มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2905
“มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายหรือ?”
เมื่อหลัวซิวมองเห็นมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอที่โจมตีมาทางตัวเอง รูม่านตาจึงหดลงกะทันหัน
ถึงแม้ผลการฝึกตนจะอยู่ในแดนเดียวกัน ทว่ากำลังรบก็แตกต่างกันเยอะมาก ๆ เหมือนอย่างเช่นมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอคนนี้ที่มีผลการฝึกตนเหมือนจ้าวปีศาจเทียนหยางและจ้าวปีศาจเสวียนหยิน แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่าเขาอันตรายกว่าจ้าวปีศาจทั้งสองแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจมาก
ดวงแสงดาบสีทองเฉือนสับเข้ามา อนัตตาจึงถูกทำลายล้างไปอย่างง่ายดาย ซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษของธาตุทองที่เป็นทำนองเดียวกันกับพลังแห่งเวหาแฝงซ่อนอยู่ภายใน แข็งแรงมากจนไม่อาจมลาย!
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด แต่เป็นการตะคอกเสียงดังลั่น ใช้พลังแห่งหอคอยฮวงปลุกเสกร่างตน ทำให้เขาที่มีกำลังรบเทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นปฐมภูมิในตอนแรก พุ่งขึ้นมาถึงระดับที่เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายภายในพริบตา
“ตู้ม!”
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ดวงแสงดาบจึงแตกสลายอยู่กลางท้องฟ้า ส่วนร่างกายของหลัวซิวกลับยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ สูงตระหง่านแข็งแกร่งไม่สั่นคลอน
“พลังแห่งหอคอยฮวงหรือ? สมกับเป็นของล้ำค่าที่กำเนิดในธรรมดั้งเดิมเสียจริง แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่พลังของตัวเจ้าเอง”
มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ร่างกายของเขาผันเป็นแสงทองดวงหนึ่ง ความเร็วในการเคลื่อนที่รวดเร็วอย่างยิ่ง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่รุมโจมตีหลัวซิวในตอนแรกก็ต่างพากันหลบเลี่ยง
“ร่างวัชรยักษ์!”
ร่างกายของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอกลายเป็นแสงสีทองที่แวววาวจับตา ราวกับอาวุธร่างมนุษย์ที่ดุดันชิ้นหนึ่ง พุ่งโจมตีสังหารเข้าไปทางหลัวซิว
เห็นได้ชัดเจนมากว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอคนนี้ก็ฝึกวรยุทธ์กลั่นร่างเช่นกัน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในแดนเดียวกันแต่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์กลั่นร่างมาก ๆ
เตาอลวนหวูจี๋ลอยอยู่เหนือศีรษะหลัวซิว พลังแห่งหอคอยฮวงวนเวียนอยู่รอบกาย หลัวซิวก็ยังไม่มีท่าทีที่จะหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อยอยู่เช่นเคย
เนื่องจากเขาอยากรู้มาก ๆ ว่าผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายจะแข็งแกร่งถึงขั้นใดกันแน่
“ตู้มม!”
การพุ่งชนในครั้งนี้ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอใช้ร่างวัชรยักษ์ปลุกเสกร่างแล้วประชิตใกล้เข้ามา ส่วนหลัวซิวก็พุ่งสังหารเข้าไปเช่นกัน ไม่มีความหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“ตู้มม!”
ร่างวัชรยักษ์และเตาอลวนหวูจี๋พุ่งชนเข้าด้วยกัน สีหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเปลี่ยนไปกะทันหัน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามีอานุภาพที่ทรงพลังและเกะกะระรานอย่างยิ่งกำลังม้วนซัดเข้ามา ทำให้ร่างกายของเขาถึงขั้นถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว!
และ ณ เสี้ยววินาทีที่มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอถอยหลังกลับ ก็มีแสงเซียนวนเวียนอยู่กลางฝ่ามือหลัวซิว ก่อนที่เขาจะง้างมือปล่อยตรามหาหัตถ์ราชาเซียนออกไป
เงาร่างของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอกระพริบ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพลังอมตะที่เขาใช้คือวิชาล่องหนวิชาหนึ่งที่ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง ห้วงเวลาที่อยู่รอบ ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตรามหาหัตถ์ราชาเซียนของหลัวซิวโจมตีไม่เป็นผล
“สมกับเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายขั้นสุดยอดจริง ๆ อุบายที่ใช้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
หลัวซิวบิดคอไปมา ร่างกายที่เฉื่อยชาไปแล้วเริ่มฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติเล็กน้อย
เสี้ยววินาทีที่เกิดการพุ่งชนอย่างรุนแรงในเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนเขาจะทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอถดถอยและเป็นฝ่ายได้เปรียบ แท้จริงแล้วพลังที่เคลื่อนผ่านเตาอลวนหวูจี๋แล้วส่งตรงมายังตัวเขา ก็ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน รู้สึกชาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า หากไม่มีพลังแห่งหอคอยฮวงปลุกเสกร่าง เขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสไปตั้งนานแล้ว
“ฆ่า!”
“ไปตายซะเถอะ!”
หลัวซิวและมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอตะคอกเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกัน ถัดจากนั้นทั้งคู่ก็ประสานงากันอยู่กลางอนัตตาไม่รู้ตั้งกี่รอบ
ผลการฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอลึกซึ้ง ร่างวัชรยักษ์แข็งกร้าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่หลัวซิวอาศัยพลังแห่งหอคอยฮวงปลุกเสกร่าง บวกกับมีเตาอลวนหวูจี๋คุ้มกันร่างกาย จึงถึงขั้นปะทะกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสูสี ยิ่งกว่านั้นคือเขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อยด้วย มีหลายครั้งมากที่บีบจนทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอทำได้เพียงอาศัยพลังอมตะวิชาล่องหนที่ประณีตสวยวิจิตรมาหลบเลี่ยงพลังโจมตีของหลัวซิว
“ไม่นึกเลยว่าแม้แต่นภาทองก็ยังฆ่ามันไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
ประมุขเต๋าหวูยวนเฝ้าติดตามลาดเลาบนสนามรบมาโดยตลอด ซึ่งการเข่นฆ่าระหว่างหลัวซิวและมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอย่อมต้องเป็นจุดที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ทันทีที่อัจฉริยะวิถีเซียนคนหนึ่งเติบใหญ่ขึ้นมา คนคนนั้นต้องกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่มากแน่นอน แม้นการบรรลุเป็นเซียนจะยากมาก ๆ แต่ขอแค่ก้าวเข้าสู่แดนประมุขเต๋าก็จะไม่ธรรมดาแล้ว ต่อให้มกุฎเต๋าลงมือก็ใช่ว่าจะสามารถสังหารได้เสมอไป
และทันทีที่บรรลุเป็นมกุฎเต๋า เช่นนั้นก็จะยิ่งเป็นบุคคลที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของดาราจักรวาล ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบของมหันตภัยได้ด้วย!
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นมหันตภัยในครั้งก่อน หรือมหันตภัยในปัจจุบัน สำหรับอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงส่งในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว ล้วนเป็นคู่กรณีที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูจะทำการกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
มหัตภัยในครั้งนี้ จ่างเทียนตี้เลือกยืนข้างสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูแล้ว เช่นนั้นสำหรับอัจฉริยะที่มีปัญญาวิถีเซียนอย่างหลัวซิว พวกเขาย่อมต้องมีจิตใจที่ต้องการสังหารเขาอยู่แล้ว
“มาตรแม้นว่าหากข้าที่มีผลการฝึกตนประมุขเต๋าลงมือจะทำให้คุณค่าในตัวข้าลดลง ทว่าจำเป็นต้องกำจัดเจ้าหมอนั่นทิ้ง จักปล่อยให้มันเติบใหญ่ขึ้นมาไม่ได้”
จิตสังหารที่อยู่ในใจประมุขเต๋าหวูยวนเพิ่มขึ้น ในขณะที่เขากำลังจะลงมือด้วยตนเองอยู่นั้น จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังชี่ดวงหนึ่งได้ผนึกตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ฮวงโหว!”
ประมุขเต๋าหวูยวนคุ้นเคยต่อพลังชี่ดังกล่าวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว สีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงไปกะทันหัน
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าฝั่งประมุขเต๋าฮวงโหวคอยระมัดระวังเขามาโดยตลอด พวกเขาต้องการสังหารอัจฉริยะที่มีปัญญาวิถีเซียนคนหนึ่ง เช่นนั้นฝั่งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็ย่อมต้องปกป้องเขาอย่างสุดกำลังสามารถอยู่แล้ว
ประมุขเต๋าหวูยวนที่ใบหน้าหม่นหมองคำนวณผลได้ผลเสียในครั้งนี้ เขาคาดการณ์ว่าต่อให้ตนลงมือด้วยตัวเอง เมื่อมีการขัดขวางของประมุขเต๋าฮวงโหว อัตราที่เขาสามารถสังหารหลัวซิวได้ก็มีไม่ถึงสามส่วน
ยิ่งกว่านั้นคือที่นี่คือห้วงดาราของโลกร้าง ทันทีที่เขาลงมือ อาจทำให้บรรพจารย์ฮวงที่น่ากลัวคนนั้นตื่นตกใจด้วย อย่างนั้นไม่แน่เขาไม่เพียงไม่สามารถสังหารหลัวซิว บางทีตนก็อาจต้องฝากชีวิตไว้ที่นี่ด้วย
“นภาทอง อย่าเสียเวลาอยู่กับมัน เข้าไปในแดนบรรพกาล”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ประมุขเต๋าหวูยวนก็เข้าใจดีมาก ๆ ว่าการรบติดพันต่อไปเรื่อย ๆ มีแต่จะทำให้เสียเวลา เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องจัดการทันทีย่อมต้องเป็นการสำรวจแดนบรรพกาลอยู่แล้ว
มีเสียงของประมุขเต๋าสะท้อนเข้ามาในหู จึงทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเข้าใจเจตนาของประมุขเต๋าทันที เขากวาดตามองหลัวซิวด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก่อนจะผันร่างเป็นแสงกลสีทองดวงหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าไปในประตูแห่งแสงดาวโดยตรง
“เข้าไปในแดนบรรพกาล!”
ในขณะเดียวกัน เสียงของประมุขเต๋าฮวงโหวก็สะท้อนเข้าไปในหูของเหล่าจอมยุทธ์แห่งโลกร้างเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน นอกจากกลุ่มคนที่ฆ่าล้างจนตาแดงเถือกไม่ได้หยุดการโจมตี คนส่วนมากล้วนหยุดการเข่นฆ่า ล้วนพุ่งไปยังประตูแห่งแสงดาวด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด
ผู้ที่มีความเร็วในการเคลื่อนที่รวดเร็วที่สุดย่อมต้องเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้ออยู่แล้ว แต่ทว่าเพื่อเป็นการเข้าไปในประตูแห่งแสงดาวในครั้งนี้ ทุกคนล้วนไม่ได้เข่นฆ่ากันอย่างสุดชีวิต ต่างฝ่ายต่างมีการเก็บกำลังแรงไว้อยู่
หลังจากเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อแต่ละคนเข้าไปในประตูแห่งแสงดาวแล้ว ต่อมาก็คือมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ มหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อ แล้วก็มกุฎเทพหกกงล้อ
ณ เสี้ยววินาทีที่เข้าไปในประตูแห่งแสงดาว ทุกคนก็ถูกส่งไปยังเขตพื้นที่ที่แตกต่างกัน
มีพลังออร่าที่เก่าแก่ตลบฟุ้งอยู่ในปริภูมิฟ้าดิน หลังจากหลัวซิวเข้าไปในประตูแห่งแสงดาว เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองได้เข้ามาในขอบเขตของแดนบรรพกาลแล้ว
ที่นี่คือฟ้าดินที่แปลกหน้าแห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นคนที่เคยเข้ามาในแดนบรรพกาล เมื่อเข้ามาในแดนบรรพกาลเป็นครั้งที่สอง ก็ใช่ว่าจะปรากฏในเขตพื้นที่ที่เคยปรากฏเสมอไป
หลัวซิวแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ก่อนจะสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าจำนวนจอมยุทธ์ที่ถูกส่งเข้ามาในเขตพื้นที่เดียวกันกับเขามีไม่น้อยเลย ซึ่งมีเกือบแสนคนเลยทีเดียว
กลางอนัตตาที่กว้างใหญ่ สามารถมองเห็นแสงเซียนกระพริบอยู่เป็นระยะ ทำให้ฟ้าดินที่แปลกหน้าแห่งนี้มีรังสีของความลึกลับเพิ่มขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง
“เจ้าสำนักน้อยหลัว!”
“ท่านชายหลัว!”
“……”
เงาดำแต่ละร่างต่างผันเป็นแสงกลแล้วบินตรงมา เหล่าจอมยุทธ์แห่งโลกร้างที่อยู่ใกล้กับหลัวซิวต่างมารวมตัวกันอยู่รอบกายเขาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
กำลังรบที่หลัวซิวแสดงออกมาครั้นอยู่บนสนามรบได้รับการยอมรับจากคนส่วนมาก เมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ทุกคนจึงตามหาผู้ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด เพื่อมาเป็นผู้นำอย่างอดไม่ได้
“คนที่เป็นศัตรูกันมักจะโคจรมาเจอกันจริง ๆ”
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอก็ถูกส่งมายังเขตพื้นที่เดียวกันเช่นกัน อีกทั้งจอมยุทธ์ฝั่งเมืองหวูยวนก็ต่างไปรวมตัวกันที่มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอ
เมื่อพูดถึงจำนวนจอมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายแล้ว ฝั่งเมืองหวูยวนจะได้เปรียบกว่า ซึ่งมีจำนวนจอมยุทธ์เกือบหกหมื่นคนเลย
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไกลมาก แม้นจะได้เปรียบด้านศักยภาพ แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอกลับไม่ได้ลงมือโจมตีหลัวซิวแต่อย่างใด
เนื่องจากภายในแดนบรรพกาลก็มีภยันตรายแฝงเร้นอยู่เช่นกัน เมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ สิ่งแรกที่ต้องมั่นใจก็คือความปลอดภัยของตัวเอง จากนั้นค่อยไปพิจารณาเรื่องกำจัดคู่ต่อสู้
“นี่คือสถานที่ใด?”
และในเวลานี้เอง ทุกคนก็ล้วนแผ่ขยายตัวสำนึกออกไปสัมผัสโลกาที่แปลกหน้านี้
กลางอนัตตาที่มืดสลัวเล็กน้อย ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าเกิดตัวสำนึกบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ ก็จะสามารถสัมผัสร่องรอยของธรรมเกณฑ์ลาง ๆ ได้จากอนัตตาที่ว่างเปล่า
ในขณะที่ผู้คนกำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีแสงเซียนหลายดวงไปรวมตัวกันตรงขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป มีเงาร่างที่สูงตระหง่านแน่วแน่ปรากฏกลางแสงเซียนเหล่านั้น ต่อมาก็มีเสียงที่มโหฬารพันลึกและชัดเจนสะท้อนมา
“สถานสาสน์เต๋า ด่านที่หนึ่ง!”
จากการที่เสียงดังกล่าวค่อย ๆ หายไป เพียงพริบตาเดียวก็มีเงาร่างมนุษย์แสนกว่าร่างปรากฏกลางอนัตตา แล้วพุ่งกระโจนเข้ามาทางทุกคนที่อยู่ในนี้รวดเร็วปานลมกรด
“สถานสาสน์เต๋าอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของผู้คนที่เข้าใจเกี่ยวกับแดนบรรพกาลต่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะแค่ดูจากชื่อของสถานสาสน์เต๋าก็ทราบได้แล้วว่าเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งถ่ายทอดประเพณีเต๋า
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าที่นี่คือสถานสืบทอดแห่งหนึ่ง ขอแค่ผ่านบททดสอบ ก็จะได้รับการถ่ายทอดสืบสานอันแข็งแกร่งที่ผู้แข็งแกร่งโบราณคนใดคนหนึ่งทิ้งไว้
ผู้ที่มีคุณสมบัติและความสามารถนำการถ่ายทอดสืบสานทิ้งไว้ในแดนบรรพกาลได้นั้น ต้องไม่มีทางใช่ผู้แข็งแกร่งทั่วไปแน่นอน
เพ่งตามองออกไป แม้นเงาร่างที่บินอยู่ในอนัตตาจะมีเยอะมาก ทว่าศักยภาพกลับไม่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก ซึ่งอยู่แค่ระดับจักรพรรดิเทพห้ากงล้อ
จำนวนเงาร่างแสงเซียนเท่ากับจำนวนจอมยุทธ์แห่งโลกร้างและประมุขเต๋าหวูยวน ทุกคนล้วนมีคู่ต่อสู้หนึ่งคน
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……”
ภายในเวลาเสี้ยววินาที ทุกคนก็ล้วนลงมือโจมตีกันแล้ว เงาร่างแสงเซียนนับแสนที่พุ่งเข้ามาล้วนถูกโจมตีจนมลายหายไปกลางท้องฟ้า
อย่างไรเสียเงาร่างแสงเซียนเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ระดับราชาเทพห้ากงล้อ ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาในแดนบรรพกาลนั้น อย่างน้อยทุกคนก็อยู่ที่แดนมกุฎเทพหกกงล้อ
อย่างไรก็ตามหลังจากทุกคนทลายเงาร่างแสงเซียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มีแสงเซียนสาดส่องลงมาจากอนัตตาอีก วิวัฒนาการเป็นเงาร่างมนุษย์เกือบแสนร่างอีกครั้ง แล้วพุ่งสังหารเข้ามาต่อ
“นี่คือตัวอะไรเนี่ย? ไยจึงฆ่าไม่จบไม่สิ้นสักที?”
“ตกลงต้องทำอย่างไรถึงจะผ่านด่านสถานสาสน์เต๋านี้ไปได้กันแน่?”
“……”
มีรัศมีแห่งความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของคนส่วนมาก แม้นเงาร่างแสงเซียนเหล่านี้ที่มีศักยภาพแค่ราชาเทพห้ากงล้อจะสร้างภัยคุกคามต่อผู้คนไม่ได้ แต่ทว่าการโจมตีสังหารที่ไร้ที่สิ้นสุดเช่นนี้ก็สามารถทำให้คนรู้สึกรำคาญได้เช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นคือขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทันทีที่ผลการฝึกตนของตัวเองแห้งเหือด ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารได้อย่างเต็มที่แล้วมิใช่หรือ?
“เพี๊ยะ!”
หลัวซิวใช้ฝ่ามือหนึ่งโจมตีเงาร่างแสงเซียนที่พุ่งเข้ามาทางตัวเองจนแตกสลาย จากนั้นร่างกายเขาก็กลายเป็นลำแสงดวงหนึ่ง พุ่งตรงไปยังเงาร่างสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของอนัตตา
เงาร่างดังกล่าวตั้งตระหง่านอยู่กลางอนัตตา จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มีแสงเซียนโอบล้อมอยู่รอบกาย พลังออร่ามากมายมหาศาล
ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับเงาร่างแสงเซียนอื่น ๆ ผลการฝึกตนของเงาร่างที่สูงตระหง่านนี่ก็อยู่ที่ราชาเทพห้ากงล้อเช่นกัน แต่ทว่าพลังออร่าที่โอบล้อมอยู่รอบกายเขากลับแข็งแกร่งกว่ามกุฎเทพหกกงล้อเยอะมาก ๆ!
ราชเทพห้ากงล้อคนหนึ่งที่สามารถข้ามขั้นโค่นล้มมกุฎเทพหกกงล้อ ต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ปัญญาน่าทึ่งอย่างยิ่งแน่นอน!
“ชัวะ!”
เมื่อหลัวซิวประชิตใกล้เงาร่างที่สูงใหญ่นั่นอย่างต่อเนื่อง จู่ ๆ เงาร่างสูงใหญ่ผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่ลอยอยู่ท่ามกลางแสงเซียนนั่นก็มองมาทางเขา
“ข้าคือนักสาสน์เต๋าของด่านที่หนึ่ง!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น จากการสิ้นเสียงของนักสาสน์เต๋า ก็มีปราณกระบี่เล่มหนึ่งเฉือนผ่าลงมาจากฝ่ามือเขา ปราณกระบี่ดังกล่าวฉีกกระชากฟ้าดิน ราวกับแม้แต่การหมุนเวียนของเวลาก็ล้วนถูกทำลาย!