มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2915
เมื่อเห็นว่าม่านแสงค่ายกลถูกฉีกกระชากไปอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสทั้งหลายรวมไปถึงทุกคนในอาณากระบี่หวูจี๋ล้วนผงะไปหมดเลย
ถัดจากนั้น เมื่อพวกเขาเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจที่มารุกล้ำกำลังพุ่งเข้ามาในอาณากระบี่ด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย จากความผงะบนใบหน้าก็กลายเป็นความสิ้นหวังแทน!
“หยุดยั้งมัน!”
“ทุกคนหนี!”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสองคนตะคอกเสียงดังลั่น มีความรู้สึกที่ไม่ยี่หระต่อความตายทะลุออกมาจากแววตา จากนั้นพวกเขาก็พุ่งสังหารเข้าไปทางเมิ่งเชียนชางอย่างไม่ลังเลใจ
พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าค่ายพิทักษ์เขาที่สำนักพึ่งพิงจักถูกทำลายง่ายดายเช่นนี้ เหตุร้ายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนคาดคิดไม่ถึงจริง ๆ
เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากค่ายพิทักษ์เขา วินาทีนี้ผู้คนในอาณากระบี่หวูจี๋ก็เหมือนสตรีที่เสื้อผ้าถูกฉีกกระชาก ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของศัตรูที่น่ากลัวคนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
“เมิ่งเชียนชาง ไอ้เดรัจฉาน!”
เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชียนชางพุ่งเข้ามาสังหารในอาณากระบี่อย่างอุกอาจ เพียงพริบตาเดียวก็มีศิษย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่ตายอย่างน่าเวทนาอยู่ภายใต้เงื้อมมือเขา
ดวงตาของตู๋กูเจี้ยนเฉินแดงเถือก โกรธมากจนดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาไม่มีเวลาไปสนใจแล้วว่าสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง ควบคุมแสงกระบี่ดวงหนึ่งแล้วพุ่งสังหารเข้าไป
“ปั้ง!”
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีที่บ้าคลั่งของตู๋กูเจี้ยนเฉิน มีรอยยิ้มที่ดูหมิ่นปรากฏตรงมุมปากเมิ่งเชียนชาง เห็นเพียงเขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ก็ทำให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินที่พุ่งสังหารเข้ามากระเด็นออกไปภายในพริบตา พร้อมกับกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง
แม้นจะอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเหมือนกัน ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเมิ่งเชียนชาง มิหนำซ้ำยิ่งเมิ่งเชียนชางในวินาทีนี้ฆ่าคนมากเท่าไหร่ พลังวัฏสงสารสูงสุดก็จะทำให้ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นมากเท่านั้นเอง
ตู๋กูเจี้ยนเฉินกัดฟันแน่นแล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ทว่าสภาพอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมากเกินไป เข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้ตัวเองทุ่มสุดชีวิต ก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบและขัดขวางเมิ่งเชียนชางได้เลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกที่จนปัญญาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความสิ้นหวัง แววตาจึงจ้องมองไปยังทิศทางของหุบเขากระบี่ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่เจ้าแดนผู้ลึกลับท่านนั้นแล้ว
“ไสหัวไป!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตะคอกหนึ่งดังก้องขึ้นมา ในทิศทางของหุบเขากระบี่ มีปราณกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ปราณกระบี่เปล่งแสงแพรวพราย
เห็นเพียงปราณกระบี่ดังกล่าวผนึกรวมกันอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วกลายเป็นรูปร่างลักษณะของชายหนุ่มคนหนึ่ง จ้องมองไปทางเมิ่งเชียนชางด้วยสายตาที่เยือกเย็น จิตสังหารเข้มงวด
คำว่าไสหัวไปหนักอึ้งดั่งค้อน ทำให้ร่างกายของเมิ่งเชียนชางสั่นไหวไปทีหนึ่ง ตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือน มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากทั้งสองข้าง
“เจ้าแห่งอาณากระบี่หรือ?”
เมิ่งเชียนชางเงยหน้ามองขึ้นไป หรี่ตาลง เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งอาณากระบี่ที่ลึกลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรคนนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าแห่งความตาย
แต่บนใบหน้าเมิ่งเชียนชางกลับไม่มีความหวาดหวั่นและหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเป็นโอรสฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ่างเทียนตี้ และยิ่งเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ไม่มีทางมองดูเขาถูกผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งโจมตีแล้วไม่ทำอะไรแน่นอน
“ตาย!”
ตู๋กูตะคอกอย่างเยือกเย็น ง้างมือขึ้นมาขยำอนัตตาทีหนึ่ง ปราณกระบี่เล่มหนึ่งผนึกรวมกันแล้วปรากฏในมือเขา
ปราณกระบี่เล่มนี้เหมือนดังกระบี่เทพของจริง รัศมีกระบี่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง ห้วงกระบี่ผนึกไปที่เมิ่งเชียนชาง แล้วฟาดฟันกระบี่ออกไป!
จากผลการฝึกตนของเขา พลังโจมตีในครั้งนี้เพียงพอที่จะสามารถสังหารผู้สูงส่งทั่วไปได้แล้ว!
และในเวลานี้เอง ก็มีระลอกคลื่นลูกหนึ่งปรากฏข้างกายเมิ่งเชียนชางกะทันหัน ถัดจากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่น ปล่อยพลังฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง แล้วต้านทานปราณกระบี่ของตู๋กูเอาไว้ได้
คนดังกล่าวคือชายวัยกลางคนที่หน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง อยู่ในชุดคลุมยาวสีเหลือง ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีตาขาว ราวกับกงล้อวัฏสงสารสองวง
ตรงหว่างคิ้วของเขามีสัญลักษณ์ของวัฏสงสารหนึ่งวง หลังศีรษะไม่มีกงล้อเทพแต่อย่างใด มีเพียงรูเล็ตขนาดใหญ่หนึ่งชิ้น และกำลังโคจรช้า ๆ เหมือนฟันเฟือง
พลังอำนาจระดับประมุขเต๋าแผ่กระจายออกมา……
“ประมุขเต๋า? ทั้งยังเป็นประมุขเต๋าที่บรรลุมรรคผลด้วยวัฏสงสาร?”
ตู๋กูตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี สีหน้าดูตะลึงและสงสัย ราวกับคิดอะไรบางอย่างได้
“เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”ตู๋กูตะคอกถาม
“ศิษย์เต็มตัวรุ่นแปดของท่านมกุฎ!”
ชายวัยกลางคนตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง มองเมิ่งเชียนชางที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา: “รุ่นเก้า เจ้าไปทำเรื่องที่เจ้าควรทำซะ”
“ขอรับ ศิษย์พี่!”เมิ่งเชียนชางพยักหน้า จากนั้นสายตาก็ผนึกไปที่หุบเขาสยบปีศาจ ก่อนจะพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว
“รุ่นแปด? รุ่นเก้า?”
ตู๋กูสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง “มกุฎเต๋าสังสารวัฏใจร้อนเช่นนี้เลยรึ?”
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ทั้งติดตามมกุฎเต๋ามานานหลายปี ได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากมกุฎเต๋าอย่างลึกซึ้ง ตู๋กูจึงทราบข่าวลับต่าง ๆ ที่คนส่วนมากไม่ทราบ
เขารู้อยู่ว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับมกุฎเต๋าหวูจี๋มีมกุฎเต๋าทั้งหมด 14 คน บรรพโบราณทั้งแปดแห่งสวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ล้นและร้างล้วนเป็นหนึ่งในนั้น มกุฎเต๋านอกนภาหนึ่ง บวกกับมกุฎเต๋าหวูจี๋อีกคนหนึ่งก็คือสิบ
ผู้ที่บุกเบิกสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงแห่งโลกาฟ้าดินหลิงหลงก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน รวมไปถึงบรรพอาจารย์สองคนของเผ่ามังกรแห่งโลกาเทพมังกรไท่ชู
และในบรรดามกุฎเต๋าทั้ง 14 คนนี้ ผู้ที่ลึกลับที่สุดกลับเป็นคนสุดท้าย หรือมกุฎเต๋าสังสารวัฏนั่นเอง เขาเป็นผู้ริเริ่มเส้นทางแห่งวัฏสงสารหรือวิถีวัฏสงสาร เคยควบคุมยุคสมัยหนึ่ง ทำให้ทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดที่อยู่ในยุคสมัยนั้นล้วนถูกยึดกุมอยู่ในกำมือของเขาเพียงผู้เดียว
และเวลานั้นมกุฎเต๋าสังสารวัฏก็รวบรวมทรัพยากรที่ไร้ขอบเขตของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเข้าด้วยกัน จนบ่มเพาะลูกศิษย์ออกมาได้เจ็ดคน หรือจ้าววัฏสงสารตั้งแต่รุ่นสองถึงรุ่นแปดนั่นเอง
ตู๋กูยังรู้อีกด้วยว่าเดิมทีสาเหตุที่มกุฎเต๋าสังสารวัฏอยากบ่มเพาะรุ่นเก้าออกมานั้น ก็เป็นเพราะเนื่องจากเหตุผลบางอย่างทำให้เขาแตกหักกับบรรพโบราณทั้งแปด ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันอย่างใหญ่หลวง ทำให้มกุฎเต๋าสังสารวัฏรวมไปถึงเหล่าลูกศิษย์ของเขาล้วนหายเข้าไปในกลีบเมฆ
แต่ตู๋กูกลับทราบมาจากปากอาจารย์ว่า จ่างเทียนตี้ก็คือกองกำลังที่มกุฎเต๋าสังสารวัฏบุกเบิกขึ้นมาด้วยน้ำมือตนเอง
ตู๋กูสามารถยืนยันได้เลยว่าจากตัวตนของมกุฎเต๋าสังสารวัฏ ฝ่ายตรงข้ามต้องทราบแน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังอาณากระบี่หวูจี๋คือมกุฎเต๋าหวูจี๋ และยิ่งทราบด้วยว่าเขาตู๋กูก็คือลูกศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋
ส่วนวินาทีนี้ มกุฎเต๋าสังสารวัฏกลับส่งศิษย์เต็มตัวมาโจมตีอาณากระบี่หวูจี๋ หรือนี่จะเป็นการประกาศสงครามกับอาจารย์?
สามารถพูดได้เลยว่าการที่เรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นนี้นั้น มันเป็นสิ่งที่ตู๋กูไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเองแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวเนื่องถึงระดับประมุขเต๋าตลอดจนระดับมกุฎเต๋า สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงผู้สูงส่งเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
……
ณ อีกมิติหนึ่ง หากไม่มีการอนุญาตจากมกุฎเต๋าหวูจี๋ จักไม่มีคนใดสามารถตามหาโลกาอนัตตาอู๋จี๋ที่เขาบุกเบิกออกมาได้ อีกทั้งย่างไกลมาถึงที่นี่
แต่วันนี้เหนือนภาโลกาอนัตตาอู๋จี๋กลับมีระลอกคลื่นปรากฏหนึ่งลูก มีรัศมีสีเหลืองแย้มบาน ก่อนจะมีพลังเต๋าวัฏสงสารที่มีความล้ำลึกของการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาผนึกรวมกันแพร่กระจายออกมาจากระลอกคลื่น
มีเงาดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากระลอกคลื่น ทั้งร่างกายคนดังกล่าวถูกปกคลุมอยู่ในแสงสว่างที่ขมุกขมัว มองใบหน้าและเรือนร่างไม่ชัดเจน
ระลอกคลื่นที่อยู่ด้านหลังเขาก็ผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลายเป็นรูเล็ตพุพังที่มีรูตรงกลางหนึ่งรูลอยอยู่หลังศีรษะเขา
“เวิ่ง!”
ปริภูมิสั่นไหว ร่างกายของมกุฎเต๋าหวูจี๋ปรากฏกลางอนัตตาโดยตรง สายตาเพ่งมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้อย่างเยือกเย็น
“เจ้าสิบสามเจ้าทำเกินไปแล้วนะ!”น้ำเสียงของมกุฎเต๋าหวูจี๋มีความโกรธปนอยู่ด้วย
เมื่อหลายล้านล้านปีก่อน ในบรรดาทั้ง 14 คนที่นั่งฟังราชาเซียนธรรมกถา มกุฎเต๋าสังสารวัฏมาค่อนข้างช้า จึงถูกจัดอยู่ที่อันดับ 13
“เจ้าควรเรียกข้าว่าจ้าววัฏสงสาร ข้ามิใช่เจ้าสิบสามตั้งนานแล้ว”มกุฎเต๋าสังสารวัฏที่ทั้งร่างกายถูกปกคลุมอยู่ในแสงสีเหลืองพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“มิหนำซ้ำข้าไม่ได้รู้สึกว่าข้าทำเกินไปเลย หากรุ่นเก้าไม่สามารถจัดการปล่อยวางความลุ่มหลงและความเคียดแค้นในใจลงไปได้ ก็ยากที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับข้า ส่วนความเสียหายของอาณากระบี่หวูจี๋นั้น ผู้ที่ตายไปก็เป็นเพียงพวกมดตัวจ้อยไม่กี่ตัวเท่านั้นแหละ”
“หวูจี๋ เจ้าอย่าลืมนะ เมื่อปีนั้นหากข้าไม่ลงมือ เจ้าและสวะแปดตัวนั้นถูกหวูซินและมังกรคู่อิมเอี๊ยงไท่ชูกำจัดทิ้งไปตั้งนานแล้ว นี่คือหนี้บุญคนที่เจ้าติดข้า”
เสียงของมกุฎเต๋าสังสารวัฏไม่รีบไม่ร้อน ทำให้คนฟังรู้สึกไม่อาจปฏิเสธ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ดูย่ำแย่เล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างพิโรธ: “ข้ายอมรับว่าเมื่อปีนั้นเจ้ามีบุญคุณต่อเราจริง ๆ แต่ทว่าความทะเยอทะยานของเจ้ามันมากเกินไป!”
“ความทะเยอทะยาน?”เมื่อมกุฎเต๋าสังสารวัฏได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็อดหัวเราะอย่างเยือกเย็นไม่ได้ “หรือว่าหวูจี๋เจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน? นอกนภาไม่มีความทะเยอทะยานหรือ? สวะแปดตัวนั้นไม่มีความทะเยอทะยานหรือ?”
“เราทุกคนก็เหมือน ๆ กันแหละ ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาตำหนิข้า ความทะเยอทะยานของเราล้วนเป็นการบรรลุเซียน แต่แค่วิธีการแตกต่างกันเท่านั้นแหละ!”มกุฎเต๋าสังสารวัฏพูดอย่างเย็นชา
“ทางเดินปณิธานที่แตกต่าง ไม่อาจหารือด้วยกันได้”
“เจ้าพูดถูก ทางเดินปณิธานของเราแตกต่างกัน ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจักไม่ร่วมมือกับเจ้าและสวะแปดตัวนั้นอีกแล้ว”
มกุฎเต๋าสังสารวัฏพูดอย่างไม่แยแส
พอสิ้นเสียง มกุฎเต๋าทั้งสองก็นิ่งเงียบไป มกุฎเต๋าสังสารวัฏยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีท่าทีที่จะจากไปแต่อย่างใด
ทว่ามกุฎเต๋าหวูจี๋กลับเข้าใจดีมาก ๆ ว่าสาเหตุที่มกุฎเต๋าสังสารวัฏปรากฏตัวที่นี่นั้น ก็เพื่อจะขัดขวางเขา ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกาภายนอก
จู่ ๆ ก็คล้าย ๆ กับเวลาย้อนกลับไปถึงยุคสมัยที่พวกเขายังนั่งฟังราชาเซียนธรรมกถา นั่นเป็นช่วงเวลาที่มกุฎเต๋าหวูจี๋รู้สึกว่าเป็นวันเวลาที่เงียบสงบที่สุดในชีวิตตัวเอง
พวกเขาทั้ง 14 เหมือนเป็นพี่น้องกัน ค่อย ๆ ฝึกฝนและเจริญเติบโตอยู่ภายใต้การถ่ายทอดธรรมวิถีของราชาเซียน พวกเขาเคารพราชาเซียนเป็นอาจารย์ แต่ราชาเซียนกลับไม่ยอมรับว่าเป็นอาจารย์ของพวกเขา ในทางตรงกันข้ามบุตรสาวของราชาเซียนกลับปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นพี่ชายพี่สาว
แต่น่าเสียดายที่วันชื่นคืนสุขไม่ยั่งยืน มีผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังย่างกรายมา ซึ่งเป็นศัตรูเก่าของราชาเซียน
ราชาเซียนต่อสู้เข่นฆ่ากับฝั่งตรงข้าม สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บสาหัส แม้นจักสังหารคู่ต่อสู้ได้ แต่ราชาเซียนก็ใกล้จะสิ้นแล้วเหมือนกัน
เมื่อมกุฎเต๋าหวูจี๋รำลึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีไฟโกรธที่ล้นฟ้าปรากฏในแววตาเขา……
เนื่องจากเขาไม่มีวันลืมเลยว่า ศิษย์สองคนที่อาจารย์ราชาเซียนให้ความสำคัญและทะนุถนอมมากที่สุดจะตั้งใจวางแผนแย่งชิงราชาเซียนดั้งเดิมขณะที่ท่านใกล้จะสิ้นใจ!
มาตรแม้นว่าช่วงเวลานั้นพวกเขาทั้ง 14 คนจะฝึกฝนฟังราชาเซียนธรรมกถา แต่ความแตกต่างด้านพรสวรรค์ปัญญา ทำให้ศักยภาพของทั้ง 14 คนต่างก็แตกต่างกันด้วย
ในบรรดาพวกเขาทั้ง 14 คน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือหวูซินและมังกรคู่อิมไท่ชู จู่ ๆ มังกรคู่อิมไท่ชูก็อาละวาด เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้บรรพโบราณทั้งแปดแห่งสวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ล้นและร้างบาดเจ็บสาหัส แทบจะดับสลายสูญสิ้น
และเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พวกเขาพี่น้องทั้ง 14 ก็กลายเป็นอริต่อกันอย่างฉับพลัน ยุคสมัยและกาลเวลาก็ผ่านพ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบ
แม้นราชาเซียนจะตายไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นราชาเซียนอยู่ดี ขณะที่เขาใกล้หมดลมหายใจ แม้จะไม่มีศักยภาพในการไปสังหารศิษย์ที่ทรยศตัวเอง แต่กลับนำร่างกายที่ใกล้หมดลมหายใจบินหนีจากไปไกล และไม่ทราบเบาะแสร่องรอยอีกเลย
กาลเวลาล่วงเลยไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ ทุกคนล้วนกำลังตามหาเบาะแสของอาจารย์ราชาเซียน แต่กลับไม่เจอตลอดมา
เมื่อปีนั้น มกุฎเต๋าสังสารวัฏที่อยู่ตรงหน้าเคยร่วมมือกับเขาและบรรพโบราณทั้งแปดต่อสู้กับหวูซินและมังกรอิมเอี๊ยงไท่ชูอยู่ แต่ทว่าจากการที่กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เขาก็เปลี่ยนไปแล้ว……
“หวูจี๋ เจ้าจักลงมือต่อข้าหรือ?”
จู่ ๆ เสียงของมกุฎเต๋าสังสารวัฏก็สะท้อนมา ดวงตาที่ซ่อนเร้นอยู่ด้านหลังรัศมีสีเหลืองเพ่งมองมกุฎเต๋าหวูจี๋ สัมผัสได้ว่าบัดนี้คลื่นความรู้สึกบนตัวมกุฎเต๋าหวูจี๋กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะหวนรำลึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นในอดีต จู่ ๆ ข้าก็อยากลงมือมาก ๆ อยากรู้มาก ๆ ว่าพลังวัฏสงสารสูงสุดที่เจ้าทุ่มเทจิตใจตรึกตรอง เพื่อจักทำให้มันสมบูรณ์แบบนั้นลึกซึ้งมากเพียงใดกันแน่”
ภายในเสี้ยววินาทีเดียว ดวงตาทั้งสองข้างของมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ดูลึกซึ้งอย่างยิ่ง ลึกซึ้งปานห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล!