ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง ทั้งยังเป็นผู้สูงส่งช่วงปลายด้วย เฟิ่งจิ่นมีความหยิ่งผยองในแบบของนางเอง
และเป็นเพราะความหยิ่งผยองนี้นี่แหละ นางจึงไม่อยากอธิบายอะไร ฉะนั้นถึงได้ลงมือใช้อำนาจอยากจับกุมตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไป
แต่เมื่อนางค้นพบว่าตนไม่สามารถใช้พละกำลังนำตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปได้ เฟิ่งจิ่นจึงทำได้เพียงเก็บความหยิ่งผยองนั่นกลับไป
เพราะเฟิ่งจิ่นเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน อนาคตหากคนประเภทนี้ย่างกรายสู่แดนผู้สูงส่ง ไม่แน่เพียงกระบวนท่าเดียวเขาก็สามารถสังหารผู้สูงส่งช่วงปลายอย่างนางได้แล้ว
“เผ่าญาติวิหดเพลิง?”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยได้ยินกองกำลังดังกล่าวมาก่อนเลย อย่างน้อยจากระดับความเข้าใจในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของเขา ไม่มีการคงอยู่ของกองกำลังดังกล่าวแต่อย่างใด
“ใช่ เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินเผ่าของเรามาก่อน แต่เผ่าญาติวิหดเพลิงของเรากลับสามารถเรียกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวาลนี้”
เฟิ่งจิ่นพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ขอแนะนำตัวก่อน ข้าชื่อเฟิ่งจิ่น เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งเผ่าญาติวิหดเพลิง หวังว่าเจ้าจักไม่ห้ามปรามให้ข้าพาสาวน้อยคนนั้นไปนะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งจิ่นก็ใช้นิ้วชี้ไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหลัวซิว
เฟิ่งจิ่นต้องมองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดทางสายเลือดที่ปรากฏด้านหลังเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่แล้ว นี่จึงทำให้นางตื่นเต้นดีใจมาก เพราะดูจากปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั่น ระดับสายเลือดของสาวน้อยที่ปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสาคนนี้สูงมาก!
ตั้งแต่โบราณกาลมา เผ่าญาติวิหดเพลิงจะพาผู้คนบางส่วนที่ปลุกตื่นสายเลือดกลับเผ่าญาติวิหดเพลิงอยู่เป็นระยะ แต่ผู้คนส่วนมากในเผ่าที่ปลุกตื่นสายเลือดแค่ได้รับสายเลือดระดับต่ำที่ค่อนข้างเบาบาง สายเลือดระดับสูงตลอดจนสายเลือดชั้นยอด ไม่เคยอุบัติขึ้นมาหลายยุคตรีภพแล้ว
“นางคือภรรยาของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางให้เจ้านำตัวนางไป”หลัวซิวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
หลัวซิวไม่มีวันลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแสงดาวเลย เมื่อปีนั้นเผ่าหงส์คิดหาทุกวิถีทางเพื่อต้องการตัวเยว่เอ๋อร์ แท้จริงแล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาก็เพื่อได้รับสายเลือดที่อยู่ในร่างกายนางนี่แหละ
ส่วนคนในเผ่าญาติวิหดเพลิงกลับปรากฏที่นี่ จึงยากที่จะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนการเดียวกับเผ่าหงส์ อย่างไรเสียหากเป็นผู้ที่มีพลังสายเลือดเหมือนกัน สามารถใช้วรยุทธ์และเคล็ดวิชาพิเศษมายึดครองสายเลือดของคนในเผ่า แล้วยกระดับสายเลือดของตัวเองได้
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธข้า หากเจ้าฟังคำพูดถัดจากนี้ของข้าจนจบ หากเจ้ายังยืนยันไม่ให้นางไปพร้อมข้าละก็ เช่นนั้นข้าก็จักไม่ตื้อพวกเจ้าอีกแน่นอน”
ดูเหมือนการปฏิเสธของหลัวซิวจะอยู่ในการคาดหมายของเฟิ่งจิ่นยังไงอย่างนั้น อย่างไรเสียนางก็เป็นคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวกะทันหัน แล้วจักนำตัวภรรยาผู้อื่นไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นผู้ใด ก็ล้วนแต่จะปฏิเสธโดยสัญชาตญาณกันทั้งนั้นแหละ
ทว่าเฟิ่งจิ่นกลับยังคงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เห็นเพียงสายตานางร่วงลงบนตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ หากพูดให้แม่นยำหน่อยคือสายตานางเพ่งเล็งไปบนโลกาเพลิงอัคคีที่อยู่ด้านหลังเหยียนเยว่เอ๋อร์
“เจ้าก็น่าจะมองเห็นแล้วเหมือนกัน นางปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสา ฉะนั้นสายเลือดของนางจึงเริ่มแปรเปลี่ยนแล้ว จึงผนึกรวมตัวอ่อนเซียนหงสาออกมาหนึ่งใบ”
“แต่ทว่าหากไม่มีวรยุทธ์พิเศษมาหล่อเลี้ยงตัวอ่อนเซียนหงสาละก็ ตัวอ่อนเซียนหงสาก็จะไม่มีทางฟักออกมา มีแต่จะได้ตายอยู่ในใข่!”
“และทันทีที่วิญญาณหงสาที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ในตัวอ่อนเซียนหงสาตายไป เช่นนั้นนางที่มีสายเลือดเซียนหงสาก็จะตายเช่นกัน!”
เมื่อเฟิ่งจิ่นพูดคำพูดดังกล่าวออกมา แม้นความสนใจส่วนมากของหลัวซิวจะล้วนเพ่งเล็งไปบนตัวเฟิ่งจิ่นก็ตาม แต่ตัวสำนึกที่ล่องลอยอยู่บริเวณรอบ ๆ ของเขากลับสัมผัสได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมว่า สีหน้าของเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นี่จึงทำให้หลัวซิวที่ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อยในตอนแรกรู้สึกว่าคำพูดทั้งหมดที่เฟิ่งจิ่นกล่าวมา มีโอกาสเป็นจริงจริง ๆ
“หากเจ้าไม่เชื่อละก็ เจ้าสามารถถามภรรยาเจ้าได้เลย ในฐานะที่เป็นผู้มีสายเลือดเซียนหงสา นางเข้าใจดีกว่าทุกคนเลยว่าหากตัวอ่อนเซียนหงสาหล่อเลี้ยงไม่สำเร็จ ตัวนางต้องได้ตายอย่างแน่นอน!”เฟิ่งจิ่นเอ่ยปากพูด
หลัวซิวไม่ได้สนใจเฟิ่งจิ่น เขามองไปทางภรรยาที่อยู่ข้างกายด้วยแววตาเชิงสอบถาม
“ท่านสวามี ข้า……ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านกังวลใจ ข้าคิดหาวิธีมาโดยตลอด……”เหยียนเยว่เอ๋อร์ก้มหน้าลง นางก็ทราบเช่นกันว่าบัดนี้นางไม่สามารถปิดบังต่อไปได้อีกแล้ว
“ยัยบื้อเอ๊ย”
หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขายื่นมือไปลูบเส้นผมที่ยาวสลวยของภรรยา “ต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็อย่าปิดบังข้าอีกล่ะ”
หลัวซิวทราบความคิดในใจของเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ และเป็นเพราะเขาทราบนี่แหละ ถึงได้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น เพราะเขาเข้าใจดีอยู่ว่าสาเหตุที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่บอกตัวเองนั้น ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะกังวล นางอยากให้ตนเป็นสตรีที่คอยสนับสนุนสามีอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงของเขา
นึกย้อนกลับไป ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการออกไปขัดเกลายกระดับผลการฝึกตนศักยภาพของตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งใส่ใจต่อผู้คนที่อยู่ข้างกายน้อยไปจริง ๆ ดังนั้นเขาถึงไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเยว่เอ๋อร์เองกำลังแบกรับกับแรงกดดันบางอย่างที่เขาไม่ทราบ
ตั้งแต่พวกเขาสามีภรรยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา มีเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูด ทว่าต่างก็เข้าใจกันดี
และแท้จริงแล้วความรู้สึกเช่นนี้มันก็เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อต่างตกอยู่ในความอันตราย ต่างก็จะกอดคอช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้า นางไม่ค่อยกล้าสบตาหลัวซิว เพราะนางรู้อยู่ว่าต่อให้ตัวเองจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลังสามารถแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำให้ท่านสวามีกังวลอยู่ดี นี่จึงทำให้นางรู้สึกผิดมาก
แต่หลัวซิวกลับไม่มีท่าทีที่จะตำหนินางแต่อย่างใด สายตาจ้องมองไปทางเฟิ่งจิ่น “ฟังจากความหมายของเจ้า ขอแค่ภรรยาข้าฝึกวรยุทธ์ในเผ่าญาติวิหดเพลิงของพวกเจ้า ก็จะปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่?”
แววตาของหลัวซิวเรียบนิ่งมาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดภายในใจเฟิ่งจิ่นกลับรู้สึกเย็นยะเยือก
“ฝึกวรยุทธ์ในเผ่าญาติวิหดเพลิงของเราเป็นเพียงหนึ่งในหนทางแก้ปัญหา นางยังต้องผ่านการล้างบาปในสระหงสาด้วย ถึงจะทำให้สายเลือดแปรเปลี่ยนสำเร็จ หากข้าดูไม่ผิดละก็ ระดับสายเลือดที่ภรรยาเจ้าปลุกตื่นนั้นสูงมาก ทันทีที่สายเลือดแปรเปลี่ยนสำเร็จ นางต้องได้รับความสำคัญจากหัวหน้าเผาแน่นอน ผลสำเร็จในอนาคตไร้ขีดจำกัด”เฟิ่งจิ่นตอบกลับ
ในระหว่างที่พูดคำพูดเหล่านี้ เฟิ่งจิ่นตั้งใจสังเกตสีหน้าของหลัวซิวมาโดยตลอด เมื่อนางเห็นความผิดหวังเสี้ยวหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาของชายหนุ่มชุดดำคนนี้ หัวใจนางก็เต้นเร็วขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเฟิ่งจิ่นที่เป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลายมีจิตสัมผัสที่อ่อนไหวต่อความอันตรายสูงมาก ถ้าเกิดแค่ฝึกวรยุทธ์ของเผ่าญาติวิหดเพลิงแล้วจะปลอดภัยละก็ เช่นนั้นเวลานี้หลัวซิวก็คงลงมือแล้ว
เพราะหลัวซิวไม่เชื่อใจเผ่าญาติวิหดเพลิง หากเยว่เอ๋อร์จำเป็นต้องฝึกวรยุทธ์ของเผ่าญาติวิหดเพลิง เช่นนั้นเขาก็เลือกที่จะแก่งแย่งวรยุทธ์นั้นมา ต่อให้ต้องสังหารเฟิ่งจิ่นแล้วฝืนใช้อำนาจค้นวิญญาณในความทรงจำของนาง เขาก็จะทำ
แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวมันกลับไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่จินตนาการ นอกจากต้องฝึกวรยุทธ์พิเศษแล้ว ยังต้องเข้าไปล้างบาปในสระหงสาอีก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์จำเป็นต้องกลับเผ่าญาติวิหดเพลิงสักรอบ
สำหรับความเป็นความตายของภรรยา หลัวซิวย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าควรตัดสินใจอย่างไร ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าหลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าสามารถพาภรรยาข้าเดินทางไปเผ่าญาติวิหดเพลิงพร้อมกับเจ้าหนหนึ่ง”
“เจ้าไปไม่ได้”คำตอบของเฟิ่งจิ่นไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“เพราะเหตุใด?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง
“สถานที่ตั้งของเผ่าญาติวิหดเพลิงเราไม่อนุญาตให้บุคคลนอกเผ่าย่างกรายเข้าไป ฉะนั้นข้าจึงไม่สามารถพาเจ้าไปได้”น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่นไม่มีพื้นที่ที่จะให้เจรจาต่อรองเลยแม้แต่น้อย
หลัวซิวจึงขมวดคิ้วแน่นอย่างอดไม่ได้ หากตัวเองไม่อยู่ข้างกายละก็ เขาวางใจให้เยว่เอ๋อร์มุ่งหน้าไปเผ่าญาติวิหดเพลิงพร้อมกับฝ่ายตรงข้ามไม่ได้จริง ๆ
ลำดับแรกคือเขาไม่รู้ว่าเผ่าญาติวิหดเพลิงตั้งอยู่ที่ใด หากเยว่เอ๋อร์ไปฝั่งนั้นแล้วเกิดเรื่องอะไรไปเขาจะทำอย่างไร?
“ท่านสาวมี……”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังลังเลใจอยู่นั้น จู่ ๆ เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเขากลับเอ่ยปากพูด: “ให้ข้าไปกับผู้อาวุโสท่านนี้เถิดเจ้าค่ะ”
“เยว่เอ๋อร์ เจ้า……”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะเอ่ยปากพูดอยู่นั้น กลับถูกมือเล็กที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปิดปากไว้ “ข้าทราบว่าท่านเป็นห่วงข้า ทว่าข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของท่านตลอดไป บางทีการไปเผ่าญาติวิหดเพลิงในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสหนึ่งของข้า หากสายเลือดของข้าสามารถแปรเปลี่ยนยกระดับ อนาคตก็จะสามารถช่วยเหลือท่านได้แล้ว แต่ไม่ใช่ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ด้านหลังท่านตลอดไป มองดูท่านไปเผชิญหน้ากับอุปสรรคขวากหนามคนเดียว”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของภรรยา หัวใจหลัวซิวก็สั่นไหวเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
การที่มีภรรยาเช่นนี้ ตนที่เป็นสามียังมีอะไรที่ไม่พอเพียงเล่า?
เขารู้อยู่ว่าแม้นเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ต่อหน้าเขาจะดูอ่อนแอ แท้จริงแล้วนางเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก นางมีความคิดของตัวเอง และมีเรื่องที่ตัวนางเองอยากทำเช่นกัน ในขณะเดียวกันนางก็มีสิ่งที่นางยืนหยัดด้วย
เมื่อถึงวินาทีนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองจำเป็นต้องตัดสินใจ แม้เขาจะไม่อยากให้เยว่เอ๋อร์จากไปจากตัวเองมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็รู้อยู่ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ก็คือให้เยว่เอ๋อร์เป็นคนไปจัดการเอง
……
สุดท้ายเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็จากไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่น และสิ่งที่หลัวซิวทำได้ก็มีเพียงร่ายตราประทับหนึ่งลงไปในร่างกายเหยียนเยว่เอ๋อร์ ขณะที่พวกนางทั้งสองต่างไม่ทันได้สังเกต
วิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงได้เป็นร้อยแปดพันเก้า ไร้ร่องรอยซึ่งสามารถสืบเสาะ หลัวซิวเชื่อว่าต่อให้ในเผ่าญาติวิหดเพลิงจะมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ก็ไม่มีทางค้นพบตราประทับที่เขาทิ้งไว้บนตัวเยว่เอ๋อร์แน่นอน
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเมื่อเยว่เอ๋อร์จากไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่นางถึงจะสามารถกลับมาข้างกายตน ยิ่งกว่านั้นคือมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเผ่าญาติวิหดเพลิงอาจไม่ยอมปล่อยให้นางจากมาง่าย ๆ เช่นนั้นอนาคตคอยเขามีเวลาว่างเมื่อไหร่ เขาก็สามารถสะกดรอยตามออร่าตราประทับ เดินทางไปเผ่าญาติวิหดเพลิงด้วยตนเองหนึ่งรอบ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะนำภรรยาตัวเองกลับมาให้ได้
โคจรพลังเซียนไร้ลักษณ์ หลัวซิวเปลี่ยนแปลงออร่าและโฉมหน้าของตัวเอง กลายเป็นชายหนุ่มผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่อยู่ในชุดขาว แล้วเข้าสู่ห้วงดาราของโลกร้าง อีกทั้งมาถึงแผ่นดินหลักของโลกร้าง
เพียงพริบตาเดียว เวลาเกือบครึ่งปีก็ล่วงเลยไป ในระหว่างนี้หลัวซิวก็สืบเสาะเบาะแสของต้วนคงรวมไปถึงพวกเหยียนซีโรว่มาโดยตลอด
นอกเหนือจากนี้แล้ว ตั้งแต่มาถึงห้วงดาราโลกร้างเป็นต้นมา หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้ลาง ๆ ว่ามีพลังออร่าที่เบาบางถูกหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ดูดซับ ซึ่งพลังออร่าเหล่านั้นเบาบางมาก ๆ หากไม่ใช่เพราะตัวสำนึกของเขาแข็งแกร่ง ก็อาจจะสัมผัสไม่ได้เลย
พลังออร่าเหล่านี้มาจากฟ้าดินในโลกร้าง ราวกับมีอยู่ทุกแห่งหน ราวกับถูกหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาเรียกให้มารวมตัวกัน
การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวมีการคาดคะเนโดยคร่าว ๆ ถ้าเกิดบอกว่าโลกาดาราของโลกร้างบุกเบิกวิวัฒนาการออกมาโดยบรรพจารย์ฮวงหลอมรวมเข้ากับหอคอยฮวง เช่นนั้นก็เท่ากับว่ามกุฎเต๋าบรรพฮวงเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงดาราแห่งนี้ รวมไปถึงหอคอยฮวง
อย่างนั้นก็แสดงว่าหลังจากมกุฎเต๋าบรรพฮวงถูกสังหาร อันที่จริงเขาอาจจะไม่ได้ตายไปอย่างแท้จริง ทว่าเนื่องจากดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับห้วงดาราโลกร้างและหอคอยฮวงตั้งนานแล้ว ภายใต้การเรียกหาของหอคอยฮวง ออร่าดั้งเดิมของเขาที่หลอมรวมเข้ากับห้วงดาราโลกร้างก็จะผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง และมกุฎเต๋าบรรพฮวงก็มีโอกาสอาศัยหอคอยฮวง รวมไปถึงโลกาดาราอย่างโลกร้าง กลับมากำเนิดใหม่!
แน่นอนอยู่แล้วว่านี่จะเป็นขั้นตอนการที่ค่อนข้างยาวนานมาก อย่างไรเสียการที่จะให้ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่งฟื้นคืนชีพกลับมาได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด