มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2909 ทายาทเผ่าไท่ซ่าง

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2909 ทายาทเผ่าไท่ซ่าง

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2909

การเปิดออกของแดนบรรพกาลได้ดึงดูดสายตาของกองกำลังทั้งหลาย ในห้วงดาราที่เป็นทางเข้าของแดนปริศนา เมืองต้าฮวงโบราณและเมืองหวูยวนกำลังคุมเชิงกันอยู่ไกล ๆ

นอกจากประมุขเต๋าทั้งสอง รวมไปถึงเหล่าผู้สูงส่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชา วินาทีนี้มีจอมยุทธ์ระดับมกุฎเทพหกกงล้อถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อจำนวนมากต่างพากันเข้ามาในแดนบรรพกาลแล้ว

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าและผู้สูงส่งแล้ว เขตพื้นที่ที่แดนบรรพกาลเปิดออก ณ วินาทีนี้เป็นเพียงเขตพื้นที่รอบนอกเท่านั้น ซึ่งมีโชคโอกาสน้อยมากที่พวกเขาต้องตา

โดยส่วนใหญ่แล้ว ขอแค่เขตพื้นที่ที่เป็นใจกลางของแดนบรรพกาลเปิดออก ถึงจะมีโอกาสระดับผู้สูงส่งเป็นต้นไปปรากฏ

แต่กลับไม่มีคนใดทราบเลยว่ามาตรแม้นว่าเป็นเขตพื้นที่บริเวณรอบนอกสุดของแดนบรรพกาล ก็มีโชคโอกาสที่ยิ่งใหญ่คงอยู่เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นสถานสาสน์เต๋าที่หลัวซิวกำลังอยู่ ณ วินาทีนี้ ที่นี่คือสถานสืบทอดที่ผู้แข็งแกร่งวิถีเซียนคนหนึ่งทิ้งไว้ ซึ่งถือเป็นพรหมเซียนหนึ่งส่วนแล้ว!

แต่ว่าผู้คนในโลกาภายนอกล้วนไม่ทราบถึงการคงอยู่ของพรหมเซียนดังกล่าว เนื่องจากขอแค่เข้ามาในสถานสาสน์เต๋าแห่งนี้แล้ว นอกเสียจากเจ้าจะผ่านบททดสอบและได้รับการถ่ายทอดสืบสาน มิเช่นนั้นก็จะติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล กระทั่งสิ้นอายุขัย

ดังนั้นผู้คนในโลกาภายนอกจึงไม่ทราบความลับของสถานสาสน์เต๋าแห่งนี้ตลอดมา

บททดสอบที่สองคือความสามารถในการตระหนักรู้ จำเป็นต้องตระหนักพลังอมตะหลอมจิตให้ขึ้นไปถึงแดนสำเร็จน้อย ซึ่งเท่ากับธรรมเวชกาลล้นสำเร็จน้อย โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้นั้น ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ทั้งยังเป็นผู้โดดเด่นในหมู่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อด้วย

สำหรับจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อแล้ว การที่จะทำเรื่องที่ต้องก้าวข้ามสองแดนใหญ่บรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อถึงจะสามารถทำได้นั้น มันเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ

“พี่ใหญ่ตี้ขุย ท่านคิดว่าเขาต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะผ่านบททดสอบความสามารถในการตระหนักรู้หรือเจ้าคะ?”

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวเดินไปหน้าศิลา นั่งลงในท่าขัดสมาธิแล้วเริ่มตระหนักรู้ จึงมีความสงสัยและความตั้งตารอคอยเสี้ยวหนึ่งปรากฏบนใบหน้าที่งดงามของนักสาสน์เต๋าด่านห้าผู้มีนามว่าเฟยเสว่นั่น

อย่างไรเสียขอแค่มีคนสามารถผ่านด่าน เช่นนั้นนางก็จะได้รับอิสระแล้ว

ตี้ขุยที่เฟยเสว่กล่าวถึงก็คือนักสาสน์เต๋าในด่านหกนั่นเอง เห็นเพียงเขายิ้มพลางพยักหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วง เขาน่าจะสามารถผ่านได้อยู่ แต่ติดแค่เรื่องเวลาเท่านั้นแหละ”

การที่สามารถกลายเป็นนักสาสน์เต๋าของด่านที่หกได้นั้น ตัวตี้ขุยเองก็คือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอยู่แล้ว โลกทัศน์ประสบการณ์ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเห็นหลัวซิว เขาก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนี้ไม่ธรรมดามาก

“ร้อยปี? พันปี? หรือหมื่นปีเจ้าคะ?”เฟยเสว่กระพริบตาถี่ ๆ สภาพที่ดูซุกซนเหมือนน้องสาวกำลังอ้อนพี่ชาย ดูไม่เหี้ยมโหดอย่างครั้นสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอแม้แต่น้อย

“หมื่นปีแล้วอย่างไร? เราเฝ้าคอยอยู่ในนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพแล้ว เจ้ายังใส่ใจระยะเวลาแค่นี้อยู่อีกหรือ?”ตี้ขุยหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูด

“ข้าจักไม่ใส่ใจได้หรือ? นี่เป็นคนแรกที่ผ่านบททดสอบแรกหลังจากกาลเวลาผ่านพ้นมาไม่รู้กี่ยุคตรีภพแล้วนะ การที่อยากเจออัจฉริยะที่มีปัญญาระดับเซียนคนหนึ่งนั้น จักมีผู้ใดทราบบ้างเล่าว่าต้องรออีกกี่ยุคตรีภพ?”เฟยเสว่ทำปากจู๋พลางพูด

“อดทนรอไปก่อนเถิด ไม่เพียงเจ้าร้อนรน ข้าเองก็ด้วย พวกท่านพี่ก็ร้อนใจเช่นกัน เมื่อปีนั้นเราติดตามนักเซียนหลอมจิต อีกทั้งเฝ้าระวังการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่ เพื่อเฝ้าคอยผู้สืบทอดของท่านปรากฏ และนี่ก็คือภารกิจที่หนักอึ้งของเรา”ตี้ขุยพูดอย่างทอดถอนใจ

“เวิ่ง!”

ในช่วงเวลาที่เฟยเสว่และตี้ขุยทั้งสองคนพูดคุยกัน จู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังที่มากมายมหาศาลจุติลงมา เห็นเพียงมีลำแสงเซียนขนาดใหญ่สาดส่องลงมาจากขอบฟ้า แสงเซียนดั่งมังกร สาดส่องลงมา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวที่นั่งท่าขัดสมาธิอยู่หน้าศิลาจมหายไปในแสงเซียน

“นะนี่……”

เมื่อตี้ขุยเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็เบิกตากว้างอ้าปากค้างทันที

“เกิดอะไรขึ้น?”เฟยเสว่ทำหน้าสงสัย นางมิใช่นักสาสน์เต๋าในด่านหก จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีภาพเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

“บททดสอบความสามารถในการตระหนักรู้……เขาผ่านแล้ว……”มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่สุขุมอย่างตี้ขุย น้ำเสียงก็สั่นคลอนขึ้นมาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน

“ว่าอย่างไรนะ? เขาผ่านแล้ว?”เฟยเสว่ก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ ขนตายาวนั่นกระพริบขึ้นลง เหมือนดั่งดวงดาวที่เป็นประกายระยิบระยับ

จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งถามตี้ขุยไปเลยว่าหลัวซิวต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะผ่านบททดสอบที่สอง บางทีอาจเป็นร้อยปี หรืออาจเป็นพันปี และอาจจะเป็นหมื่นปีตลอดจนนานกว่านี้

แต่ทว่าในช่วงเวลาที่นางพูดคุยกับตี้ขุยเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวดั่งปีศาจนั่นถึงขั้นผ่านบททดสอบแล้วอย่างนั้นหรือ!

นี่ต้องเป็นความสามารถในการตระหนักรู้ที่เหลือเชื่อและแหกกฎสวรรค์มากเพียงใดกันนะ?

“สรุปแล้วนี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่?”

เฟยเสว่ก็รู้สึกเหลือเชื่อมากเช่นกัน ต่อให้จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนหนึ่งจักเชี่ยวชาญในธรรมเวชกาลล้น ทว่าหากต้องการตระหนักรู้พลังอมตะหลอมจิตให้บรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แน่นอน

เนื่องจากธรรมดั้งเดิมและพลังอมตะมีความหมายที่แตกต่างกัน เมื่อตระหนักรู้ธรรมที่เหมือนกัน จะสามารถวิวัฒนาการพลังอมตะที่แตกต่างกันออกมาได้ บางทีสิ่งที่เจ้าฝึกอาจจะเป็นธรรมเวชกาลล้น ทว่าหากการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลล้นของเจ้าไม่สอดคล้องกับพลังอมตะหลอมจิต เช่นนั้นขณะที่เจ้าตระหนักรู้พลังอมตะหลอมจิตก็จะไม่ชำนาญคล่องแคล่วขนาดนั้น

ส่วนพลังอมตะหลอมจิตก็เป็นพลังอมตะเฉพาะของนักเซียนหลอมจิตด้วย ผู้คนในโลกาภายนอกไม่มีทางฝึกได้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มที่มาจากโลกาภายนอกคนหนึ่ง ถึงขั้นใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ตระหนักรู้ถึงแดนสำเร็จน้อยแล้วอย่างนั้นหรือ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันน่าทึ่งเกินไปแล้วจริง ๆ

“สถานสาสน์เต๋าแห่งนี้คือสถานที่ที่กลายมาจากวิถีเซียนของนักเซียนหลอมจิตหลังจากท่านดับสลายสูญสิ้น พลังแห่งวิถีเซียนของที่นี่เป็นสัญลักษณ์ปณิธานของท่าน แสงเซียนจุติลงมาล้างบาป ซึ่งนี่ก็หมายความว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวสำเร็จบททดสอบโดยสมบูรณ์แล้ว ได้รับการยอมรับจากปณิธานของเซียน”

น้ำเสียงของตี้ขุยเต็มเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจ พวกเขาอยู่ในนี้ด้วยตัวตนของนักสาสน์เต๋าและเฝ้าดูแลรักษามายาวนานอย่างไม่รู้จบ และถือว่าได้พบเห็นรู้จักกับอัจฉริยะผู้มีความปราดเปรื่องในยุคหลังมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่กลับไม่มีคนใดสามารถเทียบเคียงกับคนดังกล่าวได้ และยิ่งไม่อาจเทียบเคียงกันได้ด้วยซ้ำ

“มาตรแม้นว่าเป็นนักเซียนหลอมจิต ครั้นเมื่อท่านอยู่ในแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ก็คงทำถึงขั้นนี้ไม่ได้หรอกกระมัง?”ตี้ขุยแอบนึกคิดในใจ

ในขณะเดียวกัน ก็มีปณิธานหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวที่อยู่ภายใต้การปกคลุมของแสงเซียน

ภายในตัวหยั่งรู้ ญาณเทวดั้งเดิมค่อย ๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา และมีแสงเซียนผนึกรวมกันอยู่หน้าญาณเทว ก่อนจะกลายเป็นรูปร่างลักษณะของผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกที่ผอมแห้งคนหนึ่ง

“ช่างเป็นผู้ที่มีอนาคตยาวไกลเสียจริง……”

เมื่อผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกเห็นญาณเทวของหลัวซิว ก็มีความชื่นชมทะลุออกมาจากแววตา

“ท่านคือผู้ใด?”

หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม ในใจเริ่มคาดเดาได้ลาง ๆ แล้ว

“ข้าก็คือนักเซียนหลอมจิต”ผู้อาวุโสผมเผ้าขาวหงอกตอบกลับอย่างไม่ปฏิเสธ

“วิถียุทธ์กลายเซียน จำเป็นต้องผ่านการแปรเปลี่ยนครั้งนับไม่ถ้วน วิญญาณดั้งเดิมเปลี่ยนจากสภาวะขมุกขมัวไร้รูปเป็นเทพจิต และจากเทพจิตค่อย ๆ ชุบผนึกรวมกันทีละขั้นจนกลายเป็นช่องจิต ค่อยเปลี่ยนจากช่องจิตเป็นญาณเทว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นภูตเซียน”

“ในยุคสมัยที่ข้าคงอยู่ ผู้ที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งและสามารถเปลี่ยนวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองจากช่องจิตให้กลายเป็นญาณเทวได้นั้น ก็ถือเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าที่อยู่ในแดนจักรพรรดิเจ็ดกงล้อกลับทำเช่นนี้ได้แล้ว”

นักเซียนหลอมจิตกวาดตามองญาณเทวของหลัวซิวอย่างพินิจพิเคราะห์ ภายในคำพูดเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

อย่างไรก็ตามหลัวซิวไม่ได้นำคำชื่นชมของนักเซียนหลอมจิตมาใส่ใจ เนื่องจากเซียนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ทราบแต่อย่างใดว่า อันที่จริงเขาผนึกรวมญาณเทวออกมาได้นานมากแล้ว

“เซียนอย่างข้าดับสลายสูญสิ้นมานานไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว การที่สามารถมีอัจฉริยะอย่างเจ้าสืบทอดประเพณีเต๋าของข้าได้นั้น ข้ารู้สึกปลื้มปิติอย่างยิ่ง”

นักเซียนหลอมจิตยิ่งมองหลัวซิวก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ อย่างไรเสียผู้ที่มีปัญญาเซียนคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถในการตระหนักรู้ระดับเซียนนั้น เป็นบุคคลที่หาพบได้ยากมากจริง ๆ

ยังไงซะตั้งแต่ยุคไท่ชูจวบจนปัจจุบัน ก็ผ่านพ้นมาไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพแล้ว แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดบรรลุมรรคผลกลายเซียนมาก่อน

ยิ่งกว่านั้นคือในมุมมองของนักเซียนหลอมจิต พรสวรรค์ปัญญาของหลัวซิวอาจไม่ได้อยู่แค่ระดับเซียนเท่านั้น!

“พ่อหนุ่ม เจ้าชื่ออะไรหรือ?”นักเซียนหลอมจิตถาม

“ผู้น้อยหลัวซิวขอรับ”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียน เขาก็ไม่กล้าเสียมารยาทเช่นกัน

“แซ่หลัว?”นักเซียนหลอมจิตขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าไม่ใช่คนในชนเผ่าไท่ซ่างหรือ? เหตุใดข้าจึงสัมผัสออร่าของชนเผ่าไท่ซ่างได้จากวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า?”

“ชนเผ่าไท่ซ่างหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้นมาทันที สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือตัวตนในอดีตชาติของตัวเอง ไท่ซ่างฉิง!

เขาในอดีตชาติมีนามว่าไท่ซ่างฉิง หรือว่าบททดสอบนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่าไท่ซ่าง?

“ชนเผ่าไท่ซ่างที่ผู้อาวุโสกล่าวถึงหมายความว่าอย่างไรขอรับ?”หลัวซิวไต่ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว

นักเซียนหลอมจิตมองหลัวซิวด้วยสายตาที่แปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่รู้จักชนเผ่าไท่ซ่างแต่อย่างใด

“อนาคตหากเจ้ากลายเซียน เจ้าก็จักทราบเอง”นักเซียนหลอมจิตไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็ตอบกลับอย่างกำกวม

“เพราะเหตุใดหรือขอรับ?”หลัวซิวขมวดคิ้ว

“หากเจ้าเป็นทายาทของชนเผ่าไท่ซ่าง เช่นนั้นวินาทีที่เจ้าบรรลุเป็นเซียน เจ้าก็จะปลุกตื่นความทรงจำสืบสานที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวิญญาณดั้งเดิม”

นักเซียนหลอมจิตส่ายหน้าพลางพูด: “นี่คือวิธีการสืบทอดที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไท่ซ่าง ถ้าเกิดแม้แต่เซียนยังบรรลุไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่เหมาะกับการเป็นคนในชนเผ่าไท่ซ่างแล้ว”

“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในชนเผ่าไท่ซ่างจะมีการสืบทอดสายเลือดต่อกันรุ่นสู่รุ่นจริง ๆ ด้วย หากเจ้าเป็นทายาทของชนเผ่าไท่ซ่าง เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าฝึกก็น่าจะเป็นไร้ลักษณ์ไร้กฎสินะ?”

เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็รู้สึกตะลึงงันขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่าไร้ลักษณ์ไร้กฎที่นักเซียนหลอมจิตกล่าวถึงก็คือวิถีไร้ลักษณ์ที่ตัวเองฝึก?

หรือว่าวิถีไร้ลักษณ์ไม่ใช่ธรรมวิถีที่ตัวเองริเริ่มออกมา แต่เป็นเพราะตัวเองเป็นทายาทของเผ่าไท่ซ่าง ฉะนั้นจึงสามารถฝึกวิถีไร้ลักษณ์ได้?

หลัวซิวอยากสอบถาม แต่ดูเหมือนนักเซียนหลอมจิตจะรู้แล้วว่าเขาจะถามอะไร จึงยิ้มอย่างเรียบนิ่งแล้วพูด: “มีเพียงคนในเผ่าไท่ซ่างเท่านั้นถึงจะฝึกไร้ลักษณ์ไร้กฎได้ ทว่าแม้นจักเป็นธรรมวิถีเดียวกัน สิ่งที่ฝึกได้ของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าฝึกเป็นของตัวเจ้าเอง มีเพียงเชื่อมั่นในวิถีของตัวเอง ถึงจะสามารถกลายเป็นเซียนที่แท้จริงได้”

“เหลือเวลาไม่มากแล้ว ทันทีที่เงาสะท้อนปณิธานปรากฏ นั่นก็หมายความว่าปณิธานเสี้ยวหนึ่งของข้าที่คงอยู่ในนี้จะสลายหายไปจากฟ้าดินโดยสิ้นเชิงแล้ว ข้าหวังแค่ว่าเจ้าจะสามารถสืบทอดวิถีหลอมจิตของข้าต่อไป แล้วตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมให้แก่ข้า……”

“ข้าได้ทิ้งของสามสิ่งไว้ในสถานสาสน์เต๋า หวังว่ามันจะช่วยเหลือเจ้าได้”

เงาร่างของนักเซียนหลอมจิตสลายหายไปแล้ว แสงเซียนที่ปกคลุมอยู่บนตัวเขาก็สลายหายไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แล้วหลอมรวมเข้าไปในร่างกายหลัวซิว

แสงเซียนเหล่านี้คือพลังแห่งวิถีเซียนที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ ซึ่งแตกต่างจากพลังแห่งวิถีเซียนของหลัวซิว เพราะนี่คือพลังแห่งเซียนที่แท้จริง!

แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบก็ตาม พลังเซียนที่แฝงซ่อนอยู่ในแสงเซียนเบาบางมาก ๆ แล้ว ทว่าต่อให้มีเพียงเสี้ยวเดียว มันก็เป็นโชคโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับหลัวซิวในปัจจุบันที่ผลการฝึกตนอยู่แค่จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ

“โครม!”

ในช่วงที่พลังแห่งเซียนหลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขาเองโดยธรรมชาติ พลังที่มากมายมหาศาลก็ม้วนซัดอยู่ภายในร่างกายหลัวซิว เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าผลการฝึกตนของตัวเองกำลังพุ่งสูงขึ้นด้วยระดับความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียว ก็ทลายพันธนาการติดต่อกันหลายครั้ง!

ระดับความเร็วในการยกระดับเช่นนี้ อย่าว่าแต่ยาเซียนเก้ากงล้อเลย มาตรแม้นว่าเป็นประสิทธิผลของยาเซียนสิบกงล้อก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้!

และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความล้ำลึกของวิถีเซียนที่แฝงซ่อนอยู่ในพลังแห่งเซียนได้ชะล้างร่างกายเขา ทำให้ร่างเนื้อของเขามีความเป็นเซียนแฝงซ่อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งญาณเทวดั้งเดิมของเขาก็ได้หลอมรวมเข้ากับแสงเซียนเช่นกัน จนมีออร่าของภูตเซียนแผ่กระจายออกมาลาง ๆ!

การตระหนักรู้ในพลังแห่งเซียนทำให้หลัวซิวดื่มด่ำอยู่ในสภาวะที่ลึกลับและมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท