มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2911
แม้นจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคนก็ตาม ทว่าหลังจากผ่านไปเพียงชั่วขณะ จอมยุทธ์ฝั่งเมืองหวูยวนก็ถูกปราบปรามจนหวาดหวั่น
หมอกเลือดที่ระเบิดแตก ชิ้นส่วนร่างกายที่กระจัดกระจายทำให้มีกลิ่นคาวเลือดที่น่าขยะแขยงตลบฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า กลางอนัตตาที่ถูกพลังอมตะโจมตีจนแตกสลายยังมีเศษชิ้นส่วนของขลังอาวุธเทพต่าง ๆ ลอยอยู่ด้วย ทำให้ทั้งสนามรบดูได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง
ซึ่งนี่เป็นเพียงการเข่นฆ่าในขอบเขตคนหลักหมื่นเท่านั้น หากเป็นสนามรบที่มีผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธ์หลักแสน ตลอดจนหลักล้าน หลักสิบล้านเข่นฆ่ากัน แล้วมันจะเป็นภาพฉากที่น่าเวทนาและน่ากลัวมากเพียงใดกัน?
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลัวซิวก็เคยผ่านสงครามเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน ทว่ามันกลับแตกต่างจากสนามรบที่แทบจะเป็นการฆ่าล้างเช่นนี้
กำลังรบของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชานักเซียนหลอมจิตไม่ใช่สิ่งที่คนในเมืองหวูยวนสามารถเทียบเคียงได้ ต่อให้ผลการฝึกตนจะอยู่ในแดนเดียวกัน นักรบคนหนึ่งของกองทัพเทพมารก็สามารถต่อกรกับศัตรูสามคนพร้อมกันได้อย่างง่ายดายเลย ยิ่งกว่านั้นคือกองทัพเทพมารอาจเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าด้วย
แม้นจำนวนกองทัพเทพมารขบวนนี้จะมีเพียงห้าพันคน แต่ถ้าเกิดนับรวมกับผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าและนายพลผู้สูงส่งสิบคนนั้นแล้ว แค่อาศัยห้าพันคนนี้ หลัวซิวก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าสามารถกวาดล้างกองทัพนับแสนของเมืองหวูยวนที่ปักหลักอยู่ด้านนอกได้อย่างแน่นอน
การต่อสู้ดำเนินการไปไม่ถึง 15 นาที คนในเมืองหวูยวนก็ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อก็หนีความตายไม่พ้น
นักรบของกองทัพเทพมารเริ่มเก็บกวาดสนามรบ เก็บแหวนเก็บของรวมไปถึงของขลังอาวุธเทพต่าง ๆ ของเหล่าจอมยุทธ์ที่ตายไปแล้ว แม้ระดับของสมบัติต่าง ๆ จะไม่เหมือนกัน ทว่าหากนำมารวมเข้าด้วยกัน มันก็เป็นทรัพย์สินก้อนหนึ่งที่น่าดูเลยทีเดียว
และมันก็เป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย หลังจากกองทัพเทพมารเก็บกวาดสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดอกผลที่เหล่านักรบได้มาไม่ได้ถูกส่งมายังมือเขาแต่อย่างใด แต่ต่างถูกส่งไปยังมือของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้า
“นายน้อย ต้องการให้เราช่วยทลายค่ายกลต้องห้ามดังกล่าวหรือไม่?”ไจ๋เฉิงที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสามของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้ามองไปทางหลัวซิว อมยิ้มพลางถามอย่างเรียบนิ่ง
ค่ายกลต้องห้ามที่เขาหมายถึงย่อมต้องเป็นตัวต้องห้ามที่กลุ่มคนเมืองหวูยวนในเมื่อครู่นี้กำลังโจมตีอยู่แล้ว บนยอดเขาที่อยู่ในตัวต้องห้ามมีวัตถุดิบและต้นยาเซียนต่าง ๆ เยอะมาก
ตัวสำนึกของหลัวซิวได้กวาดสำรวจค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบยอดเขาดังกล่าวตั้งนานแล้ว พบว่าระดับของค่ายกลต้องห้ามดังกล่าวไม่ต่ำ อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับผู้สูงส่ง
อย่างไรเสียเมื่อครู่จำนวนคนแปดพันคนในเมืองหวูยวนร่วมมือกันโจมตีอยู่สักพัก ก็ยังทลายไม่ได้เลย หากอาศัยศักยภาพของตัวหลัวซิวเอง เขารู้ตัวเองดีอยู่ว่าตนก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
ส่วนการทลายค่ายกลนั้น ผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขาต่ำเกินไป ซึ่งยังไม่สามารถทลายตัวต้องห้ามระดับสูงเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นก็รบกวนทุกท่านด้วยล่ะ”หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ สีหน้าอารมณ์ไม่มีความแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย
“กางค่าย!”
ไม่ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าลงมือ นายพลระดับผู้สูงส่งสิบคนโบกมือครั้งหนึ่ง เทพมารจำนวนมากที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา ก่อนจะทำการจัดวางค่ายใหญ่หลอมจิตขนาดใหญ่กลางอนัตตาอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวได้รับไข่มุกเต๋าที่ผนึกรวมมาจากการตระหนักรู้ทั้งชีวิตของนักเซียนหลอมจิต จึงต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าค่ายใหญ่หลอมจิตนี่ก็เป็นค่ายกลที่เซียนริเริ่มเช่นกัน เมื่อใช้นายพลระดับผู้สูงส่งสิบคนเป็นกำลังหลัก ควบคู่กับเทพมารห้าพันคน เพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นพลานุภาพที่เทียบเท่าผู้แกร่งเลิศออกมาได้แล้ว
ภายใต้การกระตุ้นจากนายพลทั้งสิบ พลานุภาพของค่ายใหญ่หลอมจิตก็แย้มบานออกมา รัศมีสีแดงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรู แล้วประกอบเป็นเพลิงอัคคีที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง ภายใต้การกลั่นแปรแผดเผาจากเพลิงอัคคี ม่านแสงของค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบยอดเขาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะค่อย ๆ เบาบางลง หม่นหมองลง
หลังจากที่ผ่านไปไม่นานนัก ค่ายกลต้องห้ามก็ถูกทลายทิ้ง แต่คนในกองทัพเทพมารกลับไม่ได้เข้าไปเก็บวัตถุดิบและสมบัติบนยอดเขา
“นายน้อย ของทั้งหมดนี้เป็นของท่านแล้วขอรับ”ผู้บัญชาการสามไจ๋เฉิงเอ่ยปากพูด
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าพวกต้วนคงและไจ๋เฉิงคิดจะทำอะไรกันแน่ ทว่าเขากลับไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด แต่เป็นการส่ายหน้าแล้วพูดว่า: “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นผู้ทลายค่ายกลต้องห้าม ของที่อยู่ภายในย่อมต้องเป็นของพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“เหอะ ๆ นายน้อยอย่าล้อเล่นเลยขอรับ ท่านคือนายน้อย ทุกอย่างที่เป็นของเราก็คือของท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ ตั้งแต่สถานสาสน์เต๋าหายไปเป็นต้นมา แค่ดูจากลักษณะท่าทีที่คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อตัวเอง ก็สามารถดูออกได้แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ได้นำเขาที่เป็นนายน้อยไปใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
หลัวซิวไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาต่อหน้า เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพของตัวเองไม่โดดเด่นอะไรด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าเลย แค่นายพลระดับผู้สูงส่งคนใดคนหนึ่งลงมือ ก็สามารถกำจัดตนทิ้งได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือนั้น บางทีอาจเป็นเพราะกำลังกังวลในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
หลัวซิวไม่ได้บ่ายเบี่ยงต่อ ตัวสำนึกอยู่ในสภาวะที่เฝ้าระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หกระเหินเดินฟ้าเข้าไปในยอดเขาที่อยู่ด้านบน แล้วโบกมือเก็บวัตถุดิบหลอมอาวุธและต้นยาเซียนต่าง ๆ เข้าไปในแหวนเก็บของ
ในขณะที่หลัวซิวกำลังเก็บวัตถุดิบเหล่านี้อยู่นั้น มีความเยือกเย็นเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาของนายพลคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายไจ๋เฉิง
“ผู้บัญชาการ จะ……”นายพลคนดังกล่าวทำท่าใช้มือปาดคอ ดูจากความเยือกเย็นที่เขามองแผ่นหลังหลัวซิวก็ทราบได้แล้วว่าความหมายของท่าทางนี้ของเขาคืออะไร
“หุบปาก เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ?”สีหน้าของไจ๋เฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีจิตสังหารแฝงอยู่ในแววตา พลางมองนายพลคนดังกล่าวด้วยสายตาที่เย็นเยือกรอบหนึ่ง
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หลัวซิวก็หันหน้ากลับมา สายตาจ้องมองไปทางไจ๋เฉิงและนายพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชานั่น
สาเหตุที่หลัวซิวมีปฏิกิริยาเช่นนี้นั้น ย่อมไม่ได้เป็นเพราะตัวสำนึกของเขาสัมผัสได้ว่านายพลคนนั้นประสงค์ร้ายลับหลังตน อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอยู่ การที่จะปิดกั้นกระแสสัมผัสตัวสำนึกของเขานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่ทว่าในขณะที่นายพลคนนั้นมีจิตสังหารต่อตน อีกทั้งยังไม่ได้ทำท่าทางปาดคอ จิตใจหลัวซิวก็สัมผัสได้เองโดยธรรมชาติ สัมผัสจิตสังหารของฝ่ายตรงข้ามที่มีต่อตัวเองได้!
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวหันขวับกลับมา ความรู้สึกบนใบหน้าไจ๋เฉิงก็แข็งทื่อลงไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ ในส่วนของพวกต้วนคงและฉื้อหลง สีหน้าอารมณ์ของแต่ละคนต่างประหลาดแตกต่างกันออกไป
ภายในเวลาชั่วขณะ สถานที่เกิดเหตุก็เงียบเชียบลงไปอย่างผิดปกติเล็กน้อย ในบรรยากาศที่เงียบสงัด ราวกับหลัวซิวกำลังประจันหน้ากับกองทัพเทพมารที่มีคนนับห้าพันคน
หลัวซิวจ้องมองนายพลที่มีจิตสังหารต่อตนด้วยสายตาที่เยือกเย็น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ขณะที่สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีจิตสังหารต่อตนเอง เขาพบว่าเหมือนตัวเองแค่ใช้จิตนึกคิด ก็สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้แล้วยังไงอย่างนั้น
ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหลือเชื่อมาก และยิ่งไม่อยากปักใจเชื่อ ต้องท้าวความก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้สูงส่งเชียวนะ เขาที่เป็นจักรพรรดิเทพมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อกระจอก ๆ คนหนึ่ง แค่ใช้จิตนึกคิดแล้วจะสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร?
“หรือเป็นเพราะข้าได้รับการถ่ายทอดสืบสานของนักเซียนหลอมจิต?”
หลัวซิวหรี่ตาลง เขาไม่ได้จะใช้ความคิดสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างบุ่มบ่าม เนื่องจากถ้าเกิดสัญชาตญาณของเขาไม่เหมือนอย่างที่คิด แล้วตนแสดงจิตสังหารต่อฝ่ายตรงข้าม มันอาจนำปัญหามาสู่ตนได้
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ค้นพบว่าเหมือนตัวเองจะพลาดของอะไรบางอย่างไป ในจำนวนการถ่ายทอดสืบสานที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ น่าจะมีของอะไรบางอย่างที่ตนสังเกตไม่เห็น
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวก็นึกถึงสมบัติสามชิ้นที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ให้ตัวเอง ลำดับแรกคือขวดเซียนอัคคีหลอมจิต
ครั้นเมื่อเขาได้รับภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ เขาแค่ใช้ตราประทับที่ผนึกรวมออกมาจากพลังแห่งวิถีเซียนของตัวเองประทับลงไปภายใน ซึ่งไม่เคยใช้ตัวสำนึกสำรวจภายในมาก่อน ณ ปริภูมิภายในตัวหยั่งรู้กลางหว่างคิ้วเขา ตัวสำนึกของเขาพุ่งเบียดเสียดกันออกมา แล้วไหลเทเข้าไปในขวดเซียนอัคคีหลอมจิต
โดยส่วนใหญ่แล้ว ยิ่งเป็นของขลังอาวุธที่ทรงพลังมากเท่าไหร่ การที่จะกลั่นแปรมันก็ทำได้ยิ่งยาก ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับมณีวิถีเซียนอย่างขวดเซียนอัคคีหลอมจิต ภายในมีตัวต้องห้ามทั้งหมดเก้าขั้น แม้แต่การจะกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรก อย่างน้อยผลการฝึกตนก็ต้องอยู่ที่ระดับประมุขเต๋า
อย่างไรก็ตามเมื่อหลัวซิวลองกลั่นแปรมัน กลับพบว่าร่างกายตัวเองเกิดความรู้สึกร่วมบางอย่างกับขวดเซียนอัคคีหลอมจิต ซึ่งบ่อเกิดของความรู้สึกดังกล่าวก็มาจากพลังวิถีเซียนที่นักเซียนหลอมจิตถ่ายเทเข้าไปในร่างกายเขานั่นเอง
“เวิ่ง!”
มีแสงสีแดงกระพริบขึ้นมาบนขวดเซียนอัคคีหลอมจิตที่อยู่ในห้วงจักรหยั่งรู้ ถัดจากนั้นหลัวซิวก็ค้นพบอย่างตะลึงว่าตนถึงขั้นสามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกไปได้อย่างง่ายเลย สามารถควบคุมมณีวิถีเซียนชิ้นนี้เบื้องต้นแล้ว!
สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือหลังจากเขากลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกสำเร็จ ก็มีข้อมูลหนึ่งปรากฏกะทันหัน กลายเป็นเสียงที่แก่ชรา ดังก้องอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา
“ผู้สืบทอดยุคหลัง ไม่ว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด การที่สามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามของขวดเซียนได้นั้น แสดงว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับการยอมรับจากข้า ภายในขวดเซียนขวดนี้มีพลังเซียนของข้า ซึ่งสามารถทำให้เจ้าได้รับพลังระดับเซียนเป็นเวลา 15 นาที หวังว่ามันจะสามารถช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความอันตรายเมื่อตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย”
หลัวซิวคุ้นเคยต่อเสียงดังกล่าวอยู่ ซึ่งเจ้าของเสียงก็คือนักเซียนหลอมจิตนั่นเอง เนื่องจากครั้นเมื่อเขาอยู่ในสถานสาสน์เต๋า ก็เคยสื่อสารกับปณิธานเงาสะท้อนของนักเซียนหลอมจิตมาก่อนแล้ว
กระทั่งวินาทีนี้ หลัวซิวถึงจะถือว่าเข้าใจขึ้นมาได้สักทีว่า สิ่งของที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ให้ผู้สืบทอดมันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้!
ได้รับพลังระดับเซียนเป็นเวลา 15 นาทีหรือ? นี่คืออุบายระดับใด? มิน่าล่ะพวกต้วนคงถึงกังวลไม่กล้าลงมือ
อย่างไรเสียพวกต้วนคงก็เคยเป็นผู้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายนักเซียนหลอมจิต น่าจะพอเข้าใจอุปนิสัยของนักเซียนหลอมจิตอยู่บ้างไม่มากก็น้อย รู้อุบายที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ให้ผู้สืบทอด ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือตลอดมา กำลังทดสอบหยั่งเชิงตัวเองมาโดยตลอด
ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็รู้สึกโชคดีมาก ๆ โชคดีที่เขาเกิดความรู้สึกสงสัยแล้วทดลองดู มิเช่นนั้นละก็หากไม่มีอุบายผูกมัดเช่นนี้ ตนก็จะถูกกำจัดทิ้งเลยมิใช่หรือ? เช่นนั้นทุกสิ่งอย่างที่ตัวเองได้รับจากสถานสาสน์เต๋าก็จักตกเป็นของพวกต้วนคงฟรี ๆ มิใช่หรือ?
สาเหตุที่ไม่ได้ทดลองกลั่นแปรขวดเซียนอัคคีหลอมจิตตั้งแต่อยู่ในสถานสาสน์เต๋านั้น ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะหลัวซิวคิดไปเองว่าเมื่ออาศัยผลการฝึกตนของตัวเอง ไม่มีทางกลั่นแปรสมบัติที่ระดับขั้นสูงเช่นนี้ได้แน่นอน
และเป็นเพราะความคิดที่คิดไปเองเช่นนี้ของเขา เกือบทำให้ชีวิตอันน้อยนิดของตนได้ฝังอยู่ที่นี่ตลอดกาล
หลังจากจัดระเบียบความคิดทุกอย่างเสร็จสรรพ หลัวซิวก็อดรู้สึกเหมือนมีชีวิตรอดมาจากภัยพิบัติไม่ได้
เขาพลิกมือหยิบสมบัติชิ้นที่สามที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้ให้ออกมา หรือม้วนหยกที่มีวรยุทธ์เคล็ดวิชาบันทึกอยู่นั่นเอง
ขณะที่ได้รับม้วนหยกชิ้นนี้มาใหม่ ๆ เขาแค่ทำการสำรวจโดยคร่าว ๆ เท่านั้น ทราบว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ภายในคือคัมภีร์เซียนหลอมจิตและพลังอมตะ
ปัจจุบันเมื่อใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจใหม่อีกครั้ง เขาถึงจะพบว่านอกจากมีคัมภีร์เซียนหลอมจิตและพลังอมตะแล้ว ยังมีข้อมูลที่เป็นกุญแจสำคัญอีกหนึ่งอย่าง
และเนื้อหาของข้อมูลดังกล่าวก็คือนักสาสน์เต๋าไม่อาจอกตัญญูต่อผู้สืบทอด ทันทีที่เกิดจิตสังหารหรือความคิดที่จะทรยศ ผู้สืบทอดก็จะสัมผัสได้ทันที และสามารถควบคุมความเป็นความตายของนักสาสน์เต๋าได้ด้วยความคิดเดียว!
เมื่อเห็นข้อมูลดังกล่าว หลัวซิวก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดเมื่อครู่เขาจึงมีความรู้สึกที่ขอแค่ใช้จิตนึกคิด ก็สามารถสังหารนายพลระดับผู้สูงส่งคนนั้นได้แล้ว
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอุบายเหล่านี้ที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้เป็นสิ่งที่พวกต้วนคงไม่ทราบ ส่วนสมบัติทั้งสามชิ้นที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้นั้น น่าจะมีตัวต้องห้ามและข้อผูกมัดบางอย่างที่เซียนกำหนดไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบได้
อีกทั้งหลัวซิวแทบจะสามารถยืนยันได้แล้วว่าคนในกองทัพเทพมาร ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าหรือนายพลทั้งสิบ ตลอดจนทหารทั่วไป น่าจะถูกนักเซียนหลอมจิตใช้อุบายที่เป็นทำนองเดียวกันกับวิชาสยบวิญญาณร่ายไว้ในร่างกาย!
แต่หลัวซิวก็เข้าใจสาเหตุที่นักเซียนหลอมจิตทำเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรเสียหากเขาดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว จักมีผู้ใดรับประกันได้เล่าว่ากลุ่มคนที่ติดตามเขาจักยังคงยินดีติดตามผู้สืบทอดของตัวเองด้วยความสมัครใจ?
ถ้าเกิดแค่ไม่อยากติดตามด้วยความสมัครใจก็แล้วไป ทว่าหากพวกเขามีจิตใจที่คิดไม่ซื่อ อยากสังหารผู้สืบทอดแล้วขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดแทนล่ะ?