มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2893
การฝึกตนของวิถียุทธ์นั้นเป็นเหมือนดั่งการเดินในเส้นทางวิวัฒนาการของชีวิต จากอสูรจิตแสนธรรมดาได้กลายเป็นอสูรจิตเทพมาร และยิ่งผลการฝึกตนเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ได้รับพลังอันแข็งแกร่ง อายุขัยก็จะยาวนานขึ้นตามเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ส่วนมากต่างไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของยุคแห่งความโกลาหลได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่ง เอาชีวิตรอดได้ในยุคแห่งความโกลาหลก็นับว่าถึงขีดสุดแล้ว
แต่ถ้าหากก้าวเข้าสู่แดนประมุขเต๋า กฎเกณฑ์ด้านอายุขัยก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว เพราะผู้แข็งแกร่งแดนประมุขเต๋าขึ้นไป ได้รับชีวิตที่แทบจะพูดได้ว่าเป็นอมตะแล้ว
แน่นอน ผู้แข็งแกร่งแดนประมุขเต๋าก็สามารถถูกฆ่าตายได้เหมือนกัน!
ดาราจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล แบ่งออกเป็นสามพื้นโลกใหญ่ ในสมัยต้าเหยียนที่เก่าแก่ยิ่งกว่าไท่ชู เคยเกิดเหตุการณ์มหาทัณฑ์ปะทุหนึ่งครั้ง หนึ่งในสามพื้นโลกเกือบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะสงครามอันเหี้ยมโหดทารุณ สิ่งมีชีวิตสูญพันธ์ุ ถูกทำลายจากหายนะที่ไม่อาจจินตนาการ
ส่วนพื้นโลกที่ถูกทำลายแห่งนั้น ก็คือโลกมหาศักดิ์แปดด้านในตอนนี้
ในบรรดาบรรพอาจารย์ชนเผ่าฮวงที่หมอบกราบอยู่ด้านหน้ามกุฎเต๋าหวูจี๋ มีคนที่อยู่รอดมาจากสมัยต้าเหยียนรวมอยู่ด้วย และก็เพราะมีชีวิตอยู่มานาน จึงยิ่งทำให้พวกเขารู้ถึงความเก่งกาจและน่ากลัวของมกุฎเต๋า
มกุฎเต๋าหวูจี๋ไม่ได้สนใจบรรพอาจารย์ชนเผ่าฮวงพวกนี้ เพราะจากระดับของเขาแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับเขาได้เลย
เขามาที่สถานบรรพบุรุษของชนเผ่าฮวง เพื่อต้องการพบผู้บุกเบิกชนเผ่าฮวงของพวกเขา นั่นก็คือบรรพจารย์ฮวง!
ก็แค่บรรพจารย์ฮวงที่เป็นหนึ่งในแปดบรรพโบราณที่ผู้คนเคารพนับถือดั่งเทพเซียนเท่านั้นเอง แต่เมื่ออยู่ในปากของมกุฎเต๋าหวูจี๋ในเวลานี้ เหมือนว่าได้กลายเป็นตาแก่คนหนึ่ง
“หวูจี๋? เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงของคนที่ผ่านโลกมานานเสียงหนึ่งดังลอยออกมาจากส่วนลึกของวิหารบรรพจารย์ จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ชายชราร่างเตี้ย ดูซูบผอมผู้หนึ่งเดินออกมาจากวิหารบรรพจารย์
ตาเฒ่าร่างเล็กที่ดูไม่สะดุดตาผู้นี้ ก็คือหนึ่งในบรรพโบราณในตำนาน บรรพจารย์ฮวงนั่นเอง!
“มาคิดบัญชีกับเจ้าอย่างไรเล่า!” มกุฎเต๋าหวูจี๋ไม่เกรงใจเลยสักนิด ยกมือขึ้นโบก ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักหลักของตำหนักเจ้าเมืองต้าฮวง ก็ได้ปรากฏขึ้น
ตัวเอกในภาพเหตุการณ์นี้ก็คือหลัวซิว และเรื่องที่เกิดขึ้น ก็คือภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาถูกฮวงจวินบีบบังคับ จากนั้นยังถูกผู้สูงส่งชนเผ่าฮวงลงมือรั้งเขาเอาไว้นั่นเอง
“หอคอยฮวงเลือกผู้ครอบครั้งอีกครั้งแล้วหรือ?”
สีหน้าของบรรพจารย์ฮวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในขณะที่ตกตะลึงนั้น ในดวงตาแก่ชราที่พร่ามัวยังมีแววปีติยินดีเล็ดลอดออกมา
ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา หอคอยฮวงได้จุติขึ้นท่ามกลางธรรมดั้งเดิม และก็เพราะเขาได้ครอบครองหอคอยฮวง ถึงได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของการกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาในอนาคตจะฝึกฝนธรรมเวชกาลร้างจนบรรลุขีดสุดอย่างแดนบริบูรณ์ จากนั้นก้าวไปอีกขั้น สืบเสาะสู่แดนวิถีเซียนอันเลิศล้ำไร้เทียมทาน
แต่น่าเสียดาย ทั้งหมดนี้กลับถูกทำลายลงเหมือนดั่งภาพลวงตา ตอนที่บาดเจ็บหนักเจียนตาย เขาจึงจำเป็นต้องใช้ร่างแปรเป็นเต๋า กลายเป็นห้วงดาราโลกร้างในวันนี้
หลังจากได้แปรร่างห้วงดารา เขาถึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แถมผลการฝึกตนยังรุดหน้าไปอีกก้าว จากประมุขเต๋าช่วงปลาย ก้าวเข้าสู่แดนมกุฎเต๋า
แต่ทว่า ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เขาสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะรุดหน้าอีกขั้นไป ไม่ใช่แค่แดนยุทธ์ของตัวเขาเองเท่านั้น แม้กระทั่งร่างแท้ของเขายังไม่อาจไปจากห้วงดาราของโลกหวงได้ตลอดไป
มิได้แตกต่างไปจากเขา บรรพโบราณทั้งเจ็ดท่านของโลกมหาศักดิ์อีกเจ็ดด้าน ต่างก็เผชิญหน้ากับความยากลำบากและความกลัดกลุ้มแบบเดียวกัน
ไร้วาสนากับวิถีเซียน หอคอยฮวงอยู่ในมือของเขาก็ได้แต่ถูกฝุ่นเกาะแล้ว ด้วยเหตุนี้บรรพจารย์ฮวงเลยไม่ครอบครองหอคอยฮวงอีกต่อไป แต่ให้คนที่มีผลการฝึกตนสูงสุดในโลกฮวง ใครแข็งแกร่งสุด ใครก็สามารถครอบครองหอคอยฮวง แต่จะเป็นเจ้านายของหอคอยฮวงได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูที่วาสนาของคนผู้นั้นแล้ว
กาลเวลาอันแสนนานได้ผ่านเลยไป หอคอยฮวงกลับไม่ได้เลือกผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง แม้ว่ามันจะผ่านมือของผู้แข็งแกร่งรุ่นแล้วรุ่นเล่า มีทั้งผู้แกร่งเลิศและยังมีมกุฎเต๋า แต่คนพวกนั้นล้วนไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากหอคอยฮวง
เมื่อบรรพจารย์ฮวงได้รับรู้ว่าในที่สุดหอคอยฮวงก็เลือกผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง เขาตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เพราะนี่หมายความว่าหอคอยฮวงที่ที่ถูกฝุ่นเกาะมาเป็นเวลานานแสนนาน ในที่สุดก็กำลังจะแสดงอานุภาพอันสุดยอดของมันออกมาอีกครั้งแล้ว!
“บุรุษหนุ่มผู้นั้นคือ……” บรรพจารย์ฮวงขมวดคิ้ว มกุฎเต๋าหวูจี๋ด้วยความสงสัย
“ลูกศิษย์ของข้าเอง!”
แม้ว่าจะได้คาดเดาอยู่ในใจแล้ว แต่ตอนที่เขาได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ยังคงมีท่าทางเคียดแค้นชิงชังปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของบรรพจารย์ฮวงเล็กน้อย
“หวูจี๋! ทำไมเจ้าถึงหน้าด้านเช่นนี้? เจ้ารับลูกศิษย์กี่คนแล้ว? ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องยกลูกศิษ์คนนี้ให้ข้า!”
ใบหน้าของบรรพจารย์ฮวงพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาถึงกับกลายเป็นสีแดงก่ำ เฉกเช่นผีพนันที่ชั่วช้าสามานย์ ที่ใกล้จะบ้าคลั่ง
“หอคอยฮวงยอมรับให้เขาเป็นผู้ครอบครอง นั่นอธิบายได้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เหมาะที่จะฝึกธรรมเวชกาลร้าง หากพูดถึงการสัมผัสรู้ธรรมเวชกาลร้าง บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดเทียบกับข้าได้เลย”
บรรพจารย์ฮวงถลึงดวงตา กล่าว: “หากมอบให้ข้าเป็นคนสั่งสอน มีความหวังมากว่าจะกลายเซียนได้ในอนาคต!”
มกุฎเต๋าหวูจี๋เองก็งงงันเล็กน้อย แต่พอคิดดูดี ๆ มันก็ไม่แปลกที่บรรพจารย์ฮวงจะตื่นเต้นดีใจเช่นนี้
อย่างไรเสียเนื่องจากในปีนั้น บรรพจารย์ฮวงได้สูญเสียความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จวิถีเซียนแท้ไป แม้มันจะผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว บรรพจารย์ฮวงก็ยังคงไม่อาจลืมเลือนมันไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะหาผู้มาสืบทอด และเดินตามเส้นทางที่เขาเดินไปไม่สุดให้สำเร็จได้!
“ตาเฒ่าคนนี้นี่ ข้ายังไม่ทันคิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้าเล่า กลับคิดจะแย่งลูกศิษย์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
มกุฎเต๋าหวูจี๋หลุดหัวเราะออกมา “ต่อให้ข้ายอมยกลูกศิษย์คนนี้ให้เจ้า แล้วเจ้าสั่งสอนเขาได้หรือ?”
“น่าขันสิ้นดี! เจ้าหนุ่มคนนั้นมีผลการฝึกตนยังไม่ถึงจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด ข้าผู้อยู่ในแดนมกุฎเต๋า ยังจะสอนเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
บรรพจารย์ฮวงโกรธจนลมออกหู แต่ไม่นานใบหน้าแก่เหี่ยวย่นของเขาก็ได้ฉีกรอยยิ้มประจบสอพลอออกมา “หวูจี๋ ขอแค่เจ้ายอมยกลูกศิษย์คนนี้ให้ข้า เจ้าเสนอข้อเรียกร้องมาได้ทุกอย่างเลย!”
