มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2912
หลัวซิวไม่ได้รู้สึกว่าทางหนีทีไล่เหล่านี้ที่นักเซียนหลอมจิตทิ้งไว้มันผิดอะไร ยิ่งกว่านั้นคือเขายังอยากขอบคุณเซียนซะอีกที่ทิ้งทางหนีทีไล่เหล่านี้เอาไว้ ภายในตัวต้องห้ามของขวดเซียนอัคคีหลอมจิตมีพลังเซียน เมื่อเชื่อมประสานพลังเซียนปลุกเสกร่างตน จะสามารถทำให้เขาได้รับพลังที่เทียบเท่าระดับเซียนเป็นเวลา 15 นาที
สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่าหากอาศัยพลังนี้ละก็ หลัวซิวมีอุบายที่สามารถสังหารพวกต้วนคงให้ตายภายในระยะเวลา 15 นาทีได้อย่างแน่นอน
อย่างไรเสียในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างต้วนคงก็อยู่แค่แดนประมุขเต๋า ส่วนช่วงระยะความต่างของเซียนและประมุขเต๋า ก็เหมือนดั่งมนุษย์ทั่วไปและเทพมาร ฝุ่นละอองและมหาสมุทร
แต่ว่าหลัวซิวย่อมไม่มีความคิดที่จะฆ่าพวกเขาอยู่แล้ว ปัจจุบันอยู่ในยุคสมัยที่มหันตภัยผันผวนไม่แน่นอน ผู้คนในกองทัพเทพมารสามารถสร้างประโยชน์ในสงครามแห่งมหันตภัยได้เยอะมาก
พวกต้วนคงล้วนเห็นกิริยาท่าทางของหลัวซิวแล้ว ในขณะที่พวกเขารู้สึกสงสัยและเตรียมพร้อมที่จะเอ่ยปากสอบถามอยู่นั้น หลัวซิวกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเอง
สายตาเขามองข้ามไจ๋เฉิง เพ่งมองนายพลคนนั้นที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างเย็นชา แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก: “เมื่อครู่เจ้ามีจิตสังหารต่อข้ารึ?”
ขณะที่พูดคำพูดดังกล่าว มีจิตสังหารที่ไม่มีการปิดบังใด ๆ เลยแม้แต่น้อยพรั่งพรูออกมาจากตัวหลัวซิว และเมื่ออยู่ภายใต้การปกคลุมของจิตสังหารนี้ สีหน้าของทุกคนรวมไปถึงผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าอย่างต้วนคงก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
เนื่องจากเมื่ออยู่ภายใต้การแผ่คลุมของจิตสังหารนี้ ราวกับความเป็นความตายของพวกเขาล้วนอยู่ในเสี้ยวความคิดหนึ่งของหลัวซิวยังไงอย่างนั้น!
สำหรับผู้ที่หวาดกลัวความรู้สึกเช่นนี้มากที่สุดนั้น ย่อมต้องเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าอย่างพวกต้วนคงอยู่แล้ว โดยเฉพาะต้วนคง เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนประมุขเต๋า แต่เขากลับไม่สงสัยในความรู้สึกเช่นนี้ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นักเซียนหลอมจิตน่าจะทิ้งอุบายที่ใช้สำหรับควบคุมพวกเขาไว้ให้ผู้สืบทอดจริง ๆ หากเขาบังอาจเกิดจิตสังหารหรือความคิดที่จะทรยศ บางทีตัวเองก็อาจจะตายได้จริง ๆ!
ใช้ชีวิตด้วยตัวตนนักสาสน์เต๋าอยู่ในสถานสาสน์เต๋า และตัดขาดกับโลกาภายนอกมายาวนานเช่นนี้ ปัจจุบันกว่าจะได้รับอิสรภาพมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สามารถออกมาเคลื่อนไหวในฟ้าดินโลกาภายนอก ไม่มีผู้ใดยอมตายไปเช่นนี้ อีกทั้งยิ่งเป็นคนที่มีชีวิตคงอยู่มายาวนานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกรงกลัวความตายมากเท่านั้น
“นายน้อยระงับอารมณ์ก่อนนะขอรับ!”
ไจ๋เฉิงก็ตกใจกลัวเช่นกัน ความรู้สึกที่ถูกความตายปกคลุมอยู่ทุกวินาทีเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตกเข้าไปในบ่อน้ำแข็ง หวาดหวั่นไปถึงขั้วหัวใจ
ภายใต้การข่มขู่จากความตาย ต่อให้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งผู้แกร่งเลิศคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถใจเย็นได้เช่นกัน
“เจ้าไม่ต้องอธิบาย นี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้าย!”หลัวซิวกวาดตามองพวกต้วนคงด้วยสายตาที่เยือกเย็น จิตสังหารที่ปนอยู่ในคำพูดไม่มีท่าทีที่จะลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย
“อีกอย่างข้าแนะนำพวกเจ้าอย่าพยายามทดสอบหยั่งเชิงข้าจักดีกว่า เพราะอาจมีคนตายได้!”น้ำเสียงของหลัวซิวมีความเย็นยะเยือกปนอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็ราวกับเคียวของพญายมได้จี้อยู่ที่คอตัวเองแล้ว ทำให้พวกฉื้อหลง ตี้ขุยต่างเหงื่อแตกท่วมตัวอย่างควบคุมไม่ได้
“รับทราบ นายน้อย!”
พวกเขาทั้งห้าที่มีต้วนคงเป็นผู้นำต่างไม่กล้าพูดอะไรมาก เนื่องจากพวกเขาได้รับผลลัพธ์ของการทดสอบหยั่งเชิงในครั้งนี้แล้ว หลังจากนายน้อยท่านนี้ได้รับการถ่ายทอดสืบสาน เขาก็ได้รับอุบายที่สามารถควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาได้จริง ๆ
แม้นภายในส่วนลึกของหัวใจจะเกิดความรู้สึกแค้นเคืองก็ตาม แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความแค้นเคืองนี้ออกมาอีก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เกิดจากภัยคุกคามแห่งความตาย!
ปฏิกิริยาของกองทัพเทพมารทำให้หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจมาก ความรู้สึกที่ได้ยึดกุมความเป็นความตายเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับหวนกลับคืนสู่ยุคมหาศักดิ์ช่วงต้น เขานำพากองทัพใหญ่แห่งหุบเขาสยบปีศาจของตัวเองทำสงครามปราบปรามอยู่ใต้หล้าอย่างเรืองรอง
“นายน้อย……”
ผู้บัญชาการทั้งห้าที่มีต้วนคงเป็นผู้นำล้วนมาถึงด้านหน้าหลัวซิว แล้วส่งมอบอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ยึดมาได้จากข้าศึกที่เก็บไว้ในแหวนเก็บของให้หลัวซิวอย่างเคารพนอบน้อม
หลัวซิวพยักหน้าอย่างเย็นชา ก่อนจะโบกมือเก็บอย่างไม่เกรงใจแล้วพูดอย่างเย็นเยือก: “ข้าจักให้โอกาสพวกเจ้าเพียงหนเดียวเท่านั้น อย่าริอ่านมีครั้งต่อไปอีก!”
หลัวซิวตักเตือนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น นี่จึงทำให้พวกต้วนคงต่างเข้าใจว่า ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงหน้านี้มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง หากยังมีคนบังอาจเกิดจิตสังหารหรือมีความคิดที่จะทรยศเขา เขาก็จะลงมือฆ่าคนจริง ๆ!
หลังจากเก็บสมบัติจำนวนมากที่อยู่บนยอดเขาลูกนี้แล้ว สายตาของหลัวซิวก็ร่วงลงบนตัวต้วนคง
“เจ้าเข้าใจในแดนบรรพกาลมากน้อยเท่าไหร่หรือ?”หลัวซิวถาม
ต้วนคงพยักหน้าแล้วตอบกลับ: “ข้าน้อยเคยได้ยินนักเซียนหลอมจิตบอกว่าแดนบรรพกาลคงอยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่อย่างยิ่ง หลังจากผู้แข็งแกร่งจำนวนมากดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ล้วนก็จะเข้ามาในนี้ เพื่อทิ้งการถ่ายทอดสืบสานของตัวเองเอาไว้ที่นี่”
“เมื่อคนยุคหลังเข้ามาในแดนบรรพกาล ก็จะได้รับโชคโอกาสจำนวนมากจากที่นี่ จนใช้โอกาสนี้บรรลุเป็นประมุขเต๋า มกุฎเต๋าตลอดจนกลายเซียนขอรับ”
“สรุปโดยรวมแล้วก็คือการคงอยู่ของแดนบรรพกาลเหมือนดั่งโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานสืบทอดที่เหล่าผู้แข็งแกร่งในยุคโบราณทิ้งไว้ให้คนยุคหลังขอรับ”
คำอธิบายนี้ของต้วนคงก็ถือว่าพอสมเหตุสมผลอยู่ ตกลงจักรวาลนี้คงอยู่มายาวนานเท่าไหร่นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ตั้งนานแล้ว ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา เคยมีผู้แข็งแกร่งอุบัติขึ้นมาเยอะมาก ๆ และหลังจากผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นดับสลายถึงสิ้นไปแล้ว คนส่วนมากล้วนไม่อยากให้การถ่ายทอดสืบสานทั้งชีวิตของตัวเองสลายหายไปในประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงทิ้งการถ่ายทอดสืบสานเอาไว้ เพื่อให้ประเพณีเต๋าของตัวเองได้รับการสืบสานต่อไป
“นักเซียนหลอมจิตตายอย่างไรหรือ?”หลัวซิวถามคำถามที่รู้สึกสงสัยที่สุดในใจออกมา
อ้างอิงจากสิ่งที่เขาทราบ เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงประมุขเต๋าก็เท่ากับแดนของเทียนเต้าแล้ว ยึดกุมความล้ำลึกของธรรมดั้งเดิม มีอายุขัยที่แทบจะเป็นผู้อมตะเลย
หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ ประมุขเต๋าแทบจะไม่มีโอกาสดับสลายสูญสิ้นได้เลย แล้วจะนับประสาอะไรกับการคงอยู่อย่างเซียนเล่า?
“โลกาภายนอกในยุคปัจจุบันไม่มีเซียนหรือขอรับ?”หลังจากต้วนคงได้ยินคำถามของหลัวซิวแล้ว ก็มีรังสีแห่งความแปลกใจทะลุออกมาจากแววตา
“หรือว่าในยุคสมัยที่พวกเจ้าอยู่ ในจักรวาลมีเซียนเยอะมากเลยรึ?”หลัวซิวที่ว่องไวและเฉียบแหลมจับข้อมูลที่เป็นกุญแจสำคัญได้จากคำพูดของต้วนคง
ต้วนคงพยักหน้าอย่างไม่ปฏิเสธ “ในยุคสมัยที่เราต่างติดตามนักเซียนหลอมจิต เซียนในจักรวาลนั้นมีเยอะมากขอรับ ใต้บังคับบัญชาของเซียนทุกองค์ล้วนปกครองกองทัพเทพมารขนาดใหญ่ แล้วปักหลักอยู่ตามธาตุดาราต่าง ๆ”
“ส่วนในยุคสมัยที่นักเซียนหลอมจิตคงอยู่นั้น ท่านก็เป็นเพียงเซียนที่อยู่ระดับต่ำที่สุดเท่านั้น ท่านอยู่ระดับเซียน ซึ่งระดับที่อยู่สูงกว่านี้ยังมีเซียนดินและเซียนชั้นฟ้า ยิ่งกว่านั้นคือใต้บังคับบัญชาของเซียนชั้นฟ้าบางองค์ ยังมีเซียนดินและเซียนหลายองค์ติดตามอยู่ด้วย พลังอำนาจของกองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชายิ่งน่ากลัวและยิ่งใหญ่มาก”
คำตอบดังกล่าวของต้วนคงก็ทำให้หลัวซิวเบิกตากว้างอ้าปากค้างเช่นกัน เพราะฟังจากคำพูดของต้วนคง ในยุคสมัยที่นักเซียนหลอมจิตคงอยู่ ดาราจักรวาลกว้างใหญ่กว่าจักรวาลในปัจจุบันไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่า เมื่อนำโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดและจักรวาลกันดารที่เป็นที่ตั้งของมหาโลกาพันสามที่หลัวซิวรู้จักรวมเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับขนาดของธาตุดาราแห่งหนึ่งในยุคสมัยนั้น
ซึ่งในธาตุดารายังมีอาณาจักรดาราด้วย และในอาณาจักรดาราก็มีธาตุดาราปลีกย่อยอีกเยอะมาก ๆ ซึ่งถูกปกครองโดยประเทศเซียนที่ราชาเซียนก่อตั้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับยุคสมัยที่หลัวซิวรู้จักแล้ว ยุคสมัยที่นักเซียนหลอมจิตคงอยู่ถึงจะเป็นยุคสมัยที่กว้างใหญ่เรืองรองมากที่สุดต่างหาก
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างนักเซียนหลอมจิตก็เป็นเพียงเซียนที่ระดับต่ำที่สุดเท่านั้น!
……
บริเวณรอบนอกสุดของแดนบรรพกาลมีสถานสืบทอดของเซียนน้อยมาก ๆ
อ้างอิงจากคำพูดของต้วนคง เดิมทีใต้บังคับบัญชาของนักเซียนหลอมจิตมีกองทัพเทพมารทั้งเก้า แต่ทว่านักเซียนหลอมจิตกลับประสบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวคนหนึ่ง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็คือเซียนเช่นกัน แต่กลับเป็นผู้แข็งแกร่งที่เข้าใกล้เซียนดินอย่างไร้ขีดจํากัดแล้ว
ในระหว่างที่ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ นักเซียนหลอมจิตเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ บาดเจ็บสาหัส แทบจะเสียชีวิตไปเลย กองทัพเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็บาดเจ็บสาหัสอย่างหนักหน่วงเช่นกัน สุดท้ายจึงพาพวกต้วนคงทั้งห้าพันคนบินหนีจากไปไกล มาถึงบริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาลแล้วบุกเบิกสถานสาสน์เต๋าในช่วงเวลาที่บาดเจ็บสาหัสจนใกล้จะหมดลมหายใจ หวังว่าจะสามารถตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมกับประเพณีเต๋าของตัวเองได้
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนมากบริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาลล้วนเป็นโบราณสถานที่ประมุขเต๋าและผู้สูงส่งทิ้งไว้ จากการที่เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนมากสิ่งต่าง ๆ ล้วนสลายหายไปอยู่ในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ตั้งนานแล้ว
หลังจากทำความเข้าใจอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าในยุคสมัยที่นักเซียนหลอมจิตคงอยู่ ห่างจากปัจจุบันไกลมาก ๆ และในกาลเวลาที่ยาวนานนี้ น่าจะยังมีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีกมากมายอุบัติขึ้นมาด้วย จึงส่งผลให้อารยธรรมวิถียุทธ์ของยุคสมัยในภายหลังค่อย ๆ เสื่อมถอย จนแทบจะไม่มีร่องรอยของเซียนคงอยู่อีกแล้ว
อ้างอิงจากข้อมูลที่หลัวซิวทราบ ในยุคต้าเหยียนก่อนยุคไท่ชูมีเซียนอยู่ ทว่าหลังจากสิ้นสุดยุคต้าเหยียน เริ่มตั้งแต่ยุคไท่ชูจวบจนปัจจุบัน จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลก็ถูกแบ่งออกเป็นสามพื้นโลกใหญ่ แต่กลับไม่เคยมีเซียนอุบัติขึ้นมาตลอดมา
“ฆ่า!”
เมื่อมีกองทัพเทพมารห้าพัน นักรบที่ผลการฝึกตนต่ำที่สุดก็เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ ซึ่งนักรบส่วนมากล้วนเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ เมื่ออาศัยพละกำลังดังกล่าว หลัวซิวจึงเริ่มทำการกวาดล้างตั้งแต่บริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาล
ต้วนคงทั้งห้าคนยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิว พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเกินขอบเขตเลยแม้แต่น้อย นายพลทั้งสิบนำพาเทพมารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ขอแค่ค้นพบจอมยุทธ์แห่งเมืองหวูยวน ก็จะทำการลงมือสังหารทันที แล้วยึดอาวุธยุทธภัณฑ์มา
จากการเข่นฆ่าในแต่ละครั้ง จำนวนคนของเมืองหวูยวนก็ยิ่งอยู่ยิ่งน้อย และหลัวซิวก็เจอคนฝั่งเมืองต้าฮวงโบราณ เมื่อเห็นพลังอำนาจอันแข็งแกร่งที่เขายึดกุม ต่างก็สมัครเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง ทำให้ยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายหลัวซิวยิ่งอยู่ยิ่งมาก
หลังจากกวาดล้างบริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังคนฝั่งเมืองหวูยวนล้วนถูกกวาดล้าง นอกจากกองทัพหลอมจิตแล้ว ข้างกายหลัวซิวก็มีผู้แข็งแกร่งเทพมารรวมตัวกันเกือบแสนคนเลยทีเดียว!
จำนวนตัวเลขนี้ดูเหมือนจะเยอะ แต่ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับคนนับแสนที่พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาแดนบรรพกาลเมื่อครั้นนั้นแล้ว จำนวนตัวเลขนี้ก็ดูเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย
ในจำนวนคนทั้งหมดที่เข้ามาในแดนบรรพกาล มีคนดับสลายสูญสิ้นไปแล้วแปดส่วน! ซึ่งนี่ก็หมายความว่าจำนวนคนแปดในสิบได้ล่วงลับไปแล้ว แค่คิดก็พอจะทราบได้แล้วว่าอัตราการตายนี้มันสูงเพียงใด ภยันตรายในแดนบรรพกาลน่ากลัวมากเพียงใด!
อย่างไรก็ตามในจำนวนผู้ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ ต่างก็ได้รับโชคโอกาสที่ไม่ธรรมดาไม่มากก็น้อย สักวันหากสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ละก็ แดนยุทธ์ของตนเองต้องพุ่งพรวด แล้วกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยนี้อย่างแน่นอน
“โครม!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีพลังออร่าที่มากมายมหาศาลจุติลงมายังแดนบรรพกาล เศษเสี้ยวหนึ่งของเมืองหวูยวนที่มืดทึบดั่งอสูรยักษ์ดุร้ายได้ปรากฏกลางอนัตตา
เดิมทีคูเมืองแห่งนี้ก็เป็นของขลังระดับประมุขเต๋าชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว สัญลักษณ์ทั้งหลายที่ผนึกรวมมาจากเกณฑ์พลังเต๋าเป็นประกายระยิบระยับอยู่กลางท้องฟ้า สีสันสวยสดหลากหลาย พลังออร่ายิ่งใหญ่
“ตู้มม!”
ในขณะเดียวกัน พลังออร่าระดับประมุขเต๋าอีกดวงหนึ่งก็จุติลงมาด้วย เมืองต้าฮวงโบราณก็เคลื่อนที่เข้ามาในแดนบรรพกาลเช่นกัน
เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากำลังคนนับแสนที่พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาแดนบรรพกาลในก่อนหน้านี้เป็นกองทัพนำ วินาทีนี้เมืองโบราณระดับประมุขเต๋าทั้งสองได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการพิสูจน์ผลสงครามพอดี
ไม่มีสนามรบที่เหล่าจอมยุทธ์ทำการเข่นฆ่ากันอย่างโหดร้ายทารุณเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้แต่อย่างใด หลังจากประมุขเต๋าหวูยวนควบคุมคูเมืองย่างกรายมาถึงแดนบรรพกาลแล้ว ก็ค้นพบว่าเขตพื้นที่บริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาลเงียบสงัดจนน่ากลัว!
ถัดจากนั้นสีหน้าของประมุขเต๋าหวูยวนก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เนื่องจากเขาสัมผัสพลังออร่าของจอมยุทธ์แห่งเมืองหวูยวนในเขตรอบนอกของแดนบรรพกาลไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว!
ตายหมดแล้วหรือ!?
แม้เขาจะเป็นประมุขเต๋าคนหนึ่ง วินาทีนี้ก็ไม่อาจเรียบนิ่งต่อไปได้แล้ว ถึงเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของจอมยุทธ์ระดับต่ำเหล่านั้น แต่ทว่าภายในเรื่องนี้ต้องมีเหตุร้ายที่เขาไม่ทราบคงอยู่แน่นอน ช่วงระยะความต่างของทั้งสองฝ่ายไม่น่าจะแตกต่างกันมากขนาดนี้!