มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2700 พบสหายเก่าอีกครั้ง
“มึง……”
เมื่อเห็นว่าไข่มุกทองกรองแก้วไม่สามารถสังหารหลัวซิวได้ ท่านหมี่จึงเบิกตากว้างอย่างควบคุมไม่ได้ ต้องท้าวความก่อนว่าเจ้าหมอนี่ถูกไข่มุกทองกรองแก้วโจมตีโดยตรงเลยนะ พลังโจมตีเช่นนี้ยังสามารถต้านทานไว้ได้ ตกลงร่างเนื้อของเขาเกะกะระรานถึงขั้นใดกันแน่ถึงสามารถทำเช่นนี้ได้?
เทพมารระดับหกคนหนึ่งแต่กลับมีร่างเนื้อที่เทียบเท่าร่างเทวระดับแปด นี่แม่งกำลังล้อเล่นอยู่หรือ?
“มันควรจบลงแล้ว!”
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูเย็นเยือกอย่างยิ่ง เมื่อมีการเพิ่มเสริมจากพลังค่ายกล อันที่จริงขอแค่เขาระมัดระวังหน่อย ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยก็สามารถสังหารท่านหมี่นี่ได้แล้ว
ทว่ากลับเป็นเพราะตัวเองประมาทและมั่นใจไปหน่อย ทำให้เกือบเสียเปรียบไปเลย นี่จึงทำให้หลัวซิวเบื่อที่จะปล่อยให้เวลาเสียไปแม้แต่วินาทีเดียว
“คนที่ควรจบคือมึง!”
มีความดุร้ายปรากฏบนใบหน้าท่านหมี่ อสูรกายทั้งหมดที่อยู่ข้างกายล้วนกระโจนไปทางหลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง ในขณะเดียวกันเขาก็เรียกของขลังชีวีของตัวเองออกมาด้วย แล้วเผาผลาญพลังและเลือดโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่อสูรกายทั้งหมดพุ่งเข้าไปประชิดใกล้ร่างหลัวซิว ร่างกายของพวกมันก็แตกสลายจนกลายเป็นฝุ่นผงกะทันหัน จากนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่า
ณ ตอนนี้วินาทีนี้ ภายในเขตพื้นที่บริเวณโดยรอบเกือบสามร้อยเมตรที่มีหลัวซิวเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับได้กลายเป็นเขตพื้นที่ต้องห้าม ทุกสรรพสิ่งที่เข้ามาในเขตพื้นที่แห่งนี้ ล้วนจะสูญเสียหมดสิ้นไปภายในพริบตาเดียว
“นี่คือพลังอะไร?”
ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ท่านหมี่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาสามารถยืนยันได้เลยว่านี่ไม่มีทางใช่พลังเกณฑ์ความตายแน่นอน แต่เป็นพลังประเภทหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจและยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
ใช้พลังและเลือดกระตุ้นของขลังชีวี จากนั้นของขลังชีวีก็พุ่งตรงไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แต่ว่าขณะที่ประชิดใกล้หลัวซิวนั้น พลังเกณฑ์ที่แฝงซ่อนอยู่ในตราประทับบนของขลังชีวีก็สูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกโยนเข้าไปในน้ำร้อน สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“แผะ!”
หลัวซิวย่ำเท้าลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า เพียงชั่วลมหายใจเดียวก็มาถึงด้านหน้าท่านหมี่แล้ว เมื่อหลัวซิวอยู่ตรงหน้าเขาโดยที่ห่างกันแค่เอื้อมเท่านั้น ท่านหมี่รู้สึกว่าผลการฝึกตนในร่างกายตัวเองกำลังสลายหายไป ยิ่งกว่านั้นคือเขาสัมผัสพลังเกณฑ์ฟ้าดินที่ตัวเองฝึกไม่ได้แล้ว
ความรู้สึกนี้ก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้วยังไงอย่างนั้น แต่อยู่ในปริภูมิแปลกประหลาดที่ไม่มีกฎและเกณฑ์ฟ้าดินทั้งปวง
“ฟึ่บ!”
หลัวซิวยกมือขวาขึ้นมา นิ้วมือทั้งสองทะลวงหว่างคิ้วของท่านหมี่ภายในเสี้ยววินาที เมื่อเขาดึงนิ้วมือทั้งสองกลับมา ระหว่างนิ้วมือทั้งสองก็มีช่องจิตที่แวววาวจับตาหนีบอยู่หนึ่งดวง
นี่คือช่องจิตของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดคนหนึ่ง ซึ่งมีวิญญาณดั้งเดิมที่บริสุทธิ์และมากมายมหาศาลผนึกรวมอยู่ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้ร่างเนื้อจะดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ขอแค่วิญญาณช่องจิตดั้งเดิมไม่มอดไหม้ ก็ยังสามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติได้อยู่
ทันใดนั้นเอง ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวก็กลายเป็นสีทองที่แวววาวจับตาถึงขีดสุด แสงทองทั้งสองดวงราวกับกระบี่เทพที่เป็นแก่นแท้ ยิงทะลุออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา แล้วทิ่มแทงเข้าไปในช่องจิตดวงนี้
“มึง……มึงจะทำอะไร! มึงจะสอดแนมความทรงจำของกูอย่างนั้นหรือ?”
ในช่องจิต มีเสียงตะคอกที่แหบแห้งสะท้อนออกมาจากวิญญาณดั้งเดิมของท่านหมี่ เขา ณ วินาทีนี้เป็นเพียงวิญญาณดั้งเดิมดวงหนึ่งที่ผนึกรวมอยู่ในช่องจิต เมื่อไม่มีร่างเนื้อเป็นตัวพาหะ วิญญาณดั้งเดิมจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังตัวสำนึกออกมาได้
มีเพียงมีตัวสำนึก ถึงจะสามารถปลดปล่อยเคล็ดวิชาพลังอมตะต่าง ๆ ออกมาได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงแม้วิญญาณดั้งเดิมที่หล่อเลี้ยงอยู่ในช่องจิตของท่านหมี่จะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่ออยู่ในสายตาหลัวซิว มันก็เหมือนแกะอ้วนตัวหนึ่ง เหมือนเนื้อปลาที่อยู่บนเขียง
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังญาณเทวของหลัวซิว วิญญาณดั้งเดิมของท่านหมี่ก็ต้านทานไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ตัวสำนึกที่เหมือนดั่งดาบกระบี่ทิ่มแทงเข้าไปในสายน้ำแห่งความทรงจำของเขา
“ต่อให้กูต้องตาย กูก็ไม่มีทางทำให้แผนชั่วมึงสำเร็จ!”
ท่านหมี่บ้าคลั่งขึ้นมา ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดคนหนึ่ง เขายอมตาย แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นสอดแนมอ่านความทรงจำของตัวเองเด็ดขาด มิหนำซ้ำหลังจากอ่านความทรงจำแล้ว หลัวซิวนี่จักปล่อยให้เขารอดไปได้หรือ?
ในเมื่อทำอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ไยจึงต้องปล่อยให้เขาได้รับข้อมูลไปจากความทรงจำของตัวเองด้วย?
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ช่องจิตของท่านหมี่ก็เริ่มลุกโชนขึ้นมาดั่งเปลวไฟ วิญญาณดั้งเดิมที่มากมายมหาศาลกลายเป็นเปลวไฟที่ลุกโชน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดหลัวซิวถึงต้องสอดแนมความทรงจำของตัวเอง และเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหลัวซิวมีจุดประสงค์อะไร แต่เขาทราบแค่ว่าในเมื่อตัวเองต้องตาย ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับอะไรไปจากตัวข้าเป็นอันขาด!
“ดื้อดึงยิ่งนัก!”
หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง พลังญาณเทวที่มากมายมหาศาลมากกว่าก็ทะลักออกมาจากตัวหยั่งของเขา แล้วเริ่มอ่านความทรงจำของท่านหมี่อย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อช่องจิตของท่านหมี่กลายเป็นเถ้าธุลีอยู่บนมือเขา รัศมีสีทองที่อยู่ในดวงตาหลัวซิวจึงค่อย ๆ สลายหายไป
ขณะที่อ่านความทรงจำของฝ่ายตรงข้าม หลัวซิวอ่านอย่างมีการคัดเลือกอยู่ ดังนั้นก่อนที่ช่องจิตของท่านหมี่จะถูกแผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผงโดยสิ้นเชิง เขาก็ได้รับเบาะแสที่ตัวเองต้องการแล้ว
ถังหย่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของถังกู่สงเจ้าสำนักสำนักสรรพอสูรจริง ๆ แต่จุดประสงค์แท้จริงที่ถังหย่งไปตระกูลซูนั้น ก็เพื่อจะจับกุมตัวซูเสว่หลัน เนื่องจากจากข่าวคราวที่สำนักสรรพอสูรได้รับมา ในมือซูเสว่หลันมีสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีพลานุภาพไม่ธรรมดา เหมือนจะเป็นอาวุธเทพระดับเก้า!
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักสรรพอสูร ข้อมูลที่ท่านหมี่ทราบมีไม่น้อยเลย เรื่องราวน่าจะเป็นเช่นนี้ หลังจากซูเสว่หลันได้รับไฟเทวชิงเทียนแล้ว นางก็หายไปจากชีวิตถูโยวหมิง ขณะที่นางย้อนกลับไปยังตระกูลซู ได้เกิดความขัดแย้งกับศิษย์สองสามคนในสำนักสรรพอสูร ซึ่งนางก็กระตุ้นพลังของไฟเทวชิงเทียนในความขัดแย้งในครั้งนั้นนั่นเอง
เรื่องราวดำเนินการมาจนถึงตรงนี้ ก็พอจะเรียบเรียงเรื่องราวทุกอย่างได้ชัดเจนมากแล้ว ซูเสว่หลันจากไปทันทีหลังจากได้รับไฟเทวชิงเทียนมาจากถูโยวหมิง ต่อมาสำนักสรรพอสูรก็ทราบถึงความเก่งกาจของไฟเทวชิงเทียน จึงส่งผลให้เจ้าสำนักน้อยถังหย่งเร่งเดินทางไปแก่งแย่งสมบัติที่ตระกูลซูด้วยตนเอง
แต่ทว่าไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่า ถังหย่งไม่เพียงไม่สามารถจับกุมตัวซูเสว่หลันและแย่งสมบัติมาได้ เขายิ่งทำให้ตัวเองเสียชีวิตไปด้วย ซูเสว่หลันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นสำนักสรรพอสูรจึงค้นหาตามเส้นสนกลในจนเจอเบาะแสอย่างถูโยวหมิง
สามารถพูดได้เลยว่าหากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของหลัวซิว จุดจบของถูโยวหมิงจะอนาถมาก อย่างน้อยก็ต้องถูกค้นวิญญาณแน่นอน เพื่อสืบเสาะความเป็นมาของไฟเทวชิงเทียน
“ไฟเทวชิงเทียน……”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าไฟเทวนั่นมีโอกาสมีความเกี่ยวข้องกับชิงเทียนในตำนานสูงมาก เท่าที่เขาทราบ ในยุควัฏสงสาร เนื่องจากเกณฑ์ฟ้าดินในมหาโลกาพันสามไม่สมบูรณ์ครบถ้วน เพราะฉะนั้นจึงถูกเรียกว่าจักรวาลกันดาร
และครั้นเมื่ออยู่ในยุคไท่ชู เกณฑ์ทุกแห่งหนในดาราจักรวาลล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ต่อมาเกิดศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างบำเพ็ญปรปักษ์และสวรรค์ จึงส่งผลให้เกณฑ์ฟ้าดินของดาราจักรวาลพังทลายเป็นวงกว้าง ซึ่งจักรวาลกันดารก็เกิดจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน
สามารถพูดได้เลยว่าช่วงประวัติศาสตร์ที่ชิงเทียนคงอยู่ เป็นช่วงกาลเวลาที่เก่าแก่ที่สุดที่หลัวซิวทราบ หากถามว่าเขามีสิ่งของอะไรตกทอดให้คนรุ่นหลังละก็ เช่นนั้นในฐานะที่จักรวาลกันดารหรือมหาโลกาพันสามเป็นสนามรบที่เก่าแก่มากที่สุด โอกาสที่ของสิ่งนั้นจักคงอยู่ในมหาโลกาพันสามจึงสูงมาก
หุบเขาผนึกปีศาจ หยกชิงเทียน ศิลาผนึกปีศาจ แล้วก็โลงศพเทวฌาปนนภาสวรรค์ที่ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคใช้กดอัดชางเทียนหมิง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนอยู่ในมหาโลกาพันสาม
“นายท่าน”
ลาร์ยื่นแหวนเก็บของมาสองวง ถัดจากนั้นหลัวซิวก็โบกมือเก็บธงค่ายที่จัดวางอยู่ที่นี่กลับมา
ทันใดนั้นเอง หัวใจหลัวซิวก็สั่นไหวขึ้นมา หันหลังกลับไปกะทันหัน มองไปทางหินอุกกาบาตลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป เขาสัมผัสพลังออร่าเสี้ยวหนึ่งที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ได้จากตำแหน่งนั้น
“ผู้ใด ออกมา!”
หลัวซิวตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังญาณเทว เกรงว่าก็คงสัมผัสพลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ เมื่อครู่เนื่องจากอยู่ในค่ายกล ดังนั้นความสนใจของเขาจึงล้วนเพ่งเล็งไปบนตัวท่านหมี่และมังกรดำ ฉะนั้นกระทั่งเวลานี้ เขาถึงจะค้นพบพลังออร่าของคนดังกล่าว
แม้แต่เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุบายการอำพรางพลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามปราดเปรื่องมาก
“ฮ่าฮ่า กระแสสัมผัสของสหายหลัวช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ข้าอำพรางได้แนบเนียนเช่นนี้ สุดท้ายก็ถูกเจ้าค้นพบอยู่ดี”
มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านหลังหินอุกกาบาต จากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของหินอุกาบาต
เมื่อเห็นลักษณะภายนอกของฝ่ายตรงข้าม หลัวซิวก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากเขารู้จักคนคนนี้อยู่ ซึ่งเขาก็คือเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นสหายลิ่งฮู๋นี่เอง ข้าจำได้ว่าสหายลิ่งฮู๋น่าจะเป็นคนในโลกจักรภพนี่ เหตุใดจึงปรากฏในโลกร้างได้เล่า?”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ครั้นเมื่อไปสำรวจตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งในแดนเทวนิรันกาลพร้อมกัน เจ้าหมอนี่และชีชีเคยร่วมมือกันลอบกัดเขา ต่อมาก็ตกใจจนหนีไปเพราะอุบายศักยภาพที่เขาปลดปล่อยออกมา
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปหลักร้อยปีแล้ว หลัวซิวก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเขาที่นี่
“สหายหลัวพูดอะไรเนี่ย? เจ้าสามารถเดินทางจากจักรวาลกันดารมายังโลกร้างได้ เหตุใดข้าจึงมาโลกร้างมิได้เล่า?”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนยิ้มพลางพูด
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน หลัวซิวก็กำลังสังเกตลิ่งฮู๋จื่อเซวียนอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วย เมื่อปีนั้นขณะที่เจ้าหมอนี่ออกจากดาราแห่งกาลเวลา ผลการฝึกตนของเขาเพิ่งบรรลุถึงเทพมารระดับสี่ นี่เพิ่งผ่านไปแค่กี่ปีเอง? ไม่นึกเลยว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับหกแล้ว
ทว่าหลัวซิวก็ไม่รู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาทราบความเป็นมาของเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนี่อยู่ การที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถฝึกตนได้รวดเร็วเช่นนี้นั้น มันไม่ถือเป็นเรื่องยากแต่อย่างใด
แต่จิตใจลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกลับรู้สึกช็อกมาก เมื่อครู่มีการผนึกจากค่ายกลปริภูมิ ทำให้เขามองไม่เห็นว่าเกิดเรื่องอะไรในค่ายกล ทว่าหลังจากหลัวซิวถอนค่ายกลออกไปแล้ว เขาก็เห็นว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดทั้งสองคนนั้นต่างหายไปแล้ว
ใช้หัวแม่เท้าคิดยังคิดได้เลยว่าเทพมารระดับแปดสองคนนั้น ต้องถูกหลัวซิวกำจัดทิ้งไปแล้วแน่นอน เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงวิปริตเช่นนี้? เทพมารระดับหกก็สามารถสังหารเทพมารระดับแปดได้แล้วหรือ?
ต้องท้าวความก่อนว่าครั้นเมื่อเจอกันครั้งแรก ผลการฝึกตนของเจ้าหลัวซิวนี่ต่ำกว่าเขาไม่น้อยเลย ระยะเวลาหลักร้อยปีล่วงเลยไป ตัวเองฝึกถึงเทพมารระดับหก ไม่นึกเลยว่าเขาก็บรรลุถึงแดนเดียวกันแล้วอย่างนั้นหรือ
นี่จึงทำให้ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนรู้สึกหวาดกลัวหลัวซิวมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นหลังจากที่เขาปรากฏตัวแล้ว เขาถึงขั้นไม่กล้าเข้าใกล้หลัวซิวเลย
“ไยจึงไม่เห็นแม่นางชีชีเล่า?”หลัวซิวต้องดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเกรงกลัวตนเอง ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ถึงแม้เจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนี่จะมีมารดาเตาผืนทอง หลัวซิวเชื่อว่าเมื่ออาศัยศักยภาพในปัจจุบันของตัวเอง การที่จะสังหารเขานั้นไม่ถือเป็นเรื่องยากแต่อย่างใด แต่เขาแค่ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น เขาเมื่อภพชาติก่อนก็มีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพบุรุษของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนอยู่บ้าง ซึ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้และศัตรูแต่อย่างใด
“ชีชีมีธุระนิดหน่อยจึงไม่ได้มาพร้อมข้า ข้าก็แค่เดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้เช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับสหายหลัว แต่จะว่าไปพรหมลิขิตระหว่างข้าและสหายหลัวนี่ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง ข้ามีโชคอันยิ่งใหญ่พอดี ไม่ทราบว่าสหายหลัวสนใจหรือไม่?”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนลังเลใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดคำถามนี้ออกมา
“โชคอันยิ่งใหญ่?”
หลัวซิวมองลิ่งฮู๋จื่อเซวียนด้วยสายตาที่แปลกประหลาดรอบหนึ่ง ตกลงเจ้าหมอนี่ไปหาเบาะแสที่มากมายเช่นนี้จากที่ใดกันแน่ ซึ่งเมื่อปีนั้นเขาก็ทราบเรื่องราวของตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งจากปากเจ้าหมอนี่นี่แหละ
แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนจะหลอกตัวเอง เนื่องจากสำหรับลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