ตอนที่พูดคำพูดนี้นั้น บรรพจารย์ฮวงได้ทำใจพร้อมที่จะหลั่งเลือดแล้ว
“อย่าเพิ่งรีบร้อนพูดจากเต็มปากเช่นนั้น” มกุฎเต๋าหวูจี๋ยิ้มส่ายศีรษะ ชี้ไปยังภาพเหตุการณ์ที่ยังปรากฏอยู่
ในภาพฮวงจวินกำลังจะลงมือแย่งชิงหอคอยฮวงดั้งเดิม ตอนที่แสงเซียนพุ่งออกมาจากรอบกายของหลัวซิว สีหน้าท่าทางบนใบหน้าของบรรพจารย์ฮวง พลันชะงักลงทันที
“นี่……นี่คือ……” บรรพจารย์ฮวงเบิกตากลมโต รูม่านตาขยายกว้าง แม้แต่ลมหายใจยังกระชั้นชิดขึ้น
“ถูกต้อง เข้าได้สร้างวิถีเซียน ดังนั้นข้าถึงบอกว่าท่านสอนเขาไม่ได้ ไม่ใช่แค่ท่าน แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถสอนเขาได้ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่คำว่าศิษย์อาจารย์ก็เป็นเพียงสถานะเท่านั้น ข้าไม่ได้สอนอะไรให้เขาเลย”
มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม สำหรับหลัวซิวลูกศิทย์คนนี้ เขาประทับใจเป็นอย่างมาก กระทั่งที่ว่าลูกศิษย์ซึ่งอายุน้อยที่สุดคนนี้ โดดเด่นยิ่งกว่าศิษย์ใหญ่เซียวจ้านผู้มีภูตเซียนโดยกำเนิดของเขาคนนั้นอีกด้วยซ้ำ
แต่มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวเช่นถือว่าถ่อมตัวเกินไปแล้ว เมื่อชาติที่แล้ว หากไม่มีร่างผันที่ถูกผนึกไว้ในหุบเขาผนึกปีศาจของเขาชักนำ ก็อาจไม่มีความสำเร็จอย่างไท่ซ่างฉิง
และในชาตินี้ หากไม่มีวรยุทธ์เคล็ดเซียนแปรเก้าที่เขาถ่ายทอดให้ ก็ไม่แน่ว่าหลัวซิวจะสามารถบุกเบิกวิถีเซียนของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
สามารถพูดได้ว่าที่หลัวซิวมีความสำเร็จและกำลังแฝงอย่างในวันนี้ได้ ในนั้นมกุฎเต๋าหวูจี๋มีบทบาทที่สำคัญมาก
“ฮ่าฮ่า เยี่ยม! เยี่ยมมาก! ……ฮ่าฮ่า!”
หลังจากร่างกายได้สั่นสะท้านอยู่หลายครั้งเพราะความตื่นเต้นดีใจ จู่ ๆ บรรพจารย์ฮวงก็แหงนหน้าหัวเราะ ผมชายสีขาวเทาปลิวสะบัดอยู่หลังศีรษะ
เสียงหัวมเราของเขาสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ห้วงเวลาทั่วทั้งสถานบรรพบุรุษสั่นคลอนขึ้นมา เกิดเป็นระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
ตอนที่บรรพจารย์ฮวงกับหวูจี๋มกุฎเต๋าทั้งสองสนทนากันอยู่นั้น บรรดาประมุขเต๋าของชนเผ่าฮวงต่างหมอบกราบอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า กระทั่งที่ว่ามกุฎเต๋าทั้งสองได้คุยอะไรกันนั้น ก็ยังไม่รู้เลย ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นของผู้บุกเบิกของพวกตน
หัวเราะอยู่แสนนาน บรรพจารย์ฮวงถึงได้หยุดลง มองไปยังมกุฎเต๋าหวูจี๋อีกครั้งกล่าว: “ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ข้าค่อนข้างเลื่อมใสเจ้าจริง ๆ!”
มกุฎเต๋าหวูจี๋ยิ้มไม่พูดอะไร เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าทำไมบรรพจารย์ฮวงถึงเลื่อมใสตนเอง เพราะในโลกมหาศักดิ์แปดด้านมีอัจฉริยะวิถีเซียนอยู่เพียงสองคน ซึ่งต่างก็เป็นลูกศิษย์ของหวูจี๋
บางคนมีกำลังแฝงมหาศาล แม้จะเรียกว่าอัจฉริยะวิถีเซียนได้เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่สามารถบุกเบิกวิถีเซียนได้แล้วนั้น ไม่รู้ว่ายังด้อยกว่าอีกมากเพียงใด
ซึ่งหมายความว่าขอเพียงฝึกฝนพวกเขาให้ก้าวหน้าได้ พวกเขาก็จะสามารถฝึกตนจนถึงแดนประมุขเต๋ามกุฎเต๋าได้อย่างง่ายดาย!
สำหรับการกลายเซียน ก็ไม่ได้ง่ายเช่นนี้แล้ว เพราะการกลายเซียนนั้นไม่ได้ต้องการเพียงพรสวรรค์ แถมยังต้องการวาสนาที่มีต่อพรหมเซียนด้วย!
บรรพจารย์ฮวงไม่พูดถึงเรื่องรับศิษย์อีก สายตาของเขาจับจ้องมกุฎเต๋าหวูจี๋ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าจะไม่ขัดขวางการได้กลายเป็นผู้ครอบครองหอคอยฮวงที่แท้จริงของเจ้าได้ และยังสามารถเอาสมบัติวิเศษบางอย่างออกมา ขอเพียงลูกศิษย์คนนี้ของเจ้าช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่ง!”
“พูดกับคนฉลาดนี่ช่างได้ใจจริง ๆ ตกลงตามนั้น!”
มกุฎเต๋าหวูจี๋หัวเราะขึ้นมา เขารู้ว่าได้บรรลุจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่แล้ว เขายังทราบได้โดยไม่ต้องถามว่าบรรพจารย์ฮวงต้องการให้หลัวซิวช่วยเรื่องอะไร
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับมกุฎเต๋า แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว มันกลับง่ายมาก กระทั่งที่พูดได้ว่าง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมกุฎเต๋าหวูจี๋ต้องมาด้วยตนเอง นั่นก็เพราะว่าหลัวซิวสามารถควบคุมหอคอยฮวงอย่างราบรื่นได้ เพราะในห้วงดาราของโลกร้างแห่งนี้ หากตาเฒ่าบรรพจารย์ฮวงคนนี้ไม่พยักหน้า ก็ไม่มีผู้ใดสามารถนำหอคอยฮวงออกไปได้
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังได้รับสมบัติวิเศษที่เขาต้องการจากบรรพจารย์ฮวงอีกด้วย
……
“ศิษย์พี่ พวกเราจะไปที่ไหนหรือ?”
หลังออกมาจากเมืองต้าฮวงโบราณ หลัวซิวได้ติดตามตู๋กูมาตลอด แต่เขากลับพบว่าเส้นทางที่ตู๋กูพาเขาเดินนั้น เหมือนว่าไม่ใช่ทางกลับอาณากระบี่หวูจี๋
จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดสองร้อยกว่าคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิวก็สงสัยเหมือนกัน เจ้าอาณากระบี่กำลังจะพาพวกเขาไปที่ใดกัน?
“ไปเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของเจ้ากลับมา” ตู๋กูสองมือไขว้หลัง แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
รอยยิ้มนี้ บรรดาจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดงงงันยิ่งกว่าเดิม ทว่าหลัวซิวกลับหดรูม่านตาลง เหมือนจะเดาอะไรได้แล้ว
เพราะเส้นทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปในตอนนี้ เหมือนว่าจะเป็นทิศทางของสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์!
ในขณะเดียวกัน ในสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้ รัศมีพลังของฮวงจวินแพร่กระจายไปทั่ว ลูกศิษย์ทั่วทั้งสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ต่างสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาล
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ทุกตระกูลสำนักที่พึ่งพิงสำนักศักดิ์สิทธิ์ นักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนตั้งแต่ราชาเทพวัฏจักรห้าขึ้นไป ให้มารวมตัว!”
เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจของฮวงจวินลอยก้องอยู่ในอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์ จ้าวศักดิ์สิทธิ์อัมพรเทวกับผู้อาวุโสระดับสูงมากมายต่างสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างตกตะลึง จากนั้นคำสั่งของบรรพอาจารย์ก็ถูกถ่ายทอดออกไปอย่างรวดเร็ว