The king of War บทที่ 2120 สอนฉันปรุงยา
“คุณว่ามา!”
หยางเฉินจ้องหน้ารอเมิ่งชินหลันพูด
เมิ่งชินหลันยิ้มเล็กน้อย “สถานภาพของคุณเองตอนนี้แย่เอามาก ๆ อยู่แล้ว ถ้าจะต้องให้แย่ไปกว่านี้อีก ก็คงไม่ได้หนักหนาอะไรเพิ่มมากนัก”
หยางเฉินผงกหัว ยิ้มเจื่อน ๆ พูดไปว่า “ทั้งโลกบู๊โบราณล่างน่ากลัวมีแต่คนจะเอาผมให้ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะผมอยู่ในฐานะผู้อาวุโสอันดับสี่ของสมาคมผู้อาวุโส อีกทั้งยังเพราะว่ามีวิญญาณเทพมารอยู่ในตัว คิดว่าพวกเจ้าพ่อชั้นยอดในโลกบู๊โบราณล่าง ต่างก็ต้องเข้ามาไล่ฆ่าผมแล้ว”
เมิ่งหลันพูดไปว่า “ในเมื่อมันเลวร้ายถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ให้ตัวคุณเองเหมาเป็นหมอปรุงยาอยู่ในตัวคนเดียวกันไปเลยหละ?”
หยางเฉินชะงักขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็สนองรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยปากพูดว่า “คุณคิดว่าจะให้ผมสวมรอยเป็นหมอปรุงยา ถึงเวลานั้น ให้ผมออกหน้า แล้วให้เฝิงเสียวหว่านเดินตามข้างหลัง การทำแบบนี้ จะได้ลดความสำคัญของการมีตัวตนของหล่อนลง?”
เมิ่งชินหลันผงกหัว “ไม่เพียงเท่านี้ คุณก็ยังจะได้อาศัยงานนี้ ชักชวนดึงพาผู้แข็งแกร่งในโลกบู๊โบราณเข้ามา ในโลกบู๊โบราณล่าง ก็มีแต่พวกกลุ่มอิทธิพลชั้นยอดพวกนั้น จึงจะมีปัญญาพอที่จะได้ยาสุดยอดพวกนี้ และเฝิงเสียวหว่านก็ปรุงยาสุดยอดพวกนี้ได้อยู่แล้ว”
“แต่ภายในโลกบู๊โบราณ ยังมีนักบูโดอีกมากมายที่มีทักษะไม่ธรรมดา แต่ไม่มีปัจจัยหนุนหลัง ถ้าหากคุณสามารถสนับสนุนพวกเขาด้วยยาระดับสุดยอดนี้ได้ ก็จะสามารถดึงพวกเขามาอยู่ข้างคุณได้แน่นอนอีกด้วย”
ได้ยินที่เมิ่งชินหลันพูดมา หยางเฉินให้รู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันที นี่เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวจริง ๆ ไม่เพียงแต่เฝิงเสียวหว่านได้ถูกแอบซ่อนขึ้นแล้ว ยังได้ดึงเอากลุ่มนักบูโดมาเข้าพวกด้วย
“ในโลกใหม่ในขณะนี้ กำลังต้องการกองกลุ่มพลังมากที่สุด และกลุ่มพลัง สามารถได้มาโดยผ่านทางระดับขั้นแดนบูโดของตัวเอง และก็สามารถใช้การเรียกชวนระดมผู้แข็งแกร่งรวมตัวเข้ามา”
“ในโลกบู๊โบราณล่าง หมอปรุงยาชั้นยอดไม่กี่ท่านนั้น ใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างชื่นมื่น ผมก็รู้ มีหมอปรุงยาคนหนึ่งมีพลังฝีมือแค่แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ขนาดผู้นำตระกูลบู๊โบราณ พอเจอเขา ยังต้องทำความเคารพอย่างเป็นทางการ”
“ส่วนหมอปรุงยานายนี้ เพียงแค่โบกมือออกเสียงเรียก ก็สามารถสั่งให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากทำตามคำสั่งเขาได้”
“ในวันธรรมดา บอดี้การ์ดที่ประกบข้างตัวของเขาเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสามชั้นปลาย ในโลกบู๊โบราณล่าง ผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสามชั้นยอด โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นถึงผู้นำระดับสุดยอดของตระกูลบู๊โบราณ หรือไม่ก็ประเภทเฒ่าประหลาดที่อายุเกินร้อย”
“บอดี้การ์ดผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสามชั้นปลาย บอดี้การ์ดชั้นสุดยอดเลยแท้ ๆ”
ได้ยินที่เมิ่งชินหลันพูดมาทั้งหมดนี้ จิตใจหยางเฉินโปร่งโล่งสบาย ในระยะใกล้ ๆ นี้เขาก็ห่วงติดอยู่กับเรื่องเฝิงเสียวหว่านมาตลอด เมิ่งชินหลันพูดแค่เพียงสองสามเรื่อง ก็แก้ปัญหาให้เขาได้แล้ว
หยางเฉินพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ทำตามที่คุณพูดมา ผมจะหาทางปั้นตัวผมเป็นหมอปรุงยาชั้นยอดขึ้นมา”
เมิ่งชินหลันหยุดนิ่งใช้ความคิดพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันกลับคิดว่า คุณควรจะยืมใช้สถานที่ ๆ มีผลงานการต่อสู้บนชั้นบนสุดของโรงแรมจงโจวในคืนนี้ขฌ จัดงานราตรีสโมสรขึ้น แล้วคุณก็ใช้ยาเม็ดชนิดถูก ๆ แจกให้แขกที่มาในงาน สุดท้าย จัดเอายาตัวชูโรงชั้นยอดออกมา เปิดประมูล”
“พอเป็นแบบนี้แล้วจท เรื่องคุณมียาอย่างดีอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมากก็จะเป็นข่าวแพร่กระจายออกไปทั่วโลกใหม่ และในช่วงเวลาระหว่างงาน ถ้าเป็นไปได้ญท คุณก็จัดรายการสาธิตโชว์การปรุงยาชนิดไม่ได้มีราคามากกลางงานให้ดูไปเลย แน่นอน เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณมีพรสวรรค์ด้านปรุงยาหรือไม่ เพราะถึงยังไง การจะให้คุณสวมรอยเป็นนักปรุงยาชั้นยอดนั้น อย่างน้อยคุณก็ต้องโชว์ฝีมือให้เขาเห็นกัน”
“แน่นอนว่า ถ้าคุณจะต้องสาธิตวิธีปรุงยากันหน้างาน ก็จะต้องให้เฝิงเสียวหว่านอบรมบ่มเพาะทักษะให้คุณดี ๆ จนถึงขนาดที่คุณต้องทำได้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะสาธิตการปรุงยาด้วยตัวเอง”
“ฉันเชื่อได้เลยว่า แค่เพียงจัดงานราตรีสโมสรนี้ขึ้นมาได้ คุณไม่ต้องเอ่ยปากเอง ก็จะมีบรรดาผู้แข็งแกร่งมากมายมาขอคบหากับคุณด้วยตัวเอง”
หยางเฉินยืนฟังอย่างออกรสออกชาติ ผงกหัวเห็นด้วยตลอด
เวลาต่อ ๆ ไป ทั้งสองก็คุยกันไปในอีกหลายเรื่อง สุดท้ายเห็นว่ามืดเกินไปแล้ว จึงต่างคนต่างแยกกันกลับไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หม่าชาวก็ได้พาอ้ายหลินกับเฝิงเสียวหว่านทั้งหมดเดินทางมาถึงจงโจว
“คุณพ่อบุญธรรม!”
หยางเฉินเพิ่งอุ้มเสี่ยวจิ้งอันขึ้นมา เสี่ยวจิ้งอันก็ส่งเสียงขานเรียกเขาออกมา
หยางเฉินตื่นใจขึ้นมาเต็มหน้าในทันที พูดด้วยความดีใจว่า “เจ้าหนูน้อยนี่เรียกพ่อบุญธรรมได้แล้ว!”
อ้ายหลินพูดด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้าหนูตัวนี้ ตอนนี้ซนเอามาก ๆ แล้ว วัน ๆ คอยแต่จะหาเรื่องกวนไปทั่ว”
หม่าชาวพูดด้วยสีหน้าสุดปลื้มว่า “เด็กผู้ชายมันก็ต้องซนแหละ!”
ขณะที่หยางเฉินอุ้มเจ้าหนูน้อยนี้อยู่กับอก จิตใจเขาก็ไปถึงคนในบ้านเขาเองแล้ว
ตอนนั้นเพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัว เขาได้ใช้วิธีต่างๆ นานา หลอกพาคนทั้งครอบครัวไปที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง
เดิมคิดไว้ว่าคงได้กลับไปรับครอบครัวมาอยู่ด้วยกันในไม่ช้านัก ที่ไหนได้ อันตรายรอบตัวเขายิ่งวันยิ่งมากขึ้น ดึงเวลามาจวบจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่สามารถไปรับพวกเขาได้
หลังจากจัดการให้แต่ละคนพักกันเรียบร้อย หยางเฉินก็เรียกเฝิงเสียวหว่านมาคุยที่ห้องเป็นลำพังคนดียว
หยางเฉินพูดว่า “เสียวหว่าน มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ฉันอยากจะปรึกษากับเธอหน่อย”
เฝิงเสียวหว่านยิ้ม ๆ “พี่ใหญ่หยาง พี่มีเรื่องอะไรก็สั่งมาตรง ๆ เลย ทำไมมีอะไรต้องใช้ปรึกษาด้วย?”
ได้ยินเฝิงเสียวหว่านพูดมาแบบนี้ หยางเฉินกลับรู้สึกยิ่งไม่สบายใจขึ้นมา
ถึงยังไงวิชาการปรุงยานั้นเฝิงเสียวหว่านได้รับการสืบทอดจากคุณปู่ของหล่อน การที่เขาจะมาขอเรียนรู้การปรุงยาจากเฝิงเสียวหว่าน ย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
แต่เพื่อความปลอดภัยของเฝิงเสียวหว่านเอง หยางเฉินก็ยังคงต้องเอ่ยขึ้นมา เล่าเรื่องที่เขาได้ปรึกษากันกับเมิ่งชินหลันแล้วให้ฟังทั้งหมด
ได้ฟังที่เขาเล่าจนจบ เฝิงเสียวหว่านขรึมเงียบลงไปทันที
หยางเฉินรีบพูดขึ้นว่า “เสียวหว่าน ฉันจะไม่ขึ้นไปแสดงสาธิตการปรุงยาก็ได้ ถึงเวลานั้นก็แค่บอกไปว่าฉันเป็นนักปรุงยาก็ได้ ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
เฝิงเสียวหว่านส่ายหน้าเบา ๆ “พี่ใหญ่หยาง ฉันไม่ใช่จะไม่อยากสอนให้พี่นะ แต่การปรุงยานั้นไม่ใช่เรื่องจะทำกันง่าย ๆ นอกจากวิชาที่สืบทอดกันมาแล้ว ยังต้องเป็นคนที่มีธาตุไฟในตัว อีกทั้งต้องมีพลังจิตที่แข็งกล้า วิชาการที่ใช้ถ่ายทอดนั้นมีอยู่ แต่ธาตุไฟในตัวและพลังจิตที่แข็งกล้านั้น เป็นเรื่องยาก”
หยางเฉินคิดอะไรขึ้นมาได้ในทันใด ตัวเขาเองก่อนที่พลังฝีมือบูโดยังไม่ได้ก้าวมาถึงแดนนภานั้น ก็ได้รู้แจ้งในพลังธาตุน้ำแล้ว ส่วนพลังธาตุไฟ กับพลังธาตุน้ำนั้นพอดีเป็นธาตุที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
คิดไปคิดไป หยางเฉินก็หลับตาลงในทันใดนั้น ทำเหมือนตอนที่เขากำลังสัมผัสรับรู้กับพลังธาตุน้ำ รับสื่อสัมผัสจากพลังธาตุไฟในอากาศ
อย่างรวดเร็ว เขาเหมือนกับว่าได้สัมผัสรู้ถึงอะไรบางอย่าง ลืมตาขึ้นมาในฉับพลัน ก็เห็นที่อุ้งมือมีสะเก็ดไฟกระจุกหนึ่งเต้นกะพริบอยู่
หยางเฉินถามไปว่า “เสียวหว่าน นี่ใช่พลังธาตุไฟหรือไม่?”
เฝิงเสียวหว่านถึงกับผวางง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คิดไม่ถึง ผ่านไปสักพัก จึงได้คืนสติกลับมา มองหยางเฉินอย่างอัศจรรย์ใจพูดว่า “พี่ใหญ่หยาง พี่เพิ่งรู้แจ้งถึงพลังธาตุไฟเดี๋ยวนี้เองเลยหรือนี่?”
หยางเฉินผงกหัว
เฝิงเสียวหว่านพูดอย่างทึ่งในใจว่า “พี่ใหญ่หยางบท พี่ไม่ใช่เฉพาะมีพรสวรรค์บูโดที่เหนือคนทั่วไป พรสวรรค์ในด้านอื่น ๆ ก็เหนือชั้นไปทั้งหมดเลย!ทว่า พลังธาตุไฟมีแล้ว แต่การที่ให้จะมีพลังจิต นั่นสิยาก”
“ปัจจุบันในโลกนี้ การที่ผู้เป็นหมอปรุงยาเม็ดมีน้อยมาก ปัญหาที่ยากที่สุด ก็คือหมอปรุงยาจะต้องมีพลังจิตที่แข็งกล้ามากมาสนับสนุน”
หยางเฉินหัวเราะ มองหน้าเฝิงเสียวหว่านพูดว่า “เธออาจจะตั้งข้อสงสัยในด้านอื่น ๆ ของฉันได้ แต่เรื่องพลังจิต พี่ใหญ่หยางของเธอคนนี้นี่แกร่งกล้ามากทีเดียวนะ!”
ขาดเสียงคำที่พูด พลังจิตที่ยิ่งใหญ่กระแสหนึ่งแผ่กระจายจากตัวเขาออกมา
ถึงแม้ว่าเขายังไม่ได้ทำอะไร แต่เฝิงเสียวหว่านก็ยังรู้สึกได้อย่างกระจ่างชัดกับพลังจิตที่แข็งกล้ากระแสหนึ่ง กำลังแผ่กระจายออกมาจากภายในตัวของหยางเฉิน
ที่ทำให้เฝิงเสียวหว่านรู้สึกสะท้านใจคือ หล่อนเคยปลื้มในความแข็งกล้าของพลังจิตตัวเอง แต่ต่อหน้าหยางเฉินพอเทียบกันแล้ว พลังจิตอันน้อยนิดของตัวเองนั้นดูเป็นเรื่องตลกไปเลย ถ้าจะเปรียบพลังจิตของตัวเองเหมือนลำธาร งั้นพลังจิตของหยางเฉินนั้น ก็คือมหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง!