มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2908
“เวิ่ง!”
หอคอยฮวงลอยขึ้นฟ้า ทำการต้านทานกรงขังที่วิวัฒนาการออกมาจากผังค่าย
เมื่อเห็นว่ากระบี่เทพสีทองเล่มนั้นเฉือนสังหารเข้ามาแล้ว แววตาทั้งสองข้างของหลัวซิวเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำ
“เข้าล็อกเดิม!”
เขาใช้มือทั้งสองข้างประสานอิน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาจะปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมา
มีแสงเซียนตลบฟุ้งลอยวนอยู่รอบกายเขา ภายใต้การลดทอนจากสรรพวิถีล้วนว้าง พลานุภาพของกระบี่เทพสีทองจึงถูกลดทอนลงไปทีละระดับ
“โครม!”
พลังอมตะเข้าล็อกเดิมพุ่งชนเข้ากับกระบี่เทพสีทอง พลังอันน่ากลัวม้วนซัดระเบิด นักสาสน์เต๋าด่านสี่ที่มองดูการต่อสู้อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลยิ่งได้รับผลกระทบไปด้วย ร่างกายแตกสลายเป็นฝุ่นผง
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
ท่ามกลางแสงเซียน ร่างกายของนักสาสน์เต๋าผนึกรวมกลับมาใหม่อีกครั้ง ในฐานะที่เป็นนักสาสน์เต๋าของสถานที่ดังกล่าว การคงอยู่ของเขาเป็นอมตะ
เงยหน้าเพ่งมองออกไป แสงกลดวงหนึ่งกระพริบหายไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง บินเข้าไปในประตูแสงเซียนที่มุ่งไปสู่ด่านที่ห้า
“หลัวซิว เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”
เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นดังขึ้น มือมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอถือกระบี่เทพที่มีเลือดติด เก็บผังค่ายกลับมาก่อนจะก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปในประตู
พื้นที่ภายในด่านที่สี่จึงสงบนิ่งลงไปในทันที มีเพียงพลังควันหลงที่น่าสยดสยองนั่นม้วนซัดฟ้าดินอนัตตา นานมากก็ไม่อาจกลับไปสงบได้เหมือนเก่า
แผลกระบี่หนึ่งที่น่าสยดสยองแทบจะทะลวงทั้งร่างกายหลัวซิว แม้นเขาจะใช้พลังอมตะเข้าล็อกเดิมและสรรพวิถีล้วนว้างแล้ว แต่ก็ยังถูกพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
หากมีหอคอยฮวงป้องกัน ต้องไม่เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ต่อให้มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ไม่มีทางทำลายเกราะป้องกันของหอคอยฮวงได้
ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับเรียกผังค่ายออกมาพันธนาการหอคอยฮวง แล้วใช้อาวุธเทพชีวีโจมตีร่างแท้เขาโดยตรง
มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหลัวซิวจะสามารถต้านทานพลังโจมตีที่ทรงพลังนี้ได้ ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าหลัวซิวบาดเจ็บสาหัสแล้ว ขอแค่ไม่ให้เขามีเวลาได้ฟื้นฟูพักหายใจ เขาก็ต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน
เมื่อทะลุผ่านประตูแสงเซียน หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองย่างกรายสู่ด่านที่ห้าแล้ว เมื่อเขามาถึงพื้นที่ปริภูมิดังกล่าว สีหน้าอารมณ์ก็ดูผงะไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
เพราะมันแตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่รกร้างว่างเปล่าในด่านที่สี่ พื้นที่ปริภูมิในด่านที่ห้านี้มีชีวิตชีวา ราวกับโลกาเล็ก ๆ หนึ่งใบ มีภูเขาใหญ่แม่น้ำลำธาร มีภูเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่ขาดสาย มีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งกว้างใหญ่ มีพระจันทร์พระอาทิตย์
“แดนบรรพกาลเปิดอีกแล้วหรือ?”
จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่ไพเราะสะท้อนเข้ามาในหูหลัวซิว ถัดจากนั้นเขาก็เห็นว่ามีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วมาถึงตรงหน้าเขาภายในชั่วลมหายใจเดียว
คนดังกล่าวคือสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะหรือรูปโฉม ล้วนสวยล้ำเลิศที่สุดเลย
แต่น่าเสียดายที่นางดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ร่างกายผนึกรวมมาจากแสงเซียน ซึ่งมีหน้าที่เฝ้ารักษาด่านที่ห้าของสถานสาสน์เต๋า
อ้างอิงจากระเบียบปฏิบัติในสี่ด่านแรก ทันทีที่มีคนบุกเข้ามาในสถานสาสน์เต๋า นักสาสน์เต๋าก็ล้วนแต่จะลงมืออย่างไม่ลังเลใจ มีเพียงโค่นล้มนักสาสน์เต๋าในทุก ๆ ด่านแล้ว ถึงจะได้รับการยอมรับ นักสาสน์เต๋าถึงจะไม่ลงมือโจมตีตัวเองต่อ
ณ เสี้ยววินาทีที่สตรีที่สวยเพลิศพริ้งนี่ปรากฏ หลัวซิวก็มีการระมัดระวังแล้ว เดิมทีคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือต่อตนเอง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือสตรีกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย ทั้งยังไม่มีท่าทีที่จะลงมือด้วย
“ผลการฝึกตนของเจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้ออย่างนั้นหรือ?”สตรีสวยเพลิศพริ้งยิ่งอยู่ยิ่งตะลึง ในขณะเดียวกันภายในความรู้สึกตะลึงยังมีความหวังปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
หลัวซิวยังไม่ทันได้ตอบกลับคำถามของฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากพลังออร่าที่แข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอได้ส่งตรงมาจากด้านหลังเขาแล้ว อีกทั้งมีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมอย่างยิ่งผนึกร่างเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
“มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลาย?”
สตรีสวยเพลิศพริ้งจับเงาร่างของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอได้อย่างรวดเร็ว แม้นนางจักไม่ได้ลงมือต่อหลัวซิว แต่กลับง้างฝ่ามือโจมตีสังหารไปทางมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอที่มีอนัตตานับแสนลี้คอยขวางกั้นอยู่
ฝ่ามือของนางขาวผ่องดุจหยก มีระลอกคลื่นหนึ่งลูกปรากฏกลางฝ่ามือ ดูดกลืนกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางได้ฝึกพลังอมตะหลอมจิตขึ้นไปถึงแดนที่สูงส่งอย่างยิ่งแล้ว
สีหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเปลี่ยนไป เขาเข้าใจขึ้นมาได้ภายในพริบตาว่าผู้ที่ลงมือโจมตีตนน่าจะเป็นนักสาสน์เต๋าด่านห้า จึงรีบโบกสะบัดกระบี่เทพที่อยู่ในมือ ฟาดฟันแสงกระบี่ที่แวววาวจับตาออกไปหนึ่งดวง
เขาก็ตระหนักความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตได้เสี้ยวหนึ่งเช่นกัน แต่ทว่าแสงกระบี่ที่เขาฟาดฟันออกไปกลับถูกระลอกคลื่นที่อยู่กลางฝ่ามือที่ขาวผ่องนั่นดูดกลืน เหมือนดั่งโยนก้อนหินก้อนหนึ่งเข้าไปในมหาสมุทร ไม่เกิดเป็นคลื่นใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“นี่มันจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร?”
มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ผลการฝึกตนของเขาคือมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลาย ทั้งยังยึดกุมธรรมดั้งเดิมสองประเภทด้วย มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง ก็ไม่มีทางทลายพลังโจมตีของตัวเองได้ง่ายดายเช่นนี้แน่นอน
“เวิ่ง!”
ของขลังชิ้นหนึ่งบินออกมาจากร่างกายมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอ แต่ภายใต้การกลั่นแปรของพลังอมตะหลอมจิต พลานุภาพของของขลังคุ้มกันชิ้นนี้จึงถูกลดทอนลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผงแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้า
สตรีงามเพลิศพริ้งนางนี้เฝ้าดูแลรักษาอยู่ในด่านที่ห้ามาไม่รู้ตั้งกี่ปีแล้ว การตระหนักรู้ในพลังอมตะหลอมจิตของนางบรรลุถึงแดนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
มากไปกว่านั้นคือหลัวซิวสามารถสัมผัสได้อยู่ว่า การยึดกุมธรรมเวชกาลล้นของสตรีงามเพลิศพริ้งนางนี้บรรลุถึงธรรมดั้งเดิมสำเร็จน้อยขั้นสูงตลอดจนแดนบริบูรณ์!
เมื่อมาถึงช่วงหลังของการฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะหลังจากบรรลุถึงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแล้ว ช่วงระยะความต่างของศักยภาพกลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการฝึกตน แต่ขึ้นอยู่กับแดนของธรรมวิถี
ผู้ที่สามารถบรรลุขึ้นมาถึงแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อได้นั้น ต่างตระหนักความล้ำลึกของธรรมดั้งเดิมได้แล้ว อ้างอิงจากการแบ่งระดับแดน แดนของธรรมวิถีแบ่งออกเป็นสำเร็จแรก สำเร็จน้อย บรรลุผล ขั้นสูงและบริบูรณ์ห้าแดนใหญ่
จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อส่วนมากล้วนอยู่ในแดนธรรมดั้งเดิมสำเร็จแรก อีกทั้งยังมีการแบ่งสำเร็จแรกขั้นปฐมภูมิ ช่วงกลาง ช่วงปลาย ขั้นสูงและบริบูรณ์ด้วย หลังจากสำเร็จแรกบริบูรณ์แล้ว ถึงจะเป็นแดนสำเร็จน้อย
ยกตัวอย่างเช่นเมื่ออยู่ในแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อเหมือนกัน ธรรมดั้งเดิมต่างอยู่ในแดนสำเร็จแรก แต่สำเร็จแรกขั้นปฐมภูมิและช่วงปลายกลับแตกต่างกันมากถึงมากที่สุดเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือสำเร็จแรกช่วงปลายสามารถสังหารสำเร็จแรกขั้นปฐมภูมิได้อย่างง่ายดายเลย!
วินาทีนี้ มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอและนักสาสน์เต๋าด่านห้าต่างก็อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเหมือนกัน ทว่าแดนธรรมดั้งเดิมของทั้งสองกลับแตกต่างกันเยอะมาก แม้นจักอยู่ในแดนสำเร็จน้อยเหมือนกัน แต่สตรีงามเพลิศพริ้งกลับอยู่ในแดนสำเร็จน้อยขั้นสูงตลอดจนบริบูรณ์ แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอกลับเป็นเพียงสำเร็จน้อยช่วงกลาง อย่างมากสุดก็ไม่สูงกว่าช่วงปลาย
“ไม่!”
“ข้าไม่ยอม!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอตะคอกอย่างโกรธเปรี้ยว ไม่ว่าเขาจะต้านทานอย่างสุดกำลังสามารถอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ถูกนักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้าสังหารอย่างไม่มีเหตุสุดวิสัยใด ๆ อยู่ดี
และนี่ก็คือช่วงระยะความต่างของแดนธรรม!
แม้ระดับพลังแห่งวิถีเซียนของหลัวซิวจะอยู่เหนือธรรมดั้งเดิม ทว่าเนื่องจากผลการฝึกตนของตัวเขาเองค่อนข้างต่ำ หากมองในด้านพละกำลัง พลังแห่งวิถีเซียนของเขาก็แค่สามารถเทียบทัดประมาณแดนสำเร็จน้อยช่วงกลาง ซึ่งไม่ค่อยต่างอะไรจากมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอ
บัดนี้แม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอยังถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้ นี่จึงทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ลงมือต่อเจ้าหรอก”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังระแวดระวังอยู่นั้น จู่ ๆ สตรีงามเพลิศพริ้งที่ลงมือสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอกลับมองเขาแล้วอมยิ้ม
“หมายความว่าอย่างไร?”หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ดูเหมือนนักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้าจะแตกต่างจากเหล่านักสาสน์เต๋าในด่านก่อนหน้านี้
“เพราะอ้างอิงจากกฎเกณฑ์ที่นักเซียนหลอมจิตกำหนดไว้ เจ้าสามารถฝ่าฟันขึ้นมาถึงด่านที่ห้าได้ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ จึงถือว่าผ่านบททดสอบแรกแล้ว”สตรีงามเพลิศพริ้งอธิบาย
“บททดสอบแรก?”
“ใช่แล้ว บททดสอบแรก ซึ่งสิ่งที่ทดสอบก็คือปัญญา! ฝ่าฟันขึ้นมาถึงด่านที่ห้าได้ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ แสดงว่าปัญญาของเจ้าบรรลุถึงระดับเซียน ซึ่งบรรลุเงื่อนไขในการผ่านบททดสอบแรกแล้ว”
สตรีงามเพลิศพริ้งอมยิ้ม “ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถเดินขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ”
“ส่วนผู้ที่ถูกข้าสังหารในเมื่อครู่นี้ จากผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อของเขา จำเป็นต้องผ่านด่านที่เจ็ดถึงจะบรรลุเงื่อนไขในการผ่านบททดสอบแรก”
“และอ้างอิงจากการกำหนดของกฎเกณฑ์ นักสาสน์เต๋าในด่านที่หกคือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่ง!”
หลัวซิวพยักหน้าหลังจากได้ฟังคำอธิบายของสตรีงามเพลิศพริ้ง เนื่องจากทั้งหมดทั้งมวลนี้มันฟังดูสมเหตุสมผลจริง ๆ อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็เป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อเท่านั้น หากเงื่อนไขของบททดสอบเหมือนกับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันดูไม่ยุติธรรม
โดยส่วนใหญ่แล้ว จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแทบจะไม่มีทางมาถึงด่านที่ห้าได้เลย เนื่องจากนักสาสน์เต๋าที่เฝ้าอยู่ในด่านที่สี่ก็เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อขั้นสุดยอดตั้งแต่แรกแล้ว มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเก้าในสิบของโลกนี้ยังสู้เขาไม่ไหวเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ?
แต่ว่าสุดท้ายแล้วในโลกหล้านี้ก็ยังมีอัจฉริยะที่ไม่เหมือนบุคคลทั่วไปอยู่ดี ซึ่งนั่นก็คือบุคคลผู้มีปัญญาแห่งวิถีเซียน!
เมื่อมีปัญญาแห่งวิถีเซียน ศักยภาพก็จะสูงส่งมาก อยู่ในแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแต่มีกำลังรบข้ามขั้นโค่นล้มมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ ซึ่งใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เสมอไป
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าผ่านบททดสอบแรกแล้ว เช่นนั้นก็แสดงว่าในสถานสาสน์เต๋ายังมีบททดสอบอื่น ๆ อีกหรือ?”หลัวซิวเพ่งมองแล้วถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว จะถ่ายทอดธรรมวิถีให้กันง่าย ๆ ไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการถ่ายทอดสืบสานที่เซียนทิ้งไว้เล่า?”
สตรีงามเพริศพริ้งขบขำเบา ๆ “นอกจากทดสอบปัญญาแล้ว บททดสอบที่สองก็คือความสามารถในการตระหนักรู้”
“ความสามารถในการตระหนักรู้? จักทดสอบอย่างไรหรือ?”หลัวซิวถาม เขามั่นใจความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองมาก สิ่งที่วิถีไร้ลักษณ์ของเขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการอนุมานและการตระหนักรู้
“เจ้าตามข้ามา”
สตรีงามเพลิศพริ้งโบกมือครั้งหนึ่ง ประตูแสงเซียนบานหนึ่งก็ปรากฏ จากนั้นสตรีงามเพลิศพริ้งก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปภายใน ก่อนที่เงาร่างจะหายวับไป
ทะลุผ่านประตูแสงเซียนมาถึงอีกมิติหนึ่ง หลัวซิวเห็นว่ามีชายที่ร่างกายสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นปานมังกรคนหนึ่งปรากฏข้างกายสตรีงามเพลิศพริ้ง
“เฟยเสว่? เจ้ามาหาข้า หรือว่ามีคนบรรลุเงื่อนไขแล้ว?”ชายร่างยักษ์ถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนและตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย
เมื่อเขาเห็นหลัวซิวปรากฏ เงาร่างจึงกระพริบทีหนึ่งแล้วมาถึงด้านหน้าหลัวซิว “ไม่เลวเลยนี่! ฝ่าฟันขึ้นมาถึงด่านที่ห้าของเฟยเสว่ได้ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ เป็นอัจฉริยะที่มีปัญญาแห่งเซียนจริง ๆ!”
ชายร่างยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ปลดปล่อยพลังออร่าออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่หลัวซิวกลับสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่หาที่เปรียบไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นคือสัญชาตญาณบอกกับเขาว่าศักยภาพของชายร่างยักษ์คนนี้ แทบจะสามารถเทียบเคียงกับศิษย์พี่ตู๋กูของเขาได้แล้ว!
ตู๋กูอยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศแล้ว อีกทั้งศักยภาพบนวิถีกระบี่น่าทึ่ง เช่นนั้นการที่คนดังกล่าวสามารถทำให้เขารู้สึกเฉกเช่นเดียวกับตู๋กูได้นั้น ก็หมายความว่านี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่แทบจะเทียบทัดผู้แกร่งเลิศได้เช่นกัน!
“พ่อหนุ่ม หวังว่าเจ้าจะสามารถผ่านด่านความสามารถในการตระหนักรู้ไปได้นะ!”
ชายร่างยักษ์ยกมือขึ้นมา แล้วใช้นิ้วชี้ไปทางตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไปไกล เห็นเพียงมีศิลาที่โบราณและเรียบง่ายแท่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดนั้น พร้อมกับมีพลังออร่าของกาลเวลาที่เก่าแก่ไหลเวียนอยู่บนศิลา
“สิ่งที่อยู่บนศิลาแท่นนั้นก็คือพลังอมตะหลอมจิตที่เซียนทิ้งไว้ ด้วยแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อของเจ้า หากเจ้าสามารถตระหนักรู้ความล้ำลึกที่อยู่บนศิลาได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งเท่ากับพลังอมตะหลอมจิตสำเร็จน้อย แสดงว่าความสามารถในการตระหนักรู้ของเจ้าก็มีศักยภาพอยู่ในระดับเดียวกันกับเซียนเช่นกัน ทั้งยังเป็นการผ่านบททดสอบที่สองด้วย!”ชายร่างยักษ์กล่าวเช่นนี้
“หากเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่ตลอดกาล กระทั่งวันที่อายุขัยของเจ้าหมดสิ้น!”