มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2906
หากผลการฝึกตนของหลัวซิวก็อยู่ในแดนราชาเทพห้ากงล้อเหมือนกัน เช่นนั้นเขาอาจจะต้องจริงจังกับพลังสังหารจากปราณกระบี่เล่มนี้
แต่ทว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขาอยู่ที่แดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลางแล้ว เช่นนั้นปราณกระบี่ที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งนี้ จึงเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเขา
“เตี๊ยง!”
เห็นเพียงหลัวซิวยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า ปราณกระบี่ที่มโหฬารพันลึกจึงสลายหายไปกลางท้องฟ้า ต่อมาหลัวซิวก็หกระเหินเดินฟ้า มาถึงหน้าเงาร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางแสงเซียนนั่น
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็มองเห็นประตูบานหนึ่งที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียนปรากฏข้างกายเงาร่างที่สูงตระหง่านนั่น ไม่ต้องพูดก็พอจะทราบได้แล้วว่านั่นน่าจะเป็นลู่ทางที่มุ่งไปสู่ด่านที่สอง
และในเวลานี้เอง มกุฎเทพหกกงล้อคนหนึ่งของเมืองหวูยวนก็พุ่งสังหารเข้ามา แววตาของนักสาสน์เต๋าเย็นชา ก่อนจะง้างมือปลดปล่อยปราณกระบี่เล่มหนึ่งออกไปเช่นกัน
“ฟึ่บ!”
หมอกเลือดกลุ่มหนึ่งระเบิดแตกกลางท้องฟ้า ยอดฝีมือระดับมกุฎเทพหกกงล้อคนนั้นถึงกับไม่สามารถต้านทานกระบี่หนึ่งของนักสาสน์เต๋าที่มีผลการฝึกตนราชาเทพห้ากงล้ออย่างนั้นหรือ!
“ผู้เพื่อนยุทธ์ผ่านด่านแล้ว ไยจึงยังไม่ไปด่านต่อไปเล่า?”
ค่อย ๆ ดึงพลังโจมตีกลับมา นักสาสน์เต๋าขมวดคิ้วแล้วมองหลัวซิวที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่ง ราวกับรู้สึกสงสัยเล็กน้อยที่เหตุใดเขาจึงไม่เข้าไปในประตูแสงเซียนเพื่อมุ่งไปสู่ด่านที่สอง
“โอ๊ะ? เจ้ามีความรู้สึกด้วยหรือ?”หลัวซิวมองนักสาสน์เต๋าของด่านที่หนึ่งด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำ สีหน้าอารมณ์เย็นชา เขาก็คิดว่าเป็นเงาลวงแสงเซียนที่ไม่มีความรู้สึกเสียอีก
“คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีทางเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้อยู่แล้ว มีเพียงอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ปราดเปรื่องส่วนน้อยในแดนเดียวกัน ถึงจะมีคุณสมบัติเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้ แล้วกลายเป็นนักสาสน์เต๋า”
นักสาสน์เต๋าพูดอย่างเรียบนิ่งประโยคหนึ่ง “ยกตัวอย่างเช่นอดีต ในบรรดาราชาเทพห้ากงล้อทั้งหมดที่เคยเข้ามาในสถานสาสน์เต๋าแห่งนี้ ศักยภาพของข้าแข็งแกร่งที่สุด ฉะนั้นข้าจึงมีคุณสมบัติเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วกลายเป็นนักสาสน์เต๋าของด่านแรก”
“แม้นข้าจักมองผลการฝึกตนของเจ้าไม่ทะลุ แต่กลับสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก บางทีเจ้าอาจมีความหวังได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่ก็เป็นได้”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น นักสาสน์เต๋าก็ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่าทีหนึ่ง ก่อนที่ม้วนหยกชิ้นหนึ่งจะปรากฏแล้วร่วงลงตรงหน้าหลัวซิว
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ดังนั้นเจ้าผ่านด่านนี้แล้ว ในฐานะที่เป็นนักสาสน์เต๋า นี่คือของรางวัลที่เจ้าควรได้รับหลังจากผ่านด่านแรก”
หลัวซิวแผ่ตัวสำนึกเข้าไปในม้วนหยก หลังจากข้อมูลที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกถูกตัวหยั่งรู้ของเขารับไปแล้ว ม้วนหยกชิ้นนี้ก็แตกสลายหายไปเองโดยธรรมชาติ
และสิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกก็คือพลังอมตะวิชาหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าหลอมจิต!
หลอมจิตที่กล่าวถึงนั้น ก็คือทำการกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นความว่างเปล่า ซึ่งมีวิธีขั้นตอนการที่แตกต่างจากธรรมเวชกาลล้น แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นแสงกระบี่ที่นักสาสน์เต๋าปลดปล่อยออกมาในเมื่อครู่นี้ อันที่จริงภายในก็มีความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน แต่ทว่าเนื่องจากผลการฝึกตนของหลัวซิวและเขาแตกต่างมากเกินไป ดังนั้นพลังอมตะหลอมจิตจึงสร้างประสิทธิผลใด ๆ ให้แก่หลัวซิวไม่ได้เท่านั้นเอง
ทว่าพลังอมตะหลอมจิตนี้ไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด ความประณีตสวยวิจิตรในหลาย ๆ จุดหายไปเยอะมาก แค่สามารถฝึกฝนตระหนักถึงระดับราชาเทพห้ากงล้อ
“จะว่าไปการบรรยายถึงธรรมเวชกาลล้นของพลังอมตะวิชานี้ก็แปลกใหม่ดีเหมือนกัน”
หลัวซิวมองโดยคร่าว ๆ รอบหนึ่ง แล้วรู้สึกเพลิดเพลินกับมันไม่น้อยเลย แม้การยึดกุมธรรมเวชกาลล้นของเขาจะบรรลุถึงแดนที่อยู่เหนือขอบข่ายที่พลังอมตะหลอมจิตบรรยาย แต่กลับไม่เป็นปัญหาต่อการเรียนรู้และเข้าใจถึงแขนงวิชาที่ใกล้เคียง จนได้รับการตระหนักรู้ที่ตนในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เขามองนักสาสน์เต๋าที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่ง แล้วถามอย่างรู้สึกสงสัย: “ฟังจากคำพูดของเจ้า เหมือนต้องการให้ข้าได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่มากเลยนะ?”
“ไม่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น ขอแค่มีคนสามารถได้รับการถ่ายทอดสืบสาน ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ข้าแค่รู้สึกว่าโอกาสที่เจ้าจะได้รับนั้นมีมากกว่าเท่านั้นเอง”นักสาสน์เต๋ากล่าวเช่นนี้
“เพราะเหตุใดหรือ?”
“เพราะถ้าเกิดมีคนได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่ เช่นนั้นข้าก็จะได้รับอิสระ อีกทั้งไม่เพียงข้าเท่านั้น เหล่านักสาสน์เต๋าที่รับผิดชอบตั้งมั่นรักษาอยู่ในด่านต่อ ๆ ไปก็จะได้รับอิสระเช่นกัน”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีคนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง นักสาสน์เต๋าไม่ได้พูดมากกับหลัวซิวต่อ พลิกฝ่ามือครั้งหนึ่งปราณกระบี่ก็ถูกฟาดฟันออกไป ซึ่งมีความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตแฝงเร้นอยู่ด้วย
“ฟึ่บ!”
จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนหนึ่งลงมืออย่างไร้ความปราณี พลังอมตะวิชาหนึ่งได้ทำการทำลายเงาร่างของนักสาสน์เต๋าไป ก่อนจะมุ่งหน้าตรงมาทางประตูแสงเซียนทางหลัวซิว
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนนี้ก็ดูออกแล้วว่า ประตูแสงเซียนบานนี้ก็คือกุญแจสำคัญที่มุ่งไปสู่ด่านที่สอง
แต่ว่าเมื่อจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนนี้มองเห็นหลัวซิวที่อยู่หน้าประตูแสงเซียน เขาก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน จู่ ๆ ก็หยุดการเคลื่อนที่
ในขณะเดียวกัน เงาร่างของนักสาสน์เต๋าที่ถูกทำลายไปก็ผนึกรวมกันในแสงเซียนอีกครั้ง ลงมือโจมตีทุกคนที่คิดจะพุ่งมายังประตูแสงเซียน ขอแค่สามารถต้านทานปราณกระบี่หลอมจิตก็จะผ่านด่าน ต้านทานไม่ได้ก็จะถูกสังหาร
อย่างไรเสียผู้ที่เข้ามาที่นี่ล้วนมีผลการฝึกตนมกุฎเทพหกกงล้อเป็นต้นไป นอกจากมกุฎเทพหกกงล้อส่วนน้อยที่ศักยภาพค่อนข้างอ่อนถูกสังหารแล้ว คนส่วนมากล้วนผ่านด่านแรกไปได้อย่างง่ายดาย ต่างมารวมตัวกันอยู่ในละแวกใกล้เคียงของประตูแสงเซียน
สภาพแวดล้อมฟ้าดินในด่านที่สองของสถานสาสน์เต๋าแตกต่างจากด่านแรก หลังจากหลัวซิวปรากฏตัวที่นี่ ก็มีแสงเซียนปรากฏกลางท้องฟ้า นักสาสน์เต๋าของด่านที่สองปรากฏ
ในขณะเดียวกันก็มีเงาร่างที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียนพุ่งสังหารลงมาเช่นกัน พุ่งตรงมาทางหลัวซิว ผลการฝึกตนของเงาร่างแสงเซียนเหล่านี้อยู่สูงกว่าด่านแรกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบรรลุถึงระดับมกุฎเทพหกกงล้อ
สำหรับหลัวซิวแล้ว ด่านสองก็ยังไม่มีความท้าทายอะไรอีกเช่นเคย เพียงพลังโจมตีเดียวเขาก็โค่นล้มนักสาสน์เต๋าไปได้อย่างง่ายดาย แล้วได้รับภาคต่อส่วนหนึ่งของพลังงานอมตะหลอมจิต
“ผู้เพื่อนยุทธ์ เชิญไปด่านที่สามเถิด นักสาสน์เต๋าของด่านที่สามอยู่ในแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับเจ้า ทว่าศักยภาพกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แทบจะเทียบทัดมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ”นักสาสน์เต๋าของด่านที่สองพูดกับหลัวซิว
“ต้องผ่านด่านทั้งหมด ถึงจะได้รับพลังอมตะหลอมจิตที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรือ?”หลัวซิวมองไปทางนักสาสน์เต๋าของด่านที่สองพลางถาม
“ใช่”นักสาสน์เต๋าพยักหน้า
หลัวซิวไม่พูดอะไร ก่อนจะย่างเท้าก้าวเข้าไปในประตูแสงเซียน เข้าสู่ด่านที่สาม
ไม่นานนักหลัวซิวก็มาถึงด่านที่สี่ และผลการฝึกตนของนักสาสน์เต๋าในด่านนี้ก็บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อแล้ว
“สามารถฝ่าฟันขึ้นมาถึงด่านที่สี่ได้ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ แสดงให้เห็นเลยว่าเจ้าก็เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากล้นเช่นกัน น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เนื่องจากข้ายังไม่เคยถูกผู้ที่มีผลการฝึกตนต่ำกว่าข้าโค่นล้มมาก่อน”
นักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่ไม่ใช่เงาร่างที่สูงใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นรูปร่างลักษณะของชายวัยกลางคนที่เกิดจากแสงเซียนผนึกรวมกันจนถึงขีดสุด
เห็นเพียงเงาร่างของเขากระพริบทีหนึ่ง แล้วมาถึงตรงหน้าหลัวซิว และเขาก็ไม่ได้ใช้ของขลังอาวุธเทพใด ๆ เช่นกัน ใช้กำปั้นซัดเข้ามาทางหลัวซิวโดยตรง
“ไม่เคยมีผู้ที่ผลการฝึกตนต่ำกว่าเจ้าโค่นล้มเจ้าได้ แสดงว่าเจ้าเป็นเพียงกบในกะลา”
หลัวซิวก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า และเขาก็ไม่ได้ใช้ของขลังอาวุธเทพใด ๆ เช่นกัน ง้างมือซัดกำปั้นออกไป ก็ทำให้นักสาสน์เต๋าของด่านที่สี่ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปแล้ว
เสี้ยววินาทีที่ได้สัมผัสกับร่างกายของนักสาสน์เต๋า หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีพลังเต๋าของธรรมเวชกาลล้นถ่ายทอดเข้ามาในร่างกายเขา แล้วกลั่นแปรผลการฝึกตนของเขา
แต่ทว่าพลังอมตะหลอมจิตที่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อคนหนึ่งกระตุ้นยังสร้างภัยคุกคามให้หลัวซิวได้ไม่มากนัก วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการโคจร ก็ทำการทลายพลังดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้าดูถูกเจ้าไปหน่อยจริงด้วย เจ้ามีสิทธิ์ทำให้ข้าลงมืออย่างแท้จริงแล้วล่ะ!”
นักสาสน์เต๋าที่ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปพุ่งสังหารเข้ามาอีกครั้ง พลังออร่าที่โอบล้อมอยู่รอบกายเพิ่มขึ้นตามจังหวะ กำปั้นที่ดุดันโหดเหี้ยมมากกว่าเดิมซัดลงกลางศีรษะหลัวซิว
สมมุติว่าแม้จะอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเหมือนกัน แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแข็งแกร่งกว่ามาก หลัวซิวก็เคยประมือกับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อมาเยอะมาก ทว่ากลับไม่มีคนใดที่สามารถเทียบเคียงกับคนดังกล่าวได้ มาตรแม้นว่าเป็นตู๋กูเจี้ยนเฉินที่ได้รับสมญานามว่าเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ ครั้นเมื่ออยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ ก็เทียบเคียงกับนักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่คนนี้ไม่ได้เลย
หลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กำปั้นของฝ่ายตรงข้ามซัดลงกลางศีรษะตัวเองเต็มที่ ส่วนฝ่ามือของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ยกขึ้นมาเช่นกัน แล้วประทับตราสรรพสิทธิ์ลงกลางหน้าอกนักสาสน์เต๋า
“ตู้ม!”
เมื่อกำปั้นของนักสาสน์เต๋าทุบลงกลางศีรษะหลัวซิว จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังสะท้อนที่ทรงพลัง สีหน้าจึงเปลี่ยนไปกะทันหัน
“โครมม!”
พลังอมตะนับหมื่นแสนระเบิด ร่างกายของนักสาสน์เต๋าที่อยู่ท่ามกลางรัศมีของพลังอมตะก็สลายหายไปจนไม่เหลือหรอ
วิชาตราประทับหนึ่งวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสน ซึ่งเท่ากับว่านักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่ถูกพลังอมตะนับหมื่นแสนของหลัวซิวโจมตีภายในชั่วพริบตาเดียว อย่าว่าแต่เขาเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเลย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อก็ต้านทานไม่ไหวเช่นกัน
“เจ้าแข็งแกร่งมาก!”
ร่างกายของนักสาสน์เต๋าผนึกรวมอยู่ในแสงเซียนแล้วกลับมาปรากฏใหม่อีกครั้ง ก่อนจะมองไปทางหลัวซิวด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ดูตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
“หรือว่าเมื่อข้าเข้าสู่ด่านที่ห้า นักสาสน์เต๋าที่ต้องเผชิญหน้าด้วยจักอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ?”
หลัวซิวมาถึงประตูแสงเซียนที่มุ่งไปสู่ด่านที่ห้า ก่อนจะถามด้วยสีหน้าที่ดูตึงเครียดเล็กน้อย
เขาไม่ใส่ใจผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อขั้นสุดยอด แต่ถ้าเกิดเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อก็จะแตกต่างกันเลย ตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้ที่สามารถฝ่าฟันเข้ามาในแดนบรรพกาลได้นั้นล้วนไม่ใช่บุคคลทั่วไป ต่อให้ศักยภาพของมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสุดยอดคนหนึ่งจะเทียบเคียงกับผู้สูงส่งไม่ได้ แต่ก็แตกต่างกันไม่มากนัก
หากได้ประสบกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หลัวซิวคาดว่าต่อให้ตัวเองใช้หอคอยฮวงจริง ๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามได้เสมอไป
“ใช่แล้ว”
สีหน้าอารมณ์ของนักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่ดูเข้มงวดอย่างยิ่ง “เมื่อปีนั้นข้าก็ฝ่าฟันไปถึงด่านที่ห้านี่แหละ แต่กลับต้านทานพลังโจมตีของนักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้าได้สามกระบวนท่าเท่านั้น ก็ถูกเขาสังหารแล้ว!”
“มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ ข้าก็กลายเป็นนักสาสน์เต๋าของด่านที่สี่เช่นกัน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าตั้งแต่โบราณกาลมา ในจำนวนผู้คนทั้งหมดที่เข้ามาในแดนบรรพกาล ข้าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่ข้าเองก็ต้านทานสามกระบวนท่าของเขาไม่ได้ จึงแสดงให้เห็นได้เลยว่าศักยภาพของเขาแข็งแกร่งมากเพียงใด”
“ศักยภาพของผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าอยู่เหนือการคาดหมายของข้า บางทีศักยภาพของเจ้าอาจจะสามารถเทียบทัดมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ แต่ถ้าเกิดพูดถึงการจะผ่านด่านห้าได้นั้น อัตราที่จะทำสำเร็จกลับมีไม่มากเท่าไหร่นัก”
“หากอ้างอิงตามคำพูดของเจ้า แล้วนักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้าดับสลายสูญสิ้นอยู่ในนี้ได้อย่างไรเล่า? หากเขาตายอยู่ในเงื้อมมือของนักสาสน์เต๋าด่านหก เช่นนั้นหากคาดการณ์คำนวณตามทฤษฎีนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่านักสาสน์เต๋าในด่านที่หกมีผลการฝึกตนแดนผู้สูงส่งมิใช่หรือ?”
หลัวซิวหรี่ตาลง หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ละก็ เช่นนั้นก็อย่าว่าแต่เขาในปัจจุบันเลย ต่อให้เขาทลายพันธนาการบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ เขาก็ไม่มีทางฝ่าฟันไปได้อย่างแน่นอน แล้วจะนับประสาอะไรกับเขาในปัจจุบันที่เป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลาง?
“แล้วจักออกจากที่นี่ได้อย่างไร?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
“นอกเสียจากเจ้าได้รับประเพณีสืบทอดเต๋าของที่นี่ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถจากไปจากที่นี่ได้ตลอดกาล มีแต่ได้ตายอยู่ในนี้”นักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทอดถอนใจ
เมื่อปีนั้นเขาฝ่าฟันอยู่ในแดนบรรพกาลแล้วถูกส่งมาที่นี่ พบว่าขณะที่ตนไม่มีความหวังที่จะผ่านด่านได้แล้ว เขาก็เคยคิดที่จะออกจากที่นี่เช่นกัน ทว่าท้ายที่สุดกลับไม่มีวิธีและหนทางเลย ทำได้เพียงฝืนผ่านด่านต่าง ๆ สุดท้ายก็ดับสลายสูญสิ้นอยู่ในนี้ แล้วกลายเป็นนักสาสน์เต๋าในด่านที่สี่
หลัวซิวได้รับภาคต่อของพลังอมตะหลอมจิตจากมือเขาอีกครั้ง ธรรมเวชกาลล้นที่บรรยายสมบูรณ์มากกว่าเดิม จากโลกทัศน์ของหลัวซิวสามารถดูออกอยู่ว่า หากพลังอมตะหลอมจิตวิชานี้สมบูรณ์ครบถ้วนละก็ ดูเหมือนมันจะเป็นพลังอมตะวิชาหนึ่งที่มีธรรมเวชกาลล้นที่สมบูรณ์ครบถ้วนแฝงซ่อนอยู่!
ธรรมหนึ่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนมีความหมายว่าอย่างไร? นั่นคือพลังที่มีเพียงบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเต๋าถึงจะสามารถยึดกุมได้เชียวนะ!
“พลังอมตะระดับมกุฎเต๋าหรือ? ไม่ บางทีมันอาจทรงพลังกว่านี้!”
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวยิ่งอยู่ยิ่งเข้มงวดขึ้น เนื่องจากเขาค้นพบว่าตัวเองมองแก่นสารที่แท้จริงของพลังอมตะวิชานี้ไม่ออกเลย ดูเหมือนจะเป็นธรรมเวชกาลล้นที่สมบูรณ์ครบถ้วน ความล้ำลึกที่แท้จริงของพลังอมตะหลอมจิตคือการยกระดับถึงขีดสูงสุด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นวิถีเซียน!
วิถีเซียน! หรือว่าที่นี่มีการถ่ายทอดสืบสานของเซียนองค์หนึ่ง?