอัดเข้ามาไม่หยุด ทำให้เขาขยับร่างกายไม่ได้เลยสักนิด
หลัวซิวหันหน้ากลับไปอย่างเฉยเมย มองผู้บำเพ็ญเซียนหญิงนางนั้นด้วยสายตาเย็นชา “หรือว่าเมืองต้าฮวงโบราณก็อยากทำศึกกับอาณากระบี่หวูจี๋ของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา!
“น่าขันสิ้นดี! คนรุ่นหลังอย่างเจ้า สามารถเป็นตัวแทนของอาณากระบี่หวูจี๋ได้หรือ?” หญิงวัยกลางคนส่งเสียงเย้ยหยัน “ที่นี่ใช่ที่ที่เจ้าบอกจะมาก็มา บอกจะไปก็ไปเช่นนั้นหรือ?”
อยู่แต่ในสถานบรรพบุรุษมาเป็นเวลานาน แม้ว่าหญิงวัยกลางคนจะเป็นผู้สูงส่ง แต่กลับไม่รู้เลยว่าอะไรคือพิจารณาแต่พอควร อีกทั้งคำพูดที่พูดออกมากับการกระทำนั้นล้วนแล้วแต่แสดงอำนาจ ทำให้บรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ ล้วนพากันขมวดคิ้ว
หากเมืองต้าฮวงโบราณหาพันธมิตรด้วยวิธีเช่นนี้ แล้วใครยังจะยอมเป็นพันธมิตรกับเจ้าอีกเล่า?
เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าใครต่างก็ดูออกว่าเรื่องในเมื่อสักครู่ เป็นทางเมืองต้าฮวงโบราณที่ทำไม่ถูกต้อง!
“ใครบอกว่าเขาเป็นตัวแทนของอาณากระบี่หวูจี๋ไม่ได้?”
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังลอยมาจากด้านนอกประตูใหญ่ของตำหนักหลัก
“ข้าพูดเอง!”
สตรีวัยกลางคนกล่าวขึ้นมาแทบในทันที
“เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน?”
เสียงเย้ยหยันพลันดังลอยมา จากนั้นนิ้วมือนิ้วหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนดั่งกระบี่ก็ได้ปรากฏขึ้น และพุ่งตรงเข้าไปหาหลัวซิว
พวกเจ้าเมืองต้าฮวงยังไม่ทันรู้สึกตัวยื่นมือเข้าช่วย ดัชนีกระบี่ก็ได้มาถึงเสียแล้ว
“ปัง!”
สตรีวัยกลางคนแทบจะไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน นางถูกกระแทกเลยออกไปในทันที ร่างกระทบเข้ากับผนังอย่างแรง เลือดสดไหลออกมาที่มุมปาก
โชคดีที่ตำหนักหลักของตำหนักเจ้าเมืองมีลายค่ายของค่ายกลระดับผู้สูงส่งปลุกเสกเบิกเนตร มิเช่นนั้นการจู่โจมในเมื่อสักครู่ คงทำให้ตำหนักหลักพังทลายลง
สายตามากมายต่างจับจ้องมองไป พบเพียงว่าที่บริเวณประตูใหญ่ของตำหนักหลัก มีเงาร่างสายหนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
นี่คือบุรุษที่ยังมีรูปร่างหน้าตาเป็นหนุ่มอยู่ ผมสีดำขลับพัดปลิวสยาย สวมในชุดคุมยาวสีเขียว แขนซ้ายไขว้หลัง สายตาคมกริบดุจกระบี่ กวาดมองบรรดาผู้สูงส่งที่มีเจ้าเมืองต้าฮวงเป็นผู้นำ
“เจ้าเป็นใครกัน!”
เจ้าเมืองต้าฮวงรวมทั้งเจ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนฮวงและผู้สูงส่งทั้งห้าต่างพากันลุกยืนขึ้น พร้อมปลดปล่อยกระแสพลัง กงล้อเทพสิบวงลอยปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลังของทุกคน ส่งแสงเจิดจ้าเฉกเช่นดวงตะวันที่ลอยอยู่บนฟ้า กระแสพลังยิ่งใหญ่มหาศาล
“นามข้า ตู๋กู!” บุรุษชุดเขียวกล่าวขึ้นอย่างเรียบ ๆ
“ประมุขอาณากระบี่!”
พอได้ยินชื่อนี้ หลายคนต่างพากันหวั่นเกรง
ประมุขแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ลึกลับแต่ไหนแต่ไรมา น้อยมากที่จะลงมือ แต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าแดนแห่งอาณากระบี่ผู้นี้ เป็นผู้สูงส่งผู้หนึ่ง!
และยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถเอาชนะผู้สูงส่งคนอื่นได้อย่างง่ายดายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“ศิษย์พี่!?”
หลัวซิวมองเห็นตู๋กู ก็ต้องชะงักอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นความปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
มีศิษย์พี่อยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว
“ศิษย์น้องเจ้าทำได้ดีมาก”
ตู๋กูยิ้มเล็กน้อย ยกมือขึ้นโบก กระแสพลังที่ควบคุมหลัวซิวเอาไว้ถูกทำลายไป จากนั้นหลัวซิวก็ได้รับอิสระอีกครั้ง เขากระโดดลอยตัวขึ้น และได้มาถึงด้านหลังของตู๋กู
ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนที่พึ่งพาอาศัยอาณากระบี่หวูจี๋ต่างพากันลุกขึ้น แล้วมายืนที่ด้านหลังของตู๋กูกับหลัวซิว
นี่คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของสำนักตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของตน เดินหน้าถอยหลังด้วยกันกับอาณากระบี่หวูจี๋ เผชิญชะตากรรมร่วมกัน!
อาณากระบี่หวูจี๋ได้ดำเนินมาภายใต้การบริหารจัดการของตู๋กูเป็นเวลาหลายปี สำหรับความจงรักภักดีของกองกำลังที่อยู่ใต้บังคับบัญชาย่อมจะไม่เกิดความผิดพลาดใด ๆ อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
ได้ฟังคำชื่นชมที่ตู๋กูมีต่อตนเอง รอยยิ้มอันขมขื่นได้ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของเขา เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ได้รับรู้ผ่านวิธีการบางอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากรู้แต่แรกว่าศิษย์พี่จะมาหนุนหลังให้ตนเอง เขาเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองต้าฮวงและพวกผู้สูงส่งในเมื่อสักครู่ คงจะมีท่าทางหยาบกร้านและโอหังยิ่งกว่านี้กระมัง?
“ผู้เพื่อนยุทธ์ตู๋กู”
เจ้าเมืองต้าฮวงประสานมือคารวะ เขาพบว่าตนเองไม่สามารถรับรู้ถึงระดับผลการฝึกตนของประมุขอาณากระบี่ได้ ภายในใจนั้นหวั่นเกรงยิ่งนัก
ทว่าสำหรับความเกรงอกเกรงใจของเจ้าเมืองต้าฮวง ตู๋กูกลับมิได้รับน้ำใจ กล่าวอย่างเย้ยหยัน: “ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าชนเผ่าฮวงของพวกท่านคิดอะไรอยู่ แต่พวกท่านไม่ควรใช้เล่ห์กลกับศิษย์น้องของข้า เรื่องนี้จะมีคนมาเรียกร้องคำอธิบายกับพวกท่านชาวชนเผ่าฮวงอย่างแน่นอน”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ตู๋กูก็คร้านจะไปสนใจพวกเจ้าเมืองต้าฮวง เขาตบไหล่หลัวซิวเบา ๆ ยิ้มกล่าว: “ศิษย์น้อง พวกเราไปกัน”
ตู๋กูกับหลัวซิวเดินมุ่งหน้าออกไปนอกตำหนัก จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนเดินตามมาด้านหลัง
“เจิ้นเทียน ขวางพวกเขาเอาไว้!”
สตรีวัยกลางคนที่ถูกตู๋กูซัดลอยออกไปคนนั้นตวาดขึ้นมาอย่างเข้มงวด “พวกเรามีกันหกคน คนเขามีแค่คนเดียว!”
“เจ้าหุบปากไปเสีย!”
ฮวงเจิ้นเทียนตะคอกขึ้นมาด้วยความโมโห ภายในใจก็แอบด่าสตรีนางนี่ว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ชนเผ่าฮวงเกือบถูกนางทำให้ขายหน้าหมดแล้ว
ในตอนที่ตู๋กูพาหลัวซิวออกมาจากตำหนักหลักของตำหนักเจ้าเมืองต้าฮวงนั่นเอง มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ได้มาถึงสถานบรรพบุรุษชนเผ่าฮวงที่อยู่อีกห้วงเวลาหนึ่ง
สถานบรรพบุรุษของชนเผ่าฮวงไม่เคยมีผู้ใดที่รู้มาก่อน ว่าเป็นโลกเล็ก ๆ ที่บรรพจารย์ฮวงได้สร้างขึ้นโดยเฉพาะในตอนที่บุกเบิกโลกร้าง เป็นโลกที่คล้ายกันกับพสุดารานอกนภาโลกาอนัตตาอู๋จี๋
สถานบรรพบุรุษ ถึงเป็นรากฐานของชนเผ่าฮวง ในกาลเวลานานแสนนานที่ผ่านมา ต่อให้เป็นคนชนเผ่าฮวง ก็มีเพียงคนที่ฝึกฝนจนถึงแดนผู้สูงส่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ก้าวเข้าสู่สถานบรรพบุรุษ
“ตาเฒ่าฮวง เจ้าไสหัวออกมาอธิบายกับข้า!”
มกุฎเต๋าหวูจี๋เหมือนกับเข้ามาในสถานที่ไร้ซึ่งผู้คน เขาประทับลงไปบนวิหารบรรพจารย์โดยตรง ส่วนบรรดาบรรพอาจารย์ที่ถูกผู้คนให้ความเคารพนับถือเหมือนดั่งเทพเซียนพวกนั้น เวลานี้ต่างพากันหมอบกราบอยู่ต่อหน้าเขาด้วยความเคารพ ไม่กล้าก่อความวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย
ประมุขเต๋า มกุฎเต๋า แตกต่างแค่คำเดียว แต่ห่างกันราวฟ้ากับดิน บรรพอาจารย์พวกนี้ของสถานบรรพบุรุษ แต่ละคนต่างเป็นประมุขเต๋า แต่พวกเขาทุกคนร่วมมือกัน ก็ไม่พอให้ฝ่ามือข้างเดียวของมกุฎเต๋าหวูจี๋ซัด