“ทุกสิบปี บนดาราทงซังที่ข้ารับผิดชอบจะขายข้อมูลข่าวกรองได้มากสุดแค่สามเรื่องเท่านั้น เมื่อรวมกับสองข่าวกรองที่เจ้าสอบถามในเมื่อครู่นี้ บวกกับลูกค้าคนอื่นที่เคยมาสอบถามเมื่อสามปีก่อน เพราะฉะนั้นเชิญทั้งสองท่านกลับไปเถิดขอรับ หากมีข้อมูลข่าวกรองอื่นที่ต้องการสอบถาม สามารถมาได้อีกในสิบปีภายหน้า”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังพิจารณาจะสอบถามข่าวเรื่องอื่นอยู่นั้น ผู้อาวุโสชุดคลุมเทากลับเอ่ยปากพูดกะทันหัน ออกคำสั่งส่งแขก
“เจ้าไม่ได้ตอบคำถามข้อมูลที่สองของข้า ดังนั้นน่าจะไม่ถือเป็นการขายข้อมูลข่าวกรองหรอกกระมัง?”หลัวซิวขมวดคิ้วพลางพูด
“ข้อมูลที่ไม่ได้รับคำตอบ ก็นับรวมด้วยเช่นกัน”ผู้อาวุโสชุดเทาส่ายหน้า
“ไยเจ้าจึงเป็นคนเช่นนี้?”เหยียนเยว่เอ๋อร์เห็นว่าใบหน้าของหลัวซิวดูไม่ค่อยพอใจ ใบหน้าที่เรียวบางก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที ก่อนจะมีออร่าเพลิงอัคคีที่ร้อนผ่าวแผ่กระจายออกมาจากตัวนางลาง ๆ
นางสามารถทำตัวอ่อนโยนดั่งน้ำต่อหลัวซิว แต่ถ้าเกิดมีคนทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจ เช่นนั้นนางก็จะไม่ปล่อยคนคนนั้นไปแน่นอน
สีหน้าของผู้อาวุโสชุดเทาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าพลังออร่าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวสตรีชุดแดงคนนี้น่าทึ่งมาก ยิ่งกว่านั้นคือพลังออร่านี้แข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองคนนั้นในเมืองหยุนซังมาก ๆ ด้วย
เขาคือผู้รับผิดชอบของเทียนหวางโหลวในอาณาจักรดาราแห่งนี้ แต่ทว่าเดิมทีในอาณาจักรดาราที่ดาราทงซังตั้งอยู่ก็มีผู้แข็งแกร่งไม่มากอยู่แล้ว ดังนั้นศักยภาพของเขาที่เป็นผู้รับผิดชอบก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์เจ็ดกงล้อช่วงกลาง ซึ่งศักยภาพอยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าเมืองแห่งเมืองหยุนซังนั่น
“ต่อให้ทั้งสองท่านลงมือต่อข้าก็ไม่มีประโยชน์อันใดหรอกขอรับ เพราะกฎเกณฑ์เทียนหวางโหลวของเราไม่เคยถูกทำลายมาก่อน”ลักษณะท่าทีของผู้อาวุโสชุดเทาเด็ดเดี่ยวมาก แต่ทว่ามือซ้ายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขากำลังกำฮู้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะบีบทำลายเพื่อหลบหนีตลอดเวลา
“เยว่เอ๋อร์ ใจเย็น”
หลัวซิวลูบเส้นผมที่แดงฉานของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ออร่าเพลิงอัคคีที่ร้อนผ่าวดุดันบนตัวนางจึงถอยหายไปดั่งกระแสน้ำ ฟื้นฟูกลับไปสงบเหมือนเดิม
ผู้อาวุโสชุดเทาแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ทว่าความรู้สึกบนใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ประสานมือพลางพูด: “ทั้งสองเชิญกลับเถิด”
“สาเหตุที่เจ้ารีบให้เรากลับ เป็นเพราะคำถามที่สองที่ข้าสอบถามในเมื่อครู่นี้เกี่ยวเนื่องถึงสิ่งต้องห้าม ใช่หรือไม่?”หลัวซิวเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“ลูกค้าเชิญกลับเถิดขอรับ”ผู้อาวุโสชุดเทาไม่ได้ตอบกลับคำถามดังกล่าวแต่อย่างใด
หลัวซิวยิ้มและไม่ได้ถามอะไรอีก พาเหยียนเยว่เอ๋อร์หันหลังแล้วจากไปโดยตรง เพราะดูจากปฏิกิริยาของของอาวุโสชุดเทา เขาก็ทราบคำตอบแล้ว
……
มีรากเซียนน้ำไฟ หลัวซิวสามารถดูดซับกลั่นแปรพลังเซียนที่สะอาดบริสุทธิ์เพื่อยกระดับบผลการฝึกตนของตัวเอง บวกกับมีสมบัติกลั่นร่างอย่างไฟอมฤตชูหยวนอีก ผลการฝึกตนของหลัวซิวจึงบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้ออย่างรวดเร็ว!
เมื่อเปรียบเทียบกับการยกระดับผลการฝึกตนแล้ว เคล็ดเซียนแปรเก้าที่บรรลุถึงแดนแปรที่เจ็ดกลับเป็นดอกผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลัวซิว
เพราะเมื่อฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าถึงแปรที่เจ็ด นั่นก็หมายความว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงระดับขั้นที่เทียบทัดอาวุธเทพมหาศักดิ์แล้ว!
แม้นเขาเพิ่งจะบรรลุถึงแปรที่เจ็ด ร่างยุทธ์ร่างเนื้อแค่เทียบเท่าอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นล่าง แต่นี่ก็เป็นการก้าวข้ามที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างเนื้อที่เทียบทัดเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ในอดีตไม่สามารถเทียบเคียงได้ด้วยซ้ำ
สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่า เมื่ออาศัยพลังร่างเนื้อในปัจจุบันของหลัวซิว เขาสามารถทำลายเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ให้กลายเป็นฝุ่นผงได้อย่างง่ายดายเลย เนื่องจากนี่คือร่างกายของตัวเขาเอง ฉะนั้นศักยภาพแท้จริงที่แสดงออกมาในการต่อสู้จึงอยู่เหนืออาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอด!
สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อร่างเนื้อบรรลุขึ้นมาถึงระดับนี้ ของขลังที่อยู่ในระดับอาวุธเทพมหาศักดิ์ไม่ค่อยมีความหมายอะไรต่อหลัวซิวแล้ว
ด้วยเหตุนี้ หลัวซิวจึงมอบเตาอลวนหวูจี๋นั่นให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ตั้งนานแล้ว รวมไปถึงไฟเทวดวงนั้น ก็ถูกหลัวซิวมอบให้เหยียนเยว่เอ๋อร์พร้อมกันด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อมีของขลังทรงพลังอย่างเตาเทพและไฟเทว ทำให้ศักยภาพของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากล้นเช่นกัน บวกกับนางดูดซับไฟอมฤตชูหยวน ผลการฝึกตนของนางจึงบรรลุถึงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อขั้นสูง ยิ่งกว่านั้นคือกำลังรบที่แท้จริงของนางแข็งแกร่งกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อส่วนมากเสียอีก
“อดีตศักยภาพของข้าสามารถเทียบทัดผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ เช่นนั้นจากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของข้า น่าจะสามารถเทียบทัดผู้สูงส่งช่วงกลางได้แล้วสินะ? หากใช้ไพ่เด็ดท่าไม้ตายทั้งหมด ต่อให้เป็นผู้สูงส่งช่วงปลาย ตลอดจนระดับผู้แกร่งเลิศ ข้าก็มีพลังที่สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว”
สัมผัสกับพลังอันแข็งแกร่งภายในร่างกาย หากไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของตนยืนอยู่หน้าตัวเอง เขาก็สามารถทำการสังหารไท่ซ่างฉิงได้อย่างง่ายดายเลย!
ภพชาตินี้ เขาที่มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูงสามารถสังหารตัวเองในอดีตชาติที่บรรลุถึงแดนผู้สูงส่งได้อย่างง่ายดาย!
“แม้แต่ยุคสมัยที่มีประมุขเต๋าและมกุฎเต๋าคงอยู่อย่างปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งที่อยู่ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว”
ดั่งคำกล่าวที่ว่าความมั่นใจที่มากล้นมีต้นกำเนิดมาจากศักยภาพที่แข็งแกร่ง ผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง บวกกับเคล็ดเซียนแปรเก้าที่บรรลุถึงแดนแปรที่เจ็ด หลัวซิวถึงมีความมั่นใจในการย้อนกลับไปยังโลกร้าง
เขาเชื่อว่าเมื่ออาศัยวิถีไร้ลักษณ์ของตัวเอง ขอแค่จงใจอำพรางตัวตน นอกเสียจากมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋ายืนอยู่ต่อหน้าเขา อีกทั้งทำการตรวจสอบอย่างละเอียด มิเช่นนั้นก็แยกแยะตัวตัวที่แท้จริงของเขาได้ยากมาก
สาเหตุที่จะย้อนกลับไปยังโลกร้างนั้น หลัวซิวย่อมต้องเป็นเพราะจะกลับไปตามหาเบาะแสของคนอื่น ๆ ในหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว เมื่อปีนั้นบริเวณรอบนอกของแดนบรรพกาลยุ่งเหยิงไปหมด แต่ถ้าเกิดมีพวกต้วนคงอยู่ข้างกายละก็ หลัวซิวคาดว่าพวกน้องโรว่น่าจะไม่เป็นอะไร
พวกต้วนคงติดอยู่ในสถานสาสน์เต๋าของนักเซียนหลอมจิตมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ปัจจุบันกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นไม่มีผู้ใดทะนุถนอมชีวิตมากไปกว่าพวกเขาแล้ว และจากผลการฝึกตนระดับประมุขเต๋าของต้วนคง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น การคุ้มกันชีวิตผู้คนที่อยู่ข้างกายน่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แน่นอนอยู่แล้วว่าภายใต้ความวุ่นวาย ก็อาจมีคนพลัดหลงออกไปจากขบวนเหมือนเยว่เอ๋อร์เช่นกัน ดังนั้นหลัวซิวจึงยิ่งต้องกลับไปหาพวกเขา
ปัจจุบันผู้ที่บัญชาการอยู่ในห้วงดาราที่เป็นที่ตั้งของโลกร้าง คือผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง
หลัวซิวรู้อยู่ว่าช่วงระยะความต่างของตัวเองและผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าแตกต่างกันเยอะมาก แต่ทว่าเขาเชื่อว่าต่อให้สู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว หากเขาต้องการหลบหนีละก็ แม้นจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ก็อย่าคิดว่าจะสามารถหยุดยั้งเขาเอาไว้ได้
มิหนำซ้ำการย้อนกลับไปยังโลกร้างในครั้งนี้ของหลัวซิวก็ไม่ได้จะไปเพื่อต่อสู้กับผู้อื่นเช่นกัน แต่เป็นการกลับไปสืบเสาะเบาะแสของพวกต้วนคง
อ้างอิงจากการอนุมานของหลัวซิว หากพวกต้วนคงยังมีชีวิตอยู่ละก็ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะซ่อนเร้นอยู่ในโลกร้างเพื่อรอคอยตน หรือไม่ก็ออกจากโลกร้าง มุ่งหน้าไปยังห้วงดาราอื่นแล้ว
ในขณะที่หลัวซิวพาเหยียนเยว่เอ๋อร์เคลื่อนที่ผ่านห้วงดารา กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งที่ตั้งของโลกร้างอยู่นั้น ณ ห้วงดาราแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป มีรุ้งยาวเพลิงอัคคีดวงหนึ่งเคลื่อนผ่านห้วงดาราที่มืดมิดปานดาวตก
ภายในแสงกลเพลิงอัคคีดังกล่าวคือสตรีที่งามเพลิศพริ้งคนหนึ่ง บนมือข้างซ้ายนางมีลูกแก้วสีแดงหนึ่งลูก วินาทีนี้กำลังมีรัศมีที่แดงฉานปานเลือดสีแดงสดเป็นประกายอยู่บนลูกแก้วลูกนั้น
“ไม่นึกเลยว่ากาลเวลาล่วงเลยมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ในบรรดาทายาทที่สายเลือดเบาบาง จักมีคนสามารถปลุกตื่นโลหิตหงสา”
สตรีคนดังกล่าวดูมีอายุประมาณ 30 กว่า หุ่นร่างเร่าร้อนแต่ก็ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ดวงตาอันโฉบเฉี่ยวที่น่าดึงดูดกำลังเพ่งมองลูกแก้วที่เปล่งแสงสีแดงบนมือ
สตรีงามเพลิศพริ้งผู้นี้มีนามว่าเฟิ่งจิ่น ซึ่งมาจากเผ่าญาติวิหดเพลิงที่ลึกลับ
จักรวาลที่กว้างใหญ่คงอยู่มาหลายล้านล้านปีแล้ว ทุก ๆ ยุคสมัยในอดีต มีความลับไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่จมหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา
ความเป็นมาของเผ่าญาติวิหดเพลิงสามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงยุคสมัยที่ไกลโพ้นอย่างสมัยประเทศเซียนได้แล้ว ในยุคสมัยที่เก่าแก่นั่น เซียนในจักรวาลใช้อำนาจบาตรใหญ่ และอดีตก็เคยมีหงส์ตัวหนึ่งฝึกตนบรรลุเป็นเซียน แล้วกลายเป็นเซียนหงสา
เซียนหงสาและผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่งงานกัน ทิ้งสายเลือดสืบทอดเอาไว้ แต่ทว่าจากกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป สายเลือดสืบทอดก็ยิ่งอยู่ยิ่งเบาบางลง บวกกับรุ่นหลังของเซียนหงสาก็แต่งงานกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อีก จึงส่งผลให้สายเลือดสืบทอดเจือจางลงอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งมาถึงยุคต้าเหยียนในภายหลัง เพื่อเป็นการรับประกันสายเลือดที่บริสุทธิ์ ทายาทเซียนหงสาบางส่วนที่มีสายเลือดสืบทอดระดับสูงเลือกที่จะซ่อนเร้นจากโลกภายนอก ดังนั้นมาตรแม้นว่าเป็นมกุฎเต๋าทั้งหลาย ก็มีน้อยคนมากที่ทราบการคงอยู่ของเผ่าญาติวิหดเพลิง
เผ่าญาติวิหดเพลิงไม่เปิดตัวสู่โลกภายนอก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของเผ่าพันธุ์พวกนางไม่แข็งแกร่ง แม้นการสืบทอดของสายเลือดยังคงต้านทานการกัดกร่อนจากกาลเวลาไม่ได้ จนสายเลือดค่อย ๆ เบาบางลงไป แต่ในเผ่าญาติวิหดเพลิงก็ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคงอยู่เช่นกัน!
เผ่าญาติวิหดเพลิงมีอุบายพิเศษ ซึ่งสามารถสัมผัสออร่าของสายเลือดเซียนหงสาได้ จากกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา ในบรรดาทายาททั้งหลายที่มีสายเลือดเบาบางก็เคยมีคนปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสามาก่อนเหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เผ่าญาติวิหดเพลิงก็จะส่งคนไปรับผู้ที่ปลุกตื่นสายเลือดกลับมา ขอแค่เป็นทายาทที่สามารถปลุกตื่นสายเลือด ไม่ว่าระดับของสายเลือดที่ปลุกตื่นจะสูงต่ำเท่าไหร่ก็ตาม แต่พรสวรรค์ในการฝึกตนของคนดังกล่าวล้วนอยู่เหนืออัจฉริยะส่วนมาก
และสาเหตุที่เฟิ่งจิ่นออกมาจากเผ่าญาติวิหดเพลิงในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะมีคนปลุกตื่นสายเลือดอีกแล้ว อีกทั้งอ้างอิงจากคำพูดของบรรพอาจารย์แห่งเผ่าญาติวิหดเพลิง ผู้ปลุกตื่นสายเลือดในครั้งนี้ พลังสายเลือดที่คนดังกล่าวปลุกตื่นบริสุทธิ์และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
ด้วยเหตุนี้เผ่าญาติวิหดเพลิงจึงให้ความสำคัญกับการปลุกตื่นในครั้งนี้อย่างมาก ดังนั้นจึงส่งผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าอย่างเฟิ่งจิ่นออกมา ลูกแก้วที่อยู่ในมือนางสามารถสัมผัสสายเลือดเซียนหงสา วินาทีนี้ดูจากปฏิกิริยาของลูกแก้วที่อยู่บนมือ ทายาทที่ปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสานั่นอยู่ห่างไม่ไกลจากนางแล้ว
หลัวซิวเริ่มสามารถมองเห็นเค้าโครงแผ่นดินใหญ่ของโลกร้างแล้ว วินาทีนี้มีแรงสั่นเสี้ยวหนึ่งสะท้อนออกมาจากหอคอยฮวงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเขา
การสั่นของหอคอยฮวงทำให้จิตใจหลัวซิวเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จู่ ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่มกุฎเต๋าหวูจี๋เคยพูด
อิงจากคำพูดของมกุฎเต๋าหวูจี๋ เมื่อหลายล้านล้านปีก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่บรรพจารย์ฮวงบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย เขาได้นำร่างกายของตัวเองหลอมรวมเข้ากับหอคอยฮวง ถึงจะบุกเบิกวิวัฒนาการห้วงดาราแห่งหนึ่งที่มีแผ่นดินโลกร้างเป็นใจกลางออกมา ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ และยิ่งบรรลุถึงแดนมกุฎเต๋าด้วย
ในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุนี้มกุฎเต๋าบรรพฮวงก็ไม่สามารถออกจากห้วงดาราโลกร้างได้ตลอดกาล ยิ่งกว่านั้นคือในชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่สามารถทลายพันธนาการของมกุฎเต๋าได้อีกแล้ว สูญเสียความหวังที่จะได้บรรลุเป็นเซียนไปตลอดกาล
หากพูดให้แม่นยำหน่อยก็คือห้วงดาราโลกร้าง หอคอยฮวงและบรรพจารย์ฮวงเป็นหนึ่งเดียวกัน
เช่นนั้นห้วงดาราโลกร้างยังอยู่ หอคอยฮวงก็ยังอยู่เช่นกัน บรรพจารย์ฮวงตายไปแล้วจริง ๆ หรือ?
จากการที่อยู่ยิ่งเข้าใกล้ห้วงดาราโลกร้าง หลัวซิวก็สัมผัสได้ลาง ๆ ว่าเหมือนหอคอยฮวงกำลังร้องเรียกอะไรบางอย่างอยู่