มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 2929 สังหารผู้สูงส่งในชั่วพริบตา

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2929 สังหารผู้สูงส่งในชั่วพริบตา

มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2929

ในตัวหยั่งรู้ที่ใหม่ทั้งหมดและกว้างใหญ่เหมือนจักรวาล ห้วงความคิดของหลัวซิวมาถึงญาณเทวดั้งเดิม

ภายใต้การชุบของกำลังเซียนบริสุทธิ์ เห็นได้ชัดว่าญาณเทวดั้งเดิมของเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน บนร่างกายส่องแสงประกายจาง ๆ ออกมา แฝงไปด้วยออร่าของเซียน

นี่คือเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณประเภทหนึ่ง ที่อยู่ในทางทฤษฎีเท่านั้น เดิมทีเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณเป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับประมุขเต๋า น้ำวิญญาณดั้งเดิมจากรูปร่างช่องจิต ฝึกตนถึงรูปร่างญาณเทว สูงสุดสามารถบรรลุได้ถึงแดนมกุฎเต๋า

ทว่าแม้แต่ประมุขเต๋าไท่ชิงที่สร้างวรยุทธ์นี้ขึ้นมา ก็ยังไม่อาจบรรลุได้ถึงแดนนี้ หยุดอยู่เพียงแค่ประมุขเต๋าช่วงปลายเท่านั้น

แต่ในบรรดาของสืบทอดที่ประมุขเต๋าไท่ชิงทิ้งเอาไว้ กลับเคยกล่าวถึงแนวคิดอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจ นั่นก็คือ หากญาณเทวดั้งเดิมเริ่มมีท่วงเซียน ส่องประกายแสงเซียนออกมา นั้นก็หมายความว่าเริ่มกลายร่างเป็นภูตเซียนแล้ว !

และแดนวิญญาณเช่นนี้ ถูกเรียกว่าแปรเซียน !

ช่องจิต ญาณเทว แปรเซียน แดนวิญญาณสามประเภท ระดับสามประเภท

แน่นอนว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าจำนวนมากล้วนอยู่ในแดนวิญญาณของช่องจิต มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญในวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ และบรรบุถึงแดนผู้สูงส่งแล้วเท่านั้น จึงจะบรรลุถึงระดับญาณเทวได้

แต่ตอนนี้หลัวซิวก้าวเข้าสู่แปรเซียนระดับชั้นครึ่งหนึ่งแล้ว เทียบเท่ากับแดนขั้นสูงของระดับญาณเทว และเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง ที่เชี่ยวชญในการกลั่นวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นประเภทที่เก่งกาจมากอีกด้วย

หากตอนนี้ประมือกับผู้สูงส่งปฐมภูมิของเผ่ามังกรไท่ชูคนนั้นอีกครั้ง เกรงว่าหลัวซิวใช้พลังของตัวสำนึก ที่อาศัยการขับเคลื่อนโดยระดับวิญญาณในตอนนี้ การโจมตีด้วยวิญญาณของเขา จะต้องทำให้ตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน !

จากนั้น หลัวซิวก็พบว่าผลการฝึกตนของตนเอง ก็พลอยบรรลุไปด้วยเช่นกัน กำลังเซียนส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกนำมาชุบตัวหยั่งรู้ ได้ถูกร่างเนื้อของเขาดูดรับไป ถึงแม้จะเป็นกำลังเซียนเพียงส่วนน้อย แต่ก็ยังคงทำให้เขาบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าช่วงปลายได้อย่างง่ายดาย

ที่นี่คือสถานปรักเซียน ความแข็งแกร่งของวิถีเซียนปิดกั้นการสัมผัสของกฎทวยเทพธรรมดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่มีการมาถึงของทัณฑ์สายฟ้า

แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว ทัณฑ์สายฟ้าไม่อาจสร้างความหวาดกลัวใด ๆ ต่อเขาได้อีก จะต้องผ่านทัณฑ์หรือไม่ สำหรับเขาแล้วไม่มีผลกระทบใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

อาการบาดเจ็บฟื้นฟูจนเป็นปกติ ผลการฝึกตนก็ยกระดับขึ้น โดยเฉพาะตัวหยั่งรู้ก็เลื่อนขั้น พลังของตัวสำนึกเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสามารถโดยรวมของหลัวซิว ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น

เขาโบกมือก็กำจัดค่ายกลที่อยู่โดยรอบไปทันที ตอนนี้เขาไม่กลัวว่าจะมีใครตามล่าอีก ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งของฝ่ายศัตรูผู้นั้น ออกมาตามล่าเขาด้วยตนเอง ถึงแม้หลัวซิวจะรู้ว่าตนเองเอาชนะไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีกำลังที่จะปกป้องตนเองได้แน่นอน

ผ่านไปเพียงไม่นาน หลัวซิวก็กลับมายังสถานที่ที่พบรากเซียนน้ำไฟในตอนแรกอีกครั้ง ถึงแม้รากเซียนน้ำไฟจะถูกเขาเอาไปแล้ว แต่ทะเลสาบที่จะมีรากเซียนน้ำไฟเติบโตขึ้นได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา เซียนไฟและเซียนน้ำในทะเลสาบ ก็ล้วนเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาจึงต้องกลับมาดูอย่างแน่นอน

อาศัยกำลังเซียนอันบริสุทธิ์ในการบรรลุและยกระดับ หลัวซิวใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน เดิมทีเขาคิดว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทะเลสาบน้ำไฟคงไม่มีใครอยู่นานแล้ว แต่ตอนที่เขามาถึงที่นี่กลับพบว่า ที่นี่ยังคงมีคนรวมตัวอยู่กว่าห้าสิบคน

ดูไปแล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ ล้วนมีผลการฝึกตนในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าอย่างแน่นอน มีผู้สูงส่งเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นหลัวซิวยังรู้จักอีกด้วย ซึ่งก็คือเจ้าเมืองต้าฮวง ฮวงเจิ้นเทียน และเป็นบิดาของฮวงหวูจี๋อีกด้วย

ส่วนผู้สูงส่งของฝ่ายศัตรูผู้นั้น และเป็นศัตรูเก่าของหลัวซิว ผู้สูงส่งปฐมภูมิที่ครอบครองสายเลือดมังกรคู่อิมไท่ชูผู้นั้น

“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกหรือ ? คิดว่าข้าจอมมกุฎยี่หลงจัดการกับเจ้าไม่ได้จริง ๆ หรือ ?”

หลังจากอีกฝ่ายเห็นหลัวซิวแล้ว ก็ลงมือทันทีโดยไม่พูดไม่จา เพราะเขารู้ว่ารากเซียนน้ำไฟยังอยู่กับหลัวซิว

เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้ยินชื่อเต็มของเขา แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายลงมือ เขาจึงพุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเล

จอมมกุฎยี่หลงเผยความชั่วร้ายออกมาบนใบหน้า เขากับหลัวซิวเคยประมือกันมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้รับมือได้ยาก แต่โชคดีที่เขายืมสมบัติชิ้นหนึ่ง มาจากผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งช่วงปลาย ของเผ่ามังกรไท่ชูคนนั้น

“เปรี้ยง !”

จอมมกุฎยี่หลงยกมือขึ้นโบก แสงสีดำก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา ราวกับงูพิษตัวหนึ่ง ส่งเสียงร้องและพุ่งตรงเข้ามาพัน

นี่คือของขลังระดับผู้สูงส่งชิ้นหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ของประเภทที่ใช้โจมตี แต่ใช้สำหรับผูกมัดศัตรูโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งช่วงกลาง หากถูกพันเข้าละก็ ผลการฝึกตนทั้งหมดก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้ และสูญเสียกำลังที่จะต้านทาน

จอมมกุฎยี่หลงยืมของขลังชิ้นนี้มา ก็เพื่อใช้รับมือกับหลัวซิว

ทว่าดูเหมือนจอมมกุฎยี่หลงจะมั่นใจในความคิดมากเกินไป ทันทีที่หลัวซิวเห็นแสงสีดำที่เสกออกมา เขาก็แสดงพลังอมตะวิญญาณ เทพสังหาร !

