มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2910
ภายใต้สภาวะที่ผลการฝึกตนได้รับการยกระดับอย่างรวดเร็ว หลัวซิวรู้สึกแค่ว่าเวลาล่วงเลยไปเพียงชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ผลการฝึกตนของเขาก็บรรลุจากจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลางขึ้นมาถึงจักรพรรดิเทพช่วงปลายแล้ว
ภายใต้การปิดกั้นจากวิถีเซียนแห่งสถานสาสน์เต๋า ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธไม่ได้จุติลงมาแต่อย่างใด ผลการฝึกตนของเขายังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เช่นเคย
ต่อมาไม่นานนัก ผลการฝึกตนของเขาก็บรรลุถึงจักรพรรดิเทพขั้นสูง ส่วนพลังวิถีเซียนที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายเขากลับใช้ไปไม่มากนัก หากเขาต้องการละก็ สามารถทลายพันธนาการได้อย่างง่ายดาย แล้วบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อโดยตรงได้เลย หรืออาจจะบรรลุถึงแดนที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้
แต่หลัวซิวกลับไม่ทำเช่นนั้น แม้เขาจะมีแดนในอดีตชาติแล้วไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับการยกระดับผลการฝึกตน ทว่าท้ายที่สุดแล้วการฝึกยุทธ์ในภพชาตินี้ของเขาก็แตกต่างจากอดีตชาติ เขาไม่อยากทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนส่งผลให้รากฐานของตัวเองไม่มั่นคง แล้วส่งผลกระทบต่อผลสำเร็จในอนาคต
ดังนั้นเขาจึงระงับอารมณ์ชั่ววูบในการยกระดับผลการฝึกตน ก่อนจะทำการผนึกพลังวิถีเซียนที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายไว้ตรงจุดตันเถียน แล้วกลายเป็นลูกแก้วที่มีแสงสีแดงเป็นประกายระยิบระยับจาง ๆ หนึ่งลูก
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าด้านหน้าตัวเองมีเงาร่างยืนอยู่หลายร่าง
“กราบคารวะนายน้อยขอรับ!”
เมื่อชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เป็นผู้นำเห็นว่าหลัวซิวลืมตาขึ้นมา เขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เสียงของเขาสะท้อนเข้าไปในหูทุกคน ก่อนจะชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น แล้วคารวะคำนับไปทางหลัวซิว
“กราบคารวะนายน้อย!”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่มรูปงามคนดังกล่าวต่างพากันคุกเข่ากราบ เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมา ดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูงุนงงไปอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขาก็เห็นว่าข้างกายของชายหนุ่มรูปงามนั่นยังมีคนอีกหลายคนเลย
ซึ่งในจำนวนคนทั้งหมดมีเฟยเสว่ นักสาสน์เต๋าในด่านที่ห้า รวมไปถึงตี้ขุยในด่านที่หก
“ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร?”หลัวซิวเอ่ยปากสอบถาม เขาคาดเดาว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาได้รับการถ่ายทอดสืบสานของนักเซียนหลอมจิต
“นายน้อยได้รับการยอมรับจากนักเซียนหลอมจิต ทั้งหลอมรวมเข้ากับกำลังเซียนหลอมจิต จึงต้องเป็นนายน้อยของเราอยู่แล้วขอรับ”ชายหนุ่มรูปงามที่เป็นผู้นำเอ่ยปากตอบกลับอย่างผ่อนคลาย: “ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา เราทั้งหลายล้วนเป็นพี่น้องที่เคยกล่าวคำสาบานว่าจะติดตามนักเซียนหลอมจิต”
ในขณะที่ชายหนุ่มรูปงามพูดอยู่นั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าร่างกายของพวกเฟยเสว่และตี้ขุยไม่ได้เกิดจากการผนึกรวมกันของแสงเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่มีออร่าชีวิตที่แท้จริง มีร่างกายที่แท้จริงแล้ว!
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ร่างกายของพวกเขาล้วนอยู่ในสภาวะนอนหลับใหล ซึ่งผสมผสานเข้ากับพลังวิถีเซียนของทั้งสถานสาสน์เต๋า ภายใต้ประสิทธิผลจากพลังแห่งวิถีเซียน ทำให้พวกเขากลายเป็นนักสาสน์เต๋าที่เฝ้าคอยผู้สืบทอดเซียน
ปัจจุบันผู้สืบทอดได้อุบัติขึ้นมาแล้ว ซึ่งภารกิจของพวกเขาก็สำเร็จแล้วเช่นกัน ร่างกายที่นอนหลับใหลจึงฟื้นตื่นขึ้นมาด้วย
“นายน้อย ข้าชื่อต้วนคงขอรับ อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตขอรับ”ชายหนุ่มรูปงามก้าวเดินขึ้นมาแล้วพูด
“นายน้อย ข้าชื่อฉื้อหลง อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการรองของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะสีแดงฉานยิ้มพลางพูด
“นายน้อย ข้า……”
กองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตมีผู้บังคับบัญชาทั้งหมดห้าคน เฟยเสว่และตี้ขุยก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ส่วนนักสาสน์เต๋าผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อที่เฝ้าอยู่ในด่านที่ห้านั้น เป็นเพียงร่างผันหนึ่งของเฟยเสว่เท่านั้น
และผลการฝึกตนที่แท้จริงของเฟยเสว่คือผู้แกร่งเลิศ! หรือว่าผู้สูงส่งขั้นสูงนั่นเอง!
ไม่เพียงแค่เฟยเสว่เท่านั้น ยังมีผู้บัญชาการอีกสามคนก็มีผลการฝึกตนอยู่ที่ผู้สูงส่งขั้นสูงเช่นกัน
ส่วนผู้บัญชาการใหญ่อย่างต้วนคงนั้น ยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า!
นอกจากผู้บัญชาการทั้งห้าคนนี้แล้ว เบื้องล่างของพวกเขายังมีนายพลอีกสิบคน ซึ่งล้วนมีผลการฝึกตนเป็นผู้สูงส่งทุกคน!
พลังอำนาจที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากมองในมุมโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดในยุคปัจจุบัน มันเป็นเรื่องที่น่าตะลึงงันมากเพียงใด?
เมื่อหลัวซิวทราบผลการฝึกตนของคนเหล่านี้ เขาก็ยืนผงะอยู่กับที่เช่นกัน สภาพจิตใจฮึกเหิม นานมากก็ไม่อาจกลับมาสงบเหมือนเดิมได้
“นายน้อย นี่คือสิ่งที่เซียนมอบให้ท่านขอรับ”
และในเวลานี้เอง ต้วนคงก็เดินมาด้านหน้าหลัวซิว มือทั้งสองข้างกำลังรองกล่องหยกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงแล้วยื่นไปด้านหน้าหลัวซิว
หลัวซิวไม่ได้สงสัยในตัวเขา ยกมือขึ้นไปเปิดกล่องหยกออก ก่อนจะพบว่าภายในกล่องหยกมีของวางอยู่สามชิ้น
เมื่อครู่เขาได้สื่อสารกับปณิธานเงาสะท้อนของนักเซียนหลอมจิตอยู่ในตัวหยั่งรู้แล้ว และนักเซียนหลอมจิตก็เคยบอกเช่นกันว่าเขาได้ทิ้งสมบัติให้ตัวเองสามชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นสามชิ้นนี้แหละ
สมบัติที่อยู่ฝั่งซ้ายคือขวดหยกสีแดงฉานหนึ่งใบ บนขวดมีสัญลักษณ์วิถีเซียนที่ถี่ยิบสลักอยู่ ลักษณะภายนอกของขวดหยกประณีตสวยวิจิตร มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ
เสี้ยววินาทีที่มือของหลัวซิวได้สัมผัสกับขวดหยกสีแดงนั่น ก็มีข้อมูลหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปในตัวหยั่งรู้เขาทันที
ขวดเซียนอัคคีหลอมจิต ภายในมีเซียนอัคคีหลอมจิตผนึกอยู่ ซึ่งสามารถกลั่นทุกสรรพสิ่ง!
มณีวิถีเซียน!
แววตาของหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นี่คือสมบัติที่เซียนทิ้งไว้เชียวนะ มาตรแม้นว่าเป็นอัญมณีดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวง ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับมันได้
แน่นอนอยู่แล้วว่ามูลค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอัญมณีดั้งเดิมคือมันมีความสามารถในการเจริญเติบโต หากหอคอยฮวงก็สามารถวิวัฒนาการเป็นมณีวิถีเซียนได้เหมือนกันละก็ เช่นนั้นขวดเซียนอัคคีหลอมจิตก็ไม่สามารถเทียบเคียงพลานุภาพกับมันได้อย่างแน่นอน
ทว่าต่อให้ศักยภาพของอัญมณีดั้งเดิมจักยิ่งใหญ่มากเพียงใด หากไม่สามารถบรรลุเป็นภัณฑ์เซียน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้เพียงสมบัติระดับมณีมกุฎเต๋า
หลัวซิวพยายามถ่ายเทพลังแห่งวิถีเซียนดวงหนึ่งเข้าไปในขวดเซียนอัคคีหลอมจิต จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าเซียนอัคคีที่แฝงซ่อนอยู่ในขวดมีท่าทีที่จะลุกโชน พลานุภาพที่แฝงซ่อนอยู่เซียนอัคคีน่าสยดสยองอย่างยิ่ง แต่เมื่อหลัวซิวกระตุ้นมันกลับทำได้ยากลำบากมาก เขาสันนิษฐานว่าหากใช้ผลการฝึกตนทั้งหมดของตัวเองจนแห้งเหือด อย่างมากสุดการที่สามารถกระตุ้นเซียนอัคคีที่อยู่ภายในขวดให้เกิดเป็นเปลวไฟได้นั้น ก็ถือว่าไม่เลวมาก ๆ แล้ว
แม้นบัดนี้จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่มูลค่าของสมบัติชิ้นนี้กลับสูงส่งอย่างยิ่ง อนาคตคอยผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้น มันต้องกลายเป็นอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งที่สามารถสร้างภัยคุกคามต่อผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าส่วนมากได้แน่นอน
ใช้พลังแห่งวิถีเซียนผนึกรวมตราประทับ หลัวซิวเก็บขวดเซียนอัคคีหลอมจิตเข้าไปในหว่างคิ้ว จากนั้นสายตาก็ร่วงลงบนสมบัติชิ้นที่สอง
สมบัติชิ้นที่สองคือลูกแก้วหนึ่งลูก เมื่อแผ่ขยายตัวสำนึกเข้าไปภายใน ก็จะมีข้อมูลจำนวนมากพรั่งพรูเข้าไปในตัวหยั่งรู้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่านักเซียนหลอมจิตได้นำการตระหนักรู้อันนับไม่ถ้วนบนวิถีเซียนหลอมจิตของตัวเองผนึกรวมอยู่ในลูกแก้วลูกนี้
การตระหนักรู้ทั้งชีวิตของเซียนองค์หนึ่ง มันมีมูลค่าที่ล้ำค่ามากเพียงใด ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกธรรมเวชกาลล้น เมื่อได้สัมผัสกับการตระหนักรู้ของเซียนแล้ว ก็สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ใกล้เคียง จนยกระดับแดนยุทธ์ของตัวเองได้เช่นกัน
สมบัติชิ้นสุดท้ายคือม้วนหยกหนึ่งชิ้น เนื้อหาที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกชิ้นนี้ก็อยู่ในการคาดหมายโดยสิ้นเชิงเลย ซึ่งมันก็คือวรยุทธ์และพลังอมตะที่นักเซียนหลอมจิตได้ริเริ่ม
พลังอมตะหลอมจิต รวมไปถึงคัมภีร์เซียนหลอมจิต
นักเซียนหลอมจิตไม่ใช่นักเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นในวรยุทธ์วิถีเซียนของเขา จึงไม่มีความล้ำลึกของวรยุทธ์กลั่นร่างปนอยู่
หลัวซิวมองโดยคร่าว ๆ รอบหนึ่ง เขาก็รู้แล้วว่าถึงแม้ระดับขั้นของวรยุทธ์ดังกล่าวจะสูงกว่าเคล็ดเซียนแปรเก้า แต่มันกลับไม่เหมาะสมกับตัวเอง
หลังจากหลัวซิวเก็บสมบัติทั้งสามชิ้นนี้เข้าที่แล้ว มิติที่เป็นที่ตั้งของสถานสาสน์เต๋าก็เริ่มพังทลาย บนท้องฟ้าที่มืดสลัวมีรอยร้าวที่นับไม่ถ้วนปรากฏ แสงเซียนที่ผนึกรวมกันอยู่ในอนัตตาเริ่มหม่นหมองลงไปอย่างต่อเนื่อง
ต้วนคง ฉื้อหลง เฟยเสว่ผู้บัญชาการทั้งห้าคนยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิว แม้นพวกเขาจะถูกพันธนาการอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนานก็ตาม ทว่าเมื่อถึงวันที่สถานสาสน์เต๋าหายไปจริง ๆ ถึงพวกเขาจะได้รับอิสระ แต่ในใจก็ยังรู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อยอยู่ดี
อย่างไรเสียนักเซียนหลอมจิตที่พวกเขาเคยติดตามไม่คงอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว
กองทัพเทพมารที่นอนหลับใหลอยู่ในสถานสาสน์เต๋ามีทั้งหมดห้าพันกว่าคน จำนวนไม่มาก ทว่าทุกคนล้วนเป็นบุคคลอัจฉริยะ ทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง แม้แต่ผู้ที่มีผลการฝึกตนอ่อนที่สุดก็อยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเช่นกัน
หลังจากหลัวซิวได้รับการถ่ายทอดสืบสานแล้ว ร่างเนื้อของนักสาสน์เต๋าตั้งแต่ด่านแรกถึงด่านที่สี่ก็ถูกผนึกรวมออกมาอยู่ในแสงเซียนใหม่อีกครั้ง บนใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งความสุขใจ
ในส่วนของคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในสถานสาสน์เต๋าแล้วไม่ผ่านบททดสอบ จนถูกนักสาสน์เต๋าสังหารนั้น ก็ไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกแล้ว
วิถีการฝึกยุทธ์เป็นวิถีที่ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ผู้ด้อยกว่าถูกคัดออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความอันตรายและโอกาสต่าง ๆ คงอยู่ร่วมกัน หากตายไปแล้วก็โทษผู้ใดมิได้ คงโทษได้แค่ว่าตัวเจ้าดีไม่มากพอ ไม่มีวาสนาที่จะได้ดื่มด่ำกับโชคโอกาสนั้นนั้น
หลังจากสถานสาสน์เต๋าหายไปแล้ว หลัวซิวก็กลับมาถึงพื้นที่ปริภูมิของแดนบรรพกาลใหม่อีกครั้ง พื้นที่ของทั้งแดนบรรพกาลกว้างใหญ่อย่างยิ่ง สถานที่อย่างสถานสาสน์เต๋าล้วนตั้งอยู่ในพื้นที่มิติที่อิสระ
หลังจากหลัวซิวพาพวกต้วนคงออกมาแล้ว ก็เห็นว่าในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังโจมตีค่ายกลต้องห้ามค่ายหนึ่งอยู่
ซึ่งค่ายกลต้องห้ามดังกล่าวกำลังปกคลุมยอดเขาสีดำหนึ่งลูก บนยอดเขามีวัตถุดิบหายากและต้นยาเซียนล้ำค่าจำนวนมาก ซึ่งไม่ขาดแคลนระดับจักรพรรดิเก้ากงล้อ มากไปกว่านั้นคือสามารถมองเห็นของดี ๆ อย่างระดับผู้สูงส่งสิบกงล้อได้อยู่เป็นระยะ ๆ ด้วย
หลัวซิวและคนอีกห้าพันกว่าคนปรากฏพร้อมกัน ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ที่กำลังรุมโจมตีค่ายกลต้องห้ามต่างตื่นตกใจทันที
“เมืองหวูยวน?”
หลัวซิวแค่มองเสื้อผ้าและพลังออร่าบนตัวเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหน้า ก็รู้แล้วว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่กำลังรุมโจมตีค่ายกลต้องห้ามล้วนเป็นคนในเมืองหวูยวน
“หลัวซิว? ฆ่ามัน!”
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผู้นำฝั่งเมืองหวูยวนก็เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแวบเดียวเขาก็จำหลัวซิวได้แล้ว ก่อนจะออกคำสั่งให้ผู้คนพุ่งสังหารเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เนื่องจากครั้นเมื่อเข้ามาในแดนบรรพกาล ประมุขเต๋าหวูยวนและผู้สูงส่งทั้งหลายก็เคยกำชับกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้ออย่างพวกเขาแล้วว่า หากมีโอกาสจำเป็นต้องสังหารหลัวซิวโดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร!
เมื่อหลัวซิวเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็ขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ แม้นข้างกายเขาจะมีกองทัพเทพมารของนักเซียนหลอมจิต จากกำลังรบของกองทัพเทพมาร การที่จะสังหารพวกคนในเมืองหวูยวนนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายเพียงดีดนิ้วทีเดียว
แต่หลัวซิวก็เข้าใจดีมากเช่นกันว่าในโลกของผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธ์ สุดท้ายแล้วผู้แข็งแกร่งก็ย่อมเป็นเจ้าเสมอ ผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ แค่อาศัยตัวตนผู้สืบทอดของนักเซียนหลอมจิต จักสามารถควบคุมคนเหล่านี้ได้จริง ๆ หรือ?
แม้พวกต้วนคง ฉื้อหลง เฟยเสว่ ตี้ขุยจะเกรงอกเกรงใจต่อตนเอง ลักษณะท่าทีก็ดูอ่อนน้อมมาก ๆ ทว่าแท้จริงแล้วจิตใจหลัวซิวกลับสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในตัวเองอย่างแท้จริง สาเหตุที่พวกเขาเกรงอกเกรงใจต่อตนเองนั้น เป็นเพราะเขาคือผู้สืบทอดของนักเซียนหลอมจิต แต่ไม่ใช่เพราะเขาคือหลัวซิว
“อยู่ต่อหน้านายน้อย จักปล่อยให้พวกมดตัวจ้อยกำเริบเสิบสานได้อย่างไร?”
ผู้บัญชาการสามไจ๋เฉิงตวาดอย่างเยือกเย็น เห็นเพียงเขายกมือโบกครั้งหนึ่ง แล้วตะคอกเสียงดัง: “กองทัพไจ๋เฉิง กำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”
“รับทราบ! ผู้บัญชาการ!”
กองทัพไจ๋เฉิงพันนายตะโกนเสียงดัง ก่อนจะพุ่งสังหารออกไปรวดเร็วปานลมกรด ไจ๋เฉิงและนายพลระดับผู้สูงส่งอีกสองคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องรักษาภาพลักษณ์ จึงไม่ได้ลงมือด้วยตนเองแต่อย่างใด
นักรบทุกคนในกองทัพเทพมารล้วนเป็นบุคคลอัจฉริยะ แต่ทว่าจำนวนคนหนึ่งพันและแปดพันกว่าคน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสุดท้ายมันก็แตกต่างกันเยอะมากอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะอาศัยค่ายใหญ่หลอมจิตที่ทุกคนต่างชำนาญ เกรงว่าคงถูกคนในเมืองหวูยวนฆ่าล้างไปหมดแล้ว
“กองทัพเฟยเสว่ฟังคำสั่ง ฆ่า!”เฟยเสว่ที่เป็นสตรีหนึ่งเดียวในผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“กองทัพต้วนคง ฆ่า!”
“กองทัพฉื้อหลง……”
“กองทัพตี้ขุย! ……”
นอกจากผู้บัญชาการทั้งห้าและนายพลทั้งสิบ ห้าพันคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาล้วนพุ่งสังหารออกไป แม้นจักเสียเปรียบเรื่องจำนวนคนอยู่เช่นเคย แต่กลับได้เปรียบด้านคุณภาพ ไม่นานนักทั้งแปดพันคนของเมืองหวูยวนก็ถูกสังหารจนถอถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง เลือดสีแดงสดไหลนองเป็นทาง
หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่ แค่ยืนมองเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างเย็นชา จากกิริยาท่าทางในเมื่อครู่นี้ ก็สามารถมองออกแล้วว่าผู้บัญชาการทั้งห้าของกองทัพเทพมาร เหมือนจะไม่ได้นำเขาที่เป็นนายน้อยไปไว้ในสายตาจริง ๆ
เพราะว่าถ้าเกิดพวกเขานำเขาไปไว้ในสายตาจริง ๆ ละก็ ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งของเขา พวกเขาจักลงมือโดยพลการได้อย่างไร?
กองทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียนต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเด็ดขาดและยุติธรรมอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำสั่ง การไม่ทำอะไรโดยพลการยิ่งเป็นกฎเหล็กในกองทัพ!
แต่ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นเพียงการตำหนิในใจของหลัวซิวเท่านั้นแหละ เขาเป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ไม่ได้คาดหวังว่ากองทัพเทพมารขบวนนี้จะสามารถทุ่มแรงกายแรงใจให้ตัวเองด้วยความสมัครใจ มิหนำซ้ำเขาก็ได้รับผลประโยชน์จากการถ่ายทอดสืบสานของนักเซียนหลอมจิตมามากพอแล้ว