“เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?”
เห็นร่างคล้ายเทพปีศาจเดินมาหาทีละก้าว ๆ ตามสัญชาติญาณของตี้เทียนเจี๋ยจึงก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง โต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังเขาล้มลงและส่งเสียงดังโครมคราม
“ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
หลัวซิวก้าวเท้าเข้ามาจนถึงหน้าตี้เทียนเจี๋ย มีเพียงความเฉยเมยในสายตา ปราศจากอารมณ์แม้แต่น้อย เย็นชาและไร้ความปรานี
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ตี้เทียนเจี๋ยก็พลันทิ้งตัวลงกับพื้น ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีเหตุผลทีเดียว เจ้าคิดถูกแล้วที่จะไม่ฆ่าข้า เพราะพ่อของข้าเป็นผู้อาวุโสเผ่าดิน หากเจ้าฆ่าข้า ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่จะตาย แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าก็จะต้องติดร่างแหไปด้วย เรียกว่าชีวิตจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”
ตี้เทียนเจี๋ยดีใจมากที่ต้นกำเนิดของเขาได้ช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง เขาไม่ได้พูดอะไรแรงเกินไป เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าจะต้องยื้อผู้ชายตรงหน้าไว้ให้ได้ตราบเท่าที่ยังมีโอกาศ และเมื่อเขากลับไปที่เผ่าดิน ก็จะมีผู้แข็งแกร่งเผ่าดินที่สามารถกำจัดไอ้หนุ่มผู้นี้ได้
ขณะที่ตี้เทียนเจี๋ยกำลังคิดเกี่ยวกับการวางแผนของตัวเอง ความรู้สึกหายใจไม่ออกก็เกิดขึ้นทันที คอของเขาถูกบีบด้วยฝ่ามือเหมือนครีมเหล็ก
“เจ้า!……”
ตี้เทียนเจี๋ยดวงตาเบิกโพล่ง มองไปที่ชายหนุ่มในชุดดำตรงหน้าเขาด้วยความสยดสยอง เขาไม่เข้าใจว่าชายผู้นี้กำลังจะทำอะไร เขาบอกว่าเขาจะไม่ฆ่าตนไม่ใช่หรือ?
“ข้าคิดว่าเจ้าทำพลาดไปเรื่องหนึ่ง ข้าบอกว่าจะไม่ฆ่าเจ้า เพราะสำหรับข้าแล้ว การฆ่าเจ้าถือว่าถูกเกินไปสำหรับเจ้า”
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชา ผู้ชายคนนี้ทำชั่วมากี่หน หลัวซิวสามารถทำเป็นไม่สนใจได้ แต่เขากลับมีความคิดประสงค์ในตัวของเยว่เอ๋อร์ อาศัยเหตุผลเพียงเท่านี้ ก็สามารถมีอีกเป็นหมื่นเหตุผลแล้วที่จะไม่สามารถปล่อยเขาไปได้!
“ตายซะไอ้สวะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธ จากนั้นของขลังตราประทับที่ส่องประกายไปทั่วทุสารทิศก็ปรากฏตัวขึ้นและทุบไปที่หัวของหลัวซิวอย่างแรง
เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำการโจมตีคือเจ้าเมืองแสงดาว เขาพบว่าความสนใจทั้งหมดของอีกฝ่ายอยู่ที่ตี้เทียนเจี๋ย ดังนั้นเขาจึงคว้าโอกาสนี้เพื่อลอบโจมตี
“พวกเจ้าทุกคนสมควรตาย!”
ประกายเลือดส่องประกายในรูม่านตาของหลัวซิว เนื่องจากการหายตัวไปของเยว่เอ๋อร์ ทำให้เขาต้องระงับเจตนาฆ่าที่รุนแรงในใจของเขาไว้ในเวลานี้ เขาต้องการระบาย!
“ปัง!”
เขาโบกมือสะบัด ชนเข้ากับของขลังตราประทับจนระเบิดกลางอากาศ ผลที่ตามมาของพลังงานที่รุนแรงกวาดล้างออกไป ทำให้ทั่วทั้งโถงใหญ่ของตำหนักหลักเมืองถูกโจมตีจนสั่นไหวอย่างรุนแรง หากว่าไม่มีค่ายต้องห้ามคอยหนุน โถงใหญ่แห่งนี้คงค่ะพังทลายลงไปนานแล้ว
มือข้างหนึ่งบีบคอของตี้เทียนเจี๋ย ร่างของหลัวซิวหายไปในพริบตา เทเลพอร์ตมาอยู่ตรงหน้าของเจ้าเมืองแสงดาว นิ้วมืออีกข้างเหมือนดาบ และฟาดฟันออกไป
ทะยานเซียน!
เมื่อหลัวซิวลงมือก็ใช้พลังอมตะวรยุทธเซียนทันที แสงเซียนที่เปล่งประกายอยู่ระหว่างฝ่ามือของเขาปล่อยแสงเจิดจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองแสงดาวกับหลัวซิวจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าเหมือนกัน แต่พลังของทั้งสอง กลับไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
มีเลือดกระเซ็น ศีรษะที่ดวงตาเบิกโพล่งกระเด็นหลุดออกไป เลือดสาดไปทั่วทุกหนแห่ง เป็นที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
เจ้าเมืองแสงดาว ตายแล้ว!
นับตั้งแต่หลัวซิวก้าวเข้ามายังโถงใหญ่ตำหนักหลักเมือง นี่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าคนที่สองแล้วที่ตายด้วยน้ำมือของเขา อีกทั้งยังเป็นการฆ่าด้วยการใช้เพียงกระบวนท่าเดียว!
“เจ้า…… เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่? หากเจ้าปล่อยข้าไปในตอนนี้ ข้า……”
เมื่อเห็นหลัวซิวได้สังหารเจ้าเมืองแสงดาวไปอีกคน ตี้เทียนเจี๋ยก็ขวัญเสียจนตะโกนโหวกเหวกออกมาเสียงดัง
“หนวกหู!”
หลัวซิวขมวดคิ้ว เสียงกรอบดังขึ้น เขาบีบคอตี้เทียนเจี๋ยไปในทันที
หลังจากนั้น ลูกไฟลุกโชนจากมือของหลัวซิว และเผาร่างของตี้เทียนเจี๋ยให้เป็นเถ้าถ่านในทันที
หลัวซิวยกมือขึ้นเพียงแค่คว้าช่องจิตดั้งเดิมของตี้เทียนเจี๋ยจากเปลวไฟ และยังมีแหวนเก็บของที่ถือเป็นของเขาอีก
“หลอมจิต!”
สีหน้าของหลัวซิวเย็นชาจนถึงขีดสุด อาณากำลังเซียนของเขาแผ่กระจายออกไป มันได้ผนึกคลุมทั่วทั้งปริภูมิของโถงใหญ่ตำหนักหลักเมืองเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ในเวลานี้เขาได้ใช้พลังอมตะหลอมจิต เปลวเพลิงที่ไร้ที่สิ้นสุดปะทุขึ้นภายในอาณา ทุกสรรพสิ่งภายในเขตที่อยู่อาณาครอบคลุมจะถูกแผดเผา ดับสูญ!
เมื่อหลัวซิวกลายเป็นแสงออกไปจากเมืองแสงดาว ทั่วทั้งตำหนักหลักเมืองของเมืองแสงดาวต่างก็กลายเป็นซากปรักหักพัง แผ่นดินที่ถูกแผดเผา!
ในฐานะที่เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสเผ่าดิน สถานะของตี้เทียนเจี๋ยไม่ธรรมดา หลัวซิวประเมินว่าตนน่าจะได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายจากความทรงจำของเขา
ช่องจิตดั้งเดิมของตี้เทียนเจี๋ยมีตัวต้องห้ามชนิดพิเศษอยู่ มีความทรงจำบางส่วนที่ถูกตัวต้องห้ามผนึกเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นวิธีการบางอย่างที่สืบทอดมาจากเผ่าดิน ผนึกความทรงจำของการสืบทอดหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกขโมยโดยคนชั่วด้วยวิชามืดอย่างสืบค้นวิญญาณ
ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะเชี่ยวชาญอย่างมากในเรื่องของวิถีแห่งค่ายต้องห้าม เขารู้ด้วยว่าเป็นการยากมากที่จะแก้วิญญาณต้องห้ามประเภทนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่กล้าสนใจมรดกของเผ่าดินแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาต้องการคือข้อมูลความทรงจำที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
“หุบเขาเขี้ยวโลหิต?”
ในสถานที่ไม่ไกลจากเมืองแสงดาว หลัวซิวเห็นดาวเพชรราวกับถูกย้อมไว้ด้วยสีเลือดลอยอยู่ในอนัตตา
ดาวเพชรดวงนี้มีขนาดใหญ่มาก ทั่วทั้งพื้นที่เป็นสีแดงเลือด ท่ามกลางหมอกสีแดงเลือด สามารถมองเห็นรูปร่างอันคลุมเครือของหุบเขาในส่วนลึกของดาวเพชร ซึ่งมีลักษณะคล้ายฟันได้อย่างจาง ๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่มาของชื่อหุบเขาเขี้ยวโลหิตได้มาจากสิ่งใด
ตำแหน่งของหุบเขาเขี้ยวโลหิตไม่ได้เป็นความลับในโลกใต้ดิน ยกเว้นว่ามันดึงดูดความสนใจอย่างมากเมื่อมันปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว ในขณะที่ผู้คนที่เข้าไปไม่สามารถมีชีวิตกลับมาได้ หุบเขาเขี้ยวโลหิตก็ถูกโลกลืมเลือนไปทีละน้อย มันถูกกล่าวถึงเป็นครั้งคราว และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มันง่าย ๆ หลังจากได้ยินสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งโลกใต้ดินนับไม่ถ้วนหวาดกลัวราวกับสัตว์มีพิษ หลัวซิวก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่า หุบเขาเขี้ยวโลหิตต้องไม่ใช้สถานที่ที่ดีเป็นแน่ ถ้าไม่จำเป็น เขาคงไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงในสถานที่ที่คาดเดาไม่ได้แบบนั้น
แต่ตามความทรงจำของตี้เทียนเจี๋ย เยว่เอ๋อร์ได้เข้าไปด้านในแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะมีอันตรายอะไร หลัวซิวก็ต้องไปที่นั่น
ดังนั้นเมื่อหลัวซิวมาถึงบริเวณใกล้เคียงดาวเพชร เขาก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาก็กลายเป็นแสงเซียนสีรุ้ง มุ่งตรงไปยังหุบเขาเขี้ยวโลหิตที่คลุมเครือในส่วนลึกของดาวเพชร.
เมื่อกายสัมผัสกับหมอกโลหิตในดาวเพชร เสียงของจิจิก็ดังอยู่ในหูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แสงเซียนที่เปล่งออกมาจากผิวกายของหลัวซิวกำลังถูกหมอกสีเลือดกัดกร่อนด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว
“รังสีสังหารช่างน่าสะพรึงกลัว!”
หลัวซิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าหมอกสีเลือดมีออร่าแห่งรังสีสังหารที่บริสุทธิ์ ต่อให้เป็นพลังอมตะสรรพวิถีล้วนว้าง ก็ยังเป็นการยากที่จะทำให้การกัดเซาะของรังสีสังหารเหล่านี้อ่อนลง
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อหลัวซิวค่อยๆ เห็นหุบเขาเขี้ยวโลหิตอย่างชัดเจน เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่เรียกว่าหุบเขาเขี้ยวโลหิตไม่ใช่หุบเขาแต่อย่างใด แต่เป็นตราประทับ.
มันเหมือนกับว่าชิ้นส่วนของอนัตตาถูกขุดออกมา เหลือตราประทับที่มีรูปร่างเหมือนฟัน ยิ่งเข้าใกล้ตราประทับมากเท่าไหร่ รังสีสังหารที่น่าก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ภายใต้อิทธิพลของรังสีสังหาร หลัวซิวไม่สามารถปล่อยตัวสำนึก ของตัวเองได้เลย เขามองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่โชคดีที่เขาใช้เวลาน้อยกว่าสิบห้านาทีในการจับร่องรอยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ด้วยสายตาของเขา
หลัวซิวรีบบินไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด และเมื่อเขากอดร่างของเยว่เอ๋อร์ก็พบว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายใต้การกัดเซาะของรังสีสังหารที่นี่ ชีวีดั้งเดิมของนางเปรียบเสมือนเทียนที่จะดับลงได้ทุกเมื่อ
ข้างกายเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวยังเห็นเตาอลวนหวูจี๋ลอยอยู่ในอากาศ ศัสตราวุธผู้สูงส่งชั้นยอดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดจำนวนมาก หากผ่านไปหลายร้อยปี อาจถูกรังสีสังหารที่นี่กัดเซาะจนกลายเป็นเศษเหล็ก
ทันใดนั้น รูม่านตาของหลัวซิวหดลงอย่างกะทันหัน เพราะเขาเห็นในกระแสวนสีแดงเลือดของตราประทับเขี้ยวโลหิต มีดเปื้อนเลือดที่เปล่งประกายด้วยสีเลือดทั่วร่าง ลอยขึ้นลงในรังสีสังหารที่น่าสะพรึงกลัว
แม้จะอยู่ไกล รังสีสังหารนั้นก็ทำให้หลัวซิวตกใจ เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าเขาเข้าใกล้ เขาจะต้องถูกรังสีสังหารที่น่ากลัวนี้บดขยี้เป็นแน่
“ภัณฑ์เซียนหรือ?”
หลัวซิวไม่ได้พยายามที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะแม้ว่าเขาจะตั้งหลักที่นี่ได้ เขาก็ยังต้องใช้ผลการฝึกตนจำนวนมากเพื่อรักษาพลังอมตะสรรพวิถีล้วนว้างต่อการกัดกร่อนของรังสีสังหารสีเลือดนี้
เมื่อหลายแสนล้านปีก่อน มีดเปื้อนเลือดได้ตกลงมาและบดขยี้อนัตตา ทิ้งตราประทับชั่วนิรันดร์ไว้ในอนัตตา……
มีดโลหิตเล่มนี้ในความรู้สึกหนึ่งกับหลัวซิว มันแข็งแกร่งกว่าขวดเซียนอัคคีหลอมจิตที่เขาได้รับมาก อีกทั้งมีดโลหิตก็อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานปีแล้วแต่กลับไม่ถูกผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าชิงไป เห็นได้ชัดว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาที่เขาควรโลภเอาไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลัวซิวมองย้อนกลับไป สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือรีบพาเยว่เอ๋อร์ออกจากที่นี่
เมื่อรังสีสังหารที่อยู่รอบ ๆ หายไป หลัวซิวก็รู้ได้ว่าตนได้ออกมาจากใจกลางของหุบเขาเขี้ยวโลหิตแล้ว เขามองกลับไป รังสีสังหารสีเลือดหลอมรวมเป็นดาวเพชรก็ยังคงหมุนอยู่ ราวกับท่ามกลางอนัตตามีพระอาทิตย์สีเลือดดวงหนึ่งลอยเคว้งอยู่
มีดโลหิตเล่มหนึ่ง แค่เพียงรังสีสังหารที่ถูกปล่อยออกมาก็กลายเป็นสถานที่ที่สุดยอดได้ถึงเพียงนี้ ถ้าหากมีดโลหิตเล่มนั้นคือภัณฑ์เซียน หลัวซิวคาดว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากในบรรดาภัณฑ์เซียนแน่นอน
หลังจากออกมาจากหุบเขาเขี้ยวโลหิต สิ่งแรกที่หลัวซิวทำคือหยิบเอาน้ำอมฤตเทียนอีให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ดื่ม น้ำอมฤตเทียนอีสมกับที่เป็นสิ่งล้ำค่ารักษาบาดแผลชั้นยอดสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ภายใต้ฤทธิ์ของน้ำอมฤตเทียนอี เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่เดิมทีสีหน้าซีดเผือด ก็กลับมาเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดอีกครั้ง
แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ถึงอย่างไรรังสีสังหารภายในหุบเขาเขี้ยวโลหิตก็น่าหวาดกลัวมากเกินไป ถ้าหากคนที่เข้าไปไม่ใช่หลัวซิวแต่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าคนอื่น ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานการกัดเซาะของรังสีสังหาร
แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์สามารถอดทนอยู่ภายในนั้นได้นานเช่นนี้ ก็เพราะว่านางได้ปลุกสายเลือดวิถีเซียนขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้ว
เพราะโลกร้างเกิดเรื่องขึ้นแล้ว รวมถึงความขัดแย้งระหว่างตนกับเผ่าดิน หลัวซิวไม่คิดที่จะกลับไปติดต่อกับคนของเผ่าดินอีก ถึงอย่างไรในตัวของเขาก็มีสิ่งล้ำค่าดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวงชิ้นนี้อยู่ หากว่าคนของเผ่าดินเกิดความโลภขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจในพลังของตนเอง แต่หลัวซิวก็รู้ตัวเองดี ยังไม่พูดถึงบรรพจารย์ดินระดับมกุฎเต๋า เผ่าดินได้ผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลานาน ผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าย่อมมีจำนวนไม่น้อยเป็นแน่
ต่อให้เขาใช้หลอมจิตชาวเซียนเป็นผู้ช่วยเบื้องหลังเขา ไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้รับพละมนุษย์อมตะเป็นเวลาสิบห้านาที นอกเสียจากว่าเขาจะสามารถจัดการกับเผ่าดินให้มอดไหม้ดับสูญได้ภายในสิบห้านาที ไม่เช่นนั้นเมื่อพละมนุษย์อมตะหมดสิ้น เส้นทางเดียวที่เขามีก็คือความตายเท่านั้น
“ก่อนอื่นข้าต้องแน่ใจให้ได้ก่อนว่าที่โลกร้างเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มกุฎเต๋าบรรพจารย์ฮวงตายแล้วจริงหรือไม่? อาจารย์และเหล่าศิษย์พี่ในวันนี้อยู่ในสถานการณ์เช่นไร?”
หลังจากออกมาจากหุบเขาเขี้ยวโลหิต หลัวซิวก็พาเหยียนเยว่เอ๋อร์บินออกมาจากโลกใต้ดิน มาถึงยังห้วงดาราอันกว้างใหญ่ที่ด้านนอกแผ่นดินของโลกใต้ดิน
รูปแบบของโลกาผู้สูงส่งทั้งแปด นั่นคือโลกาทั้งแปดโคจรรอบกันเป็นวงกลม ใจกลางเส้นทางเชื่อมระหว่างโลกาทั้งแปด คือห้วงดาราอันกว้างใหญ่ที่ไร้ซึ่งเจ้าของ
ส่วนหลัวซิวหากต้องการกลับจากโลกใต้ดินไปยังโลกร้าง นอกจากจะอาศัยพลังแห่งค่ายกลทะลุผ่านพื้นโลกปริภูมิ ก็มีแค่เพียงผ่านทะลุห้วงดาราที่ไร้ซึ่งผู้ครอบครองแห่งนี้เท่านั้น