พลังของตัวสำนึกที่ทรงพลานุภาพสำแดงออกมา ล่องหน ไม่ส่งเสียงที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้จอมมกุฎยี่หลงแสดงท่าทีตกใจออกมาได้ในทันที พร้อมทั้งปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาบนใบหน้า

“เผียะ !”

ลำแสงสีดำนั้นยังไม่ทันพุ่งมาถึงตัวของหลัวซิว ก็ร่วงหล่นลงไปเหมือนงูที่ตายแล้ว กลายเป็นเชือกสีดำเส้นหนึ่ง อีกทั้งตราประทับตัวสำนึก ที่เดิมทีเป็นของจอมมกุฎยี่หลง ถูกตัวสำนึกของหลัวซิวโจมตีจนแตกสลายในชั่วพริบตา

“เพล้ง !”

ในขณะเดียวกันนี้ เกิดเสียงดังอู้อี้ขึ้นมา ร่างกายที่เคลื่อนไหวของจอมมกุฎยี่หลงถูกแช่แข็งในทันที จู่ ๆ ศีรษะก็ระเบิดออก ศพที่ไร้ศีรษะโอนเอนไปมา มีเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า

หลังจากที่ตัวหยั่งรู้และญาณเทวเลื่อนขั้นแล้ว พลังตัวสำนึกของหลัวซิวก็เทียบได้กับผู้สูงส่งช่วงปลาย ใช้พลังทั้งหมดขับเคลื่อนพลังอมตะวิญญาณ สามารถสังหารผู้สูงส่งปฐมภูมิที่ไม่ทันป้องกันตัวได้ในชั่วพริบตา โดยไม่ยากลำบากเท่าไรนัก

หลัวซิวขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เหมือนถูกฉีกขาดมาจากตัวหยั่งรู้ของตนเอง ถึงแม้พลังโจมตีวิญญาณจะมหาศาล แต่ในขณะเดียวกับที่โจมตีศัตรู ตนเองก็จะได้รับการสะท้อนกลับในระดับเดียวกัน

ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ที่ทะเลสาบน้ำไฟต่างตกใจจนอ้าปากค้างในทันที ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งผู้หนึ่ง กลับถูกสังหารในชั่วพริบตา นี่เป็นไปได้อย่างไร ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยในนั้นที่เห็นการประมือระหว่างหลัวซิวกับจอมมกุฎยี่หลง ถึงแม้ในตอนแรกหลัวซิวจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่มีพลังถึงขั้นที่จะเอาชนะได้เช่นนี้

หรือว่า นี่เพิ่ผ่านไปเพียงแค่เดือนเดียว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงระดับนี้แล้วหรือ ?

นี่มันเหลือเชื่อเกินไป ถึงแม้จะรู้ว่าหลัวซิวได้รากเซียนไป แต่ก็ไม่มีใครคิดว่า เขาจะอาศัยรากเซียน ยกระดับตนเองได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งเดือนเช่นนี้

ถ้าเช่นนั้น คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือ เขาปิดบังความสามารถเอาไว้ นี่เป็นความคิดที่ปรากฏขึ้นมาในใจของหลายคนอย่างกะทันหัน

“หนี !”

ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งที่เป็นหัวหน้าล้วนตายไปหมดแล้ว บรรดามหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูเหล่านั้น รู้สึกเหมือนสูญเสียกระดูกสันหลังไปกะทันหัน จะมีใครกล้าอยู่รอความตายที่นี่ได้อีก ?

เจ้าเมืองต้าฮวงตั้งสติได้ในทันที แต่กลับลงมือสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าได้เพียงสองคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่เหลือยังคงหนีรอดไปได้

สงครามพ้นพิบัติเริ่มต้นขึ้นแล้ว กองกำลังฝ่ายศัตรูยิ่งสังหารได้มากยิ่งดี

“หลัวซิว ความแข็งแกร่งของเจ้า……” ฮวงเจิ้นเทียนมายืนอยู่ตรงหน้าหลัวซิว และจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ผู้อาวุโสเจ้าเมือง” หลัวซิวยกมือคำนับ

“อย่า เจ้าอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสอีกเลย” ฮวงเจิ้นเทียนหัวเราะร่าพลางโบกมือเป็นระวิง “ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ จะให้เป็นผู้อาวุโสของข้าก็ยังนับว่าเหลือเฟือ ใบหน้าแก่ ๆ นี้ยังไม่หนาขนาดนั้น”

ในโลกยุทธ์ นับถือผู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผู้ที่บรรลุถึงระดับผู้สูงส่งแล้ว ความแข็งแกร่งเป็นตัวแทนตำแหน่งและฐานะของแต่ละคนในสังคมนี้

“หากเจ้าไม่ถือสา ก็เรียกข้าว่าผู้เพื่อยุทธ์เถอะนะ” ฮวงเจิ้นเทียนกล่าว

ภายใต้การยืนยันหนักแน่นของฮวงเจิ้นเทียน หลัวซิวก็ไม่คิดอิดออดอีก ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำเรียกเขาเป็นผู้เพื่อนยุทธ์ ในขณะเดียวกันก็ถามเรื่องราวตลอดหนึ่งเดือนมานี้ รวมไปถึงสมบัติวิถีเซียนอีกสองชิ้นที่เหลือ

“หนึ่งเดือนมานี้สหายหลัวปิดตัวฝึกตนมาตลอดเลยหรือ ?”

ฮวงเจิ้นเทียนมองหลัวซิวอย่างประหลาดใจ คำเรียกที่เขาเรียกหลัวซิว เป็นคำเรียกของคนรุ่นเดียวกันแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวจนใจ หากต่อไปพบกับฮวงหวูจี๋ อีกฝ่ายไม่ต้องเรียกตนเองว่าอาจารย์ลุงหรอกหรือ ?

แต่ดูเหมือนฮวงเจิ้นเทียนจะให้ความสำคัญกับเรื่องแบ่งขั้นความอาวุโสอย่างยิ่ง ตามที่เขาพูด ตอนนี้ฮวงหวูจี๋เป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด ตามกฎแล้วต่อไปเมื่อพบหน้าหลัวซิว คงต้องเรียกว่าผู้อาวุโสหรืออาจารย์ลุง

คำเรียกเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น หลัวซิวเองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากกว่าก็คือเบาะแสของไข่มุกสาสน์เต๋ากับเข็มทิศสาสน์เต๋ามากกว่า

ตามที่ฮวงเจิ้นเทียนพูด ทางฝั่งเข็มทิศสาสน์เต๋ากับไข่มุกสาสน์เต๋ามีคนคอยเฝ้าอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครฝ่าฟันตัวต้องห้ามเข้าไปเอาสมบัติได้ มีเพียงหลัวซิวที่นำรากเซียนน้ำไฟมาได้

ดังนั้นเข็มทิศสาสน์เต๋ากับไข่มุกสาสน์เต๋า ผู้แข็งแกร่งทางด้านสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูล้วนกำลังรออยู่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มา แต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้คนที่โลกร้างได้ไปง่าย ๆ

“ดังนั้นสหายหลัวเจ้าต้องระวังตัวแล้วนะ ทันทีที่เจ้าปรากฏตัวขึ้น เพื่อขวางไม่ให้เจ้าได้สมบัติวิถีเซียนอีกสองชิ้นที่เหลือไป อีกฝ่ายจะต้องส่งกองกำลังหลักมาจัดการกับเจ้าอย่างแน่นอน” ฮวงเจิ้นเทียนพูดเช่นนี้

หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เหตุผลที่ฮวงเจิ้นเทียนพูดออกมา เขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี

“ถึงแม้รากเซียนน้ำไฟจะถูกเจ้าเอาไปแล้ว แต่ที่นี่สามารถให้กำเนิดรากเซียนได้ น้ำไฟที่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ก็ไม่ช่ของธรรมดา น้ำที่อยู่ด้านใน ยังเป็นน้ำอมฤตเทียนอี เป็นสมบัติที่สามารถฟื้นคืนชีพสิ่งมีชีวิตและก่อกำเนิดใหม่ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ถือเป็นยาศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ !”

“ยังมีลาวาอีกครึ่งหนึ่ง เรียกว่าเป็นไฟอมฤตชูหยวนสามารถยกระดับผลการฝึกตน ชุบร่างเนื้อ สามารถชุบร่างเนื้อสูงถึงระดับประมุขเต๋าได้ !”

ตอนนี้เอง ฮวงเจิ้นเทียนชี้ไปยังธารน้ำแข็งและลาวาในทะเลสาบแล้วพูดขึ้น

“น้ำอมฤตเทียนอี ? ไฟอมฤตชูหยวน?”

หลัวซิวได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคุ้นหู ทว่าในไม่ช้า ก็นึกถึงสัญญาที่เขาและประมุขเต๋าเลี่ยเทียนตกลงกันไว้ สมัยที่อยู่ในเขาผีเก้าตอนนั้นขึ้นมาได้ !

ตอนนั้นประมุขเต๋าเลี่ยเทียน มอบพลังแห่งประมุขเต๋าให้เขาเล็กน้อย ส่วนเขาเองก็รับปากว่าจะช่วยหาน้ำอมฤตเทียนอีให้กับประมุขเต๋าเลี่ยเทียน เพื่อช่วยฟื้นคืนชีพให้เขา

ที่ผ่านมา หลัวซิวไม่เคยได้ยินข่าวใด ๆ เกี่ยวกับน้ำอมฤตเทียนอีเลย ถึงขั้นว่า หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะฮวงเจิ้นเทียนบอกเขา เขาเองก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

“ชางเทียนเลี่ยเคยบอกว่า ถ้าหากข้าช่วยเขาหาน้ำอมฤตเทียนอีได้ เขาจะรับปากข้าทุกคำขอ เขากับหลงอวี้จบชีวิตลงพร้อมกันในยุคไท่ชู แต่หลงอวี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามังกรไท่ชู ชางเทียนเลี่ยยืนอยู่ฝั่งผู้สูงส่งอัษฎทิศ ไม่ได้เป็นคนทรยศเหมือนอย่างเช่นประมุขเต๋าเยว่เทียน”

หากไม่รู้เบาะแสของน้ำอมฤตเทียนอีเลยสักนิดก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว หลัวซิวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปช่วยเหลือประมุขเต๋าเลี่ยเทียน

เมื่อไม่มีคนของเผ่ามังกรไท่ชูและสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงคอยเป็นอุปสรรคอยู่ที่นี่ หลัวซิวก็ลงไปเก็บน้ำอมฤตเทียนอีและไฟอมฤตชูหยวนในทะเลสาบได้อย่างสบาย

ตามที่ฮวงเจิ้นเทียนบอกกล่าว น้ำอมฤตเทียนอีเป็นยาวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนไฟอมฤตชูหยวนคือสมบัติกลั่นร่าง หลัวซิวใช้แหวนเก็บของทั้งสองวงเก็บไปจนเต็มจึงหยุด

ฮวงเจิ้นเทียนไม่ได้พูดอะไร รากเซียนไม่อยู่แล้ว แต่โดยรอบทะเลสาบยังคงมีตัวต้องห้ามอยู่ ถึงแม้พลังของตัวต้องห้ามจะอ่อนกำลังลงมาก แต่คนที่จะเข้าไปเก็บน้ำอมฤตเทียนอีและไฟอมฤตชูหยวนได้ ก็มีเพียงไม่กี่คน มีคนสามารถบุกเข้าไปได้ แต่เก็บได้เพียงครั้งละน้อยก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว และต้องรีบถอยออกมาทันที

หลัวซิวเก็บไปได้เท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา ไม่มีใครออกมาพูดจาซุบซิบในเวลาเช่นนี้ได้

แต่หลัวซิวเองก็ไม่ได้สนใจแค่ว่าตนเองจะเก็บสมบัติจนมือไม้อ่อน เขาเก็บไฟอมฤตกับน้ำอมฤตอีกส่วนน้อยที่เหลือ เข้าไปในแหวนเก็บของอีกวง จากนั้นก็ยื่นใส่มือของฮวงเจิ้นเทียน ส่วนฮวงเจิ้นเทียนจะนำไปแบ่งอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว

ถึงแม้หลัวซิวจะไม่พูดอะไร การกระทำนี้ของเขาก็ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกดี เพราะทุกคนต่างรับรู้ได้ว่า มหาจักรพรรดิยุทธ์ซิวหลัวผู้นี้ ไม่เพียงแค่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่เห็นแก่ตัวและไม่แบ่งปันอีกด้วย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